ตอนที่ 75 ศรัทธาของพวกเขา
ในวันศุกร์ มู่เถาเยายิ้มแย้มตลอดทั้งวัน
ถ้าไม่ใช่เพราะเธอขาดเรียนบ่อยแล้ว วันนี้เธอคงขอลากลับเขตเซิ่งซื่อฉางอันเพื่อไปรอต้อนรับเสด็จแม่ รวมถึงผู้อาวุโสทั้งสองคนที่กำลังจะมาถึง
หลังเลิกเรียน มู่เถาเยาแทบทนรอไม่ไหวรีบลากตัวปาอินมาและขอให้เฉิงอันนั่วไปส่งพวกเธอที่เขตเซิ่งซื่อฉางอัน
คนที่ปกติไม่ค่อยอยากรบกวนผู้อื่น วันนี้กลับรู้สึกว่ารถของมหาวิทยาลัยมาช้าเกินไป เลยนัดให้ศิษย์หลานมารับพวกเธอล่วงหน้า
ปาเฝ่ยมารอพวกเธออยู่ที่หน้าประตูทางเข้าวิลล่าของเขตเซิ่งซื่อฉางอันก่อนแล้ว
“เสี่ยวเยาเยา อินอิน”
“หมอปามารอนานแล้วเหรอคะ ทำไมถึงไม่โทรหาฉันล่ะ” อันที่จริงเธอสามารถโทรขอให้คนตระกูลตี้ส่งบอดี้การ์ดมารับเขาก่อนได้
“เพิ่งมาถึงเหมือนกันครับ…”
แต่ก่อนที่ปาเฝ่ยจะพูดจบ อวิ๋นไป๋ก็ขับรถมารับพวกเขา
“หลานสาว เสี่ยวปา แล้วคู่รักหนุ่มสาวคู่นี้ใครกัน”
เฉิงอันนั่วที่ถูกทักว่าเป็นคู่รักหนุ่มสาว “…”
ปาอินที่ถูกทักว่าเป็นคู่รักหนุ่มสาว “…”
ปาเฝ่ยที่ถูกทักว่าเสี่ยวปา “…คุณอวิ๋น พวกเขาไม่ใช่คู่รักกันครับ นี่คือน้องสาวผมปาอิน ส่วนคนนี้คือศิษย์หลานของเสี่ยวเยาเยา คุณเสี่ยวเฉิง”
ปาเฝ่ยแก่กว่าเย่ว์จือเหิงสามปีและพวกเขาก็เติบโตมาด้วยกัน ดังนั้นแน่นอนว่าเขาย่อมรู้จักอวิ๋นไป๋ด้วย
“อ้อ งั้นเรอะ ไม่ใช่คู่รักหรอกเรอะ โทษทีๆ ฉันตาไม่ดีเองแหละ” แต่หน้าตาเหมือนเป็นสามีภรรยากันจริงๆ นี่นา!
แม้ตอนนี้จะไม่ใช่ แต่ในอนาคตก็ไม่แน่!
สายตาในการมองคนของเขาไม่เคยพลาดหรอกนะ!
‘คู่รักหนุ่มสาว’ กล่าวทักทายอวิ๋นไป๋
อวิ๋นไป๋ยิ้มกว้างจนเห็นฟันสีขาวสะอาดและขานรับว่า “เสี่ยวอินอิน เสี่ยวเฉิงเฉิง”
เฉิงอันนั่วที่ได้ชื่อใหม่ว่าเสี่ยวเฉิงเฉิง “…”
มู่เถาเยายิ้มและพูดว่า “ขึ้นรถก่อนเถอะ ค่อยคุยกันหลังกลับถึงบ้าน”
เฉิงอันนั่วเปิดประตูด้านหลังให้เด็กสาวทั้งสองคน แล้วขึ้นไปนั่งหลังจากที่พวกเธอนั่งเสร็จแล้ว
ปาเฝ่ยนั่งที่เบาะด้านหน้า
ระหว่างขับรถ อวิ๋นไป๋ก็หันไปถามคนข้างๆ ว่า “เสียวปา ทำไมพวกเธอพี่น้องถึงมาที่นี่กันก่อนล่ะ ทำไมไม่รอมาพร้อมกับเย่ว์เลี่ยง”
“เสี่ยวอินย้ายมาเรียนที่มหาวิทยาลัยแพทย์เย่ว์ตูน่ะครับ ผมเลยมาดูว่าเธอโอเคหรือเปล่า ได้ยินว่าวันนี้หัวหน้าเผ่าจะมาที่นี่พร้อมกับนายท่านผู้เฒ่าและนายหญิงผู้เฒ่า เราเลยมาทักทายหัวหน้าเผ่าและผู้อาวุโสทั้งสองคน”
แม้ว่าอวิ๋นไป๋จะสนิทสนมกับคนตระกูลเย่ว์ แต่เรื่องบางเรื่องก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาซึ่งไม่ใช่คนตระกูลเย่ว์ควรพูดออกไป
“หลานสาวตัวน้อย ปู่ของเธอ…พ่อแม่ของเย่ว์เลี่ยงก็จะมาด้วยเหรอ”
“ใช่ค่ะ ฉันยังไม่ได้บอกคุณเหรอคะ”
“ไม่เลย ก่อนหน้านี้ตอนที่ฉันคุยกับเย่ว์เลี่ยง เธอก็ไม่ได้บอกเหมือนกัน”
“…อ้อ บางทีเราคงลืมละมั้งคะ” พวกเธอแม่ลูกคงตื่นเต้นมากเกินไปหน่อย
คำสรรพนามว่า ‘เรา’ ที่มู่เถาเยาใช้ ทำให้สองพี่น้องตระกูลปาประหลาดใจอย่างมาก
จากมุมมองนี้ เจ้าหญิงน้อยเหมือนจะไม่มีความขุ่นเคืองต่อคนตระกูลเย่ว์แล้วจริงๆ
เดิมทีพวกเขาทั้งหมดยังคิดว่าเจ้าหญิงน้อยคงไม่มีวันให้อภัยตระกูลเย่ว์ อย่างไรเสียตลอดสิบแปดปีที่ผ่านมาที่เธอถูกทิ้งและต้องใช้ชีวิตเหมือนเด็กกำพร้าก็เป็นเรื่องจริง
ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าหญิงน้อยไม่ใช่คนประเภทที่ชอบความฟุ้งเฟ้อและมีสายตาตื้นเขิน ดังนั้นเธอจะไม่มีวันถูกดึงดูดเพียงเพราะพื้นฐานครอบครัวที่ไม่ธรรมดาของตระกูลเย่ว์
“เสี่ยวเยาเยา ฉันซื้ออาหารและเครื่องดื่มมาเตรียมพร้อมไว้หมดแล้วนะ และส่งคนให้ทำความสะอาดห้องทั้งหมดแล้ว คืนนี้เธอค้างที่นี่ได้เลย พรุ่งนี้ไม่มีเรียนไม่ใช่เหรอ”
“ใช่ค่ะ” เธอต้องค้างอยู่แล้ว โอกาสที่จะได้อยู่กับเสด็จแม่จะปล่อยไปได้ยังไง!
หลังจากที่ผู้อาวุโสทั้งสองคนหลับ เธอจะแอบไปปีนเตียงและขอนอนกับเสด็จแม่ด้วย
หลายคนเข้ามานั่งพูดคุยกันในบ้านสักพักหนึ่ง หลังจากได้เวลาแล้ว พวกเขาก็ขับรถออกจากวิลล่าตระกูลเย่ว์ไปยังเขตพื้นที่ส่วนตัวด้านหลัง
รถยนต์สามคันที่อวิ๋นไป๋ได้จัดเตรียมไว้ล่วงหน้า จอดรออยู่ใกล้ๆ กับลานจอดเฮลิคอปเตอร์แล้ว
เสียงใบพัดหนักๆ ของเฮลิคอปเตอร์ดังก้องไปทั่วลานกว้าง ในขณะที่มันเคลื่อนตัวลงจอดอย่างช้าๆ ความปรารถนาในดวงตาของมู่เถาเยาก็ยิ่งเข้มขึ้นทุกที
บอดี้การ์ดรูปร่างสูงใหญ่สองคนก้าวลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นก็ตามมาด้วยชายชราและหญิงชราอายุราวๆ เจ็ดสิบกว่าปี
ทันทีที่พวกเขาเห็นมู่เถาเยา ดวงตาของพวกเขาก็เปียกชื้น
มู่เถาเยาให้เวลาตัวเองเตรียมใจสองสามวินาที ก่อนจะก้าวขึ้นไปกล่าวทักทายผู้อาวุโสทั้งสองคนอย่างสุภาพว่า “คุณปู่ คุณย่า”
ย่าเย่ว์กอดมู่เถาเยาและร้องไห้อย่างหนัก “หลานสาวตัวน้อยของย่า…เสี่ยวอิ๋งเอ๋อร์ตัวน้อยของย่า…”
มู่เถาเยาร่างกายแข็งทื่อ
แต่เมื่อสายตาของเธอเลื่อนขึ้นไปสบกับหญิงสาวผู้งดงามที่อยู่ข้างหลัง ริมฝีปากสีแดงสดก็โค้งขึ้นทีละนิด
เย่ว์เลี่ยง เสด็จแม่ของเธอช่างงดงามราวกับเทพธิดาภายใต้แสงจันทร์ เธอคือผู้หญิงประเภทที่เพียงมองครั้งเดียว ก็สามารถกระชากวิญญาณของผู้มองให้หลุดออกจากร่างได้
มู่เถาเยาจ้องมองผู้หญิงที่เดินเข้ามาอย่างช้าๆ ตาไม่กะพริบ มือน้อยๆ ยกขึ้นตบหลังย่าเย่ว์เบาๆ ปลอบประโลมเธออย่างไร้เดียงสาว่า “คุณย่า อย่าร้องไห้ ตลอดสิบแปดปีที่ผ่านมาหนูสบายดีค่ะ ไม่ได้ลำบากอะไรเลย”
หลานสาวตัวน้อยช่างมีเหตุผลและเป็นเด็กดีจริงๆ เธอไม่เพียงแต่ไม่ตำหนิพวกเขา ยังพูดปลอบพวกเขาด้วย ปู่เย่ว์อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมา
“เสี่ยวอิ๋งเอ๋อร์ พวกเรา…ขอโทษนะ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะปู่”
ปู่เย่ว์ยื่นมือออกไป สวมกอดทั้งมู่เถาเยาและย่าเย่ว์ไว้ในอ้อมแขนของเขา
แววตาของมู่เถาเยาดูเหมือนทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย มีอะไรให้น่าร้องไห้กัน
อืม ดูเหมือนเธอจะลืมไปแล้วว่าตัวเองก็สะอึกสะอื้นตอนที่ได้วิดีโอคอลกับเย่ว์เลี่ยงครั้งแรกเหมือนกัน
เย่ว์เลี่ยงอยากจะร้องไห้เมื่อเห็นลูกสาวของเธอ แต่เมื่อเห็นสีหน้าเด็กสาวที่เหมือนจะถามว่า ‘ร้องไห้ทำไม’ และ ‘Help’ จู่ๆ เธอก็อยากจะหัวเราะออกมา
เธอแสร้งทำเป็นไม่เห็นดวงตาคู่เล็กๆ ของลูกสาวที่กำลังตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ และหันหน้าไปทักทายอวิ๋นไป๋ที่วิ่งไปมาอยู่รอบๆ เธอว่า “อวิ๋นไป๋ ไม่เจอกันนานเลยนะ”
“เสี่ยวเย่ว์เลี่ยง”
อวิ๋นไป๋มองผู้หญิงในดวงใจของเขาด้วยรอยยิ้มโง่งมเต็มใบหน้า ท่าทางเหมือนเด็กหนุ่มที่เพิ่งหัดรัก แทบไม่กล้าสบตาเธอตรงๆ เลย
เย่ว์เลี่ยงอยากยกมือกุมหน้าผาก
ผ่านไปกี่ปีๆ ผู้ชายคนนี้ก็ยังดูโง่งมเหมือนเดิม!
หลังจากเฝ้าดูบอดี้การ์ดและคนขับรถสองสามคนขนสัมภาระและของขวัญเข้าไปในรถแล้ว เย่ว์เลี่ยงก็เดินไปหาผู้เฒ่าทั้งสองคนที่ยังคงกอดเด็กสาวร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด
“พ่อคะ แม่คะ เสี่ยวอิ๋งเอ๋อร์ พวกเราเข้าบ้านกันก่อนเถอะ”
ปาอินหยิบกระดาษทิชชู่ขึ้นมาเช็ดน้ำตาให้ผู้อาวุโสทั้งสองอย่างรู้งาน
กรอบตาเธอเองก็แดงก่ำไม่แพ้กัน ฉากเมื่อสักครู่นี้ทำเอาเธออดร้องไห้ตามไม่ได้
ผู้เฒ่าทั้งสองปล่อยให้เด็กสาวเช็ดน้ำตาให้โดยไม่รู้สึกอึดอัดใจใดๆ สักนิด
พวกเขาไม่ได้รู้สึกว่าน่าอายแม้ตัวเองจะร้องไห้ต่อหน้าคนรุ่นเยาว์หลายคน
ไม่มีใครรู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดของพวกเขามากไปกว่าตัวพวกเขาเองที่ประสบกับความสูญเสียมาก่อน
ความรู้สึกของการที่ ‘ได้สิ่งที่สูญเสียไปกลับคืนมา’ ไม่ว่าใครก็ไม่มีทางเข้าใจ
หลังจากที่อวิ๋นไป๋ก้าวขึ้นไปกล่าวทักทายผู้อาวุโสทั้งสองคน เขาก็จัดแจงคนขึ้นรถ
มู่เถาเยานั่งอยู่ที่เบาะหลังกับผู้อาวุโสทั้งสอง ส่วนเย่ว์เลี่ยงนั่งเบาะหน้าโดยมีอวิ๋นไป๋เป็นคนขับ
เฉิงอันนั่วและสองพี่น้องตระกูลปาอยู่ในรถคันเดียวกันด้านหลังและมีบอดี้การ์ดของตระกูลตี้ขับรถให้
ส่วนรถอีกสองคันที่เหลือเป็นบอดี้การ์ดของตระกูลเย่ว์ทั้งหกคนที่ต้องขนสัมภาระและของขวัญ
เมื่อมาถึงวิลล่าตระกูลเย่ว์ อวิ๋นไป๋ก็สั่งให้บอดี้การ์ดของตระกูลตี้ทิ้งรถสองคันไว้และให้พวกเขากลับไป หลังจากนั้นก็เรียกใช้งานปาเฝ่ย เฉิงอันนั่ว และบอดี้การ์ดอีกสองคนให้เข้าครัวเพื่อไปจัดเตรียมอาหารเย็นต้อนรับแขกที่มาเยือนจากแดนไกลโดยไม่คิดเกรงใจกันสักนิด
เนื่องจากแขกที่มาเยือนเป็นคนพิเศษ มู่เถาเยาและอวิ๋นไป๋จึงไม่ได้จัดให้มีคนแปลกหน้าเข้ามาทำสิ่งต่างๆ ดังนั้นหน้าที่นี้จึงตกเป็นของบอดี้การ์ดและคนที่พวกเขาพามา
ปาอินเสิร์ฟน้ำชาและสั่งงานบอดี้การ์ดหญิงสองคนในห้องนั่งเล่น ดูวุ่นวายอย่างมาก
มู่เถาเยาถูกปู่เย่ว์และย่าเย่ว์จัดให้นั่งอยู่ตรงกลางระหว่างพวกเขา
ย่าเย่ว์กุมมือเล็กๆ ของมู่เถาเยาไว้พลางพูดว่า “เสี่ยวอิ๋งเอ๋อร์ พี่ใหญ่ของหลานบอกว่ารอเขาทดสอบรถต้นแบบรุ่นใหม่เสร็จก่อนเขาจะส่งมาให้หลานใช้ พี่ใหญ่ของหลานมีชื่อเสียงมากในวงการออกแบบรถยนต์ เพราะงั้นหลานวางใจได้เลยว่ารถที่หลานใช้จะเป็นหนึ่งไม่มีสอง เพราะพี่ชายหลานเองก็ต้องการให้เป็นแบบนั้นเหมือนกัน”
ปู่เย่ว์พยักหน้าแล้วพูดต่อว่า “ใช่แล้ว พี่ใหญ่ของหลานน่ะออกแบบรถให้หลานหลายคันทีเดียว ตอนนี้กำลังอยู่ระหว่างทดสอบรถต้นแบบรุ่นล่าสุด”
เย่ว์เลี่ยงซึ่งนั่งอยู่อีกฝั่งของย่าเย่ว์พูดด้วยรอยยิ้มว่า “เสี่ยวอิ๋งเอ๋อร์ พี่รองของเธอเพิ่งเปิดบัญชีส่วนตัวให้เธอหลายบัญชี แถมยังซื้อวิลล่าและเกาะขนาดเล็กด้วยชื่อเธอไว้ ถ้าเธอมีเวลาสามารถไปเที่ยวที่นั่นในวันหยุดได้”
“ปู่ย่า ยังมีตากับยายของหลานยังสร้างห้องเก็บสมบัติเล็กๆ ไว้ให้หลาน พ่อแม่ของหลานเองก็ซื้อของขวัญเก็บให้หลานทุกปี อาของหลานเองก็เหมือนกัน” ย่าเย่ว์ยิ้มอย่างใจดีเมื่อเห็นว่าหลานสาวตัวน้อยของเธอน่ารักและรู้ความขนาดไหน
“เสี่ยวอิ๋งเอ๋อร์คือเจ้าหญิงน้อยของเผ่าหมาป่าพระจันทร์ของเรา หลานสามารถขออะไรก็ได้ที่หลานต้องการ ตราบเท่าที่เผ่าของเรามี เราก็พร้อมยกให้หลานทั้งหมด หรือต่อให้ในเผ่าของเราไม่มี เราก็จะไปหาจากข้างนอกมาให้หลาน!” ใบหน้าของปู่เย่ว์เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“อันที่จริง…หนูไม่ได้ขาดแคลนเงินเลย” มู่เถาเยายิ้มเล็กน้อย
เธอดูออกว่าพวกเขาต้องการชดเชยให้เธอ ไม่ใช่เพื่อชดใช้ความผิด แต่เป็นความต้องการที่อยากให้เธอได้รับในสิ่งที่ดีที่สุด เป็นความรู้สึกที่มาจากใจของพวกเขาจริงๆ
อย่างไรก็ตามความรักและเอ็นดูเหล่านี้สำหรับมู่เถาเยาแล้วก็ออกจะมากเกินไปหน่อย จริงอยู่ที่เธอเข้าใจว่าพวกเขาต้องการเติมเต็มช่วงเวลาสิบแปดปีที่ขาดหาย แต่แบบนี้มันก็อาการหนักเกินไป เหมือนกับว่าเธอได้กลายเป็นศรัทธาของพวกเขาไปแล้ว
เหมือนกับในชาติที่แล้วที่เยี่ยนหังก็เป็นเหมือนศรัทธาของเธอ เธอไม่อาจขาดน้องชายคนนี้ได้