ตอนที่ 28 อีเห็นมาอวยพรไก่ มีหรือในใจจะหวังดี

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 28 อีเห็นมาอวยพรไก่ มีหรือในใจจะหวังดี

“ผู้ใดล่าได้ก็ต้องของผู้นั้นมิใช่หรือ ! ” หลินเว่ยเว่ยเห็นว่าพรานหวังมีสีหน้าลำบากใจไม่น้อย นางจึงอาสาอธิบายแทน “ข้าเป็นคนชวนลุงหวังขึ้นภูเขาและให้สอนข้าล่าสัตว์เอง ยังไม่ต้องพูดเลยว่าแพะป่าตัวนี้ตกหลุมพรางของลุงหวังหรือไม่ เพราะเขาสอนข้าวางกับดักล่าสัตว์ การที่ข้าจะมอบแพะให้เขาสักตัวก็ถือว่าสมควรมิใช่หรือ ! ”

“ไอหยา…เด็กโง่เอ๋ย เจ้าอาจโดนเขาหลอกแล้ว ในมือของเจ้าเป็นเพียงไก่ป่าและกระต่ายตัวจ้อย หากขายได้มากสุดก็คงไม่เกิน 200 อีแปะ ขณะที่แพะป่าตัวนี้อย่างน้อยน่าจะขายได้เงิน 2 ตำลึง ราคาของมันแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ! ต่อให้แพะป่าตัวนี้เป็นฝีมือของเขา ข้าก็อยากรู้นักว่าหากไม่มีเจ้าแล้วพรานหวังจะกล้าขึ้นไปบนภูเขาหรือไม่ หากไม่มีเจ้าแล้วเขาจะล่าแพะป่ามาได้หรือ ? แพะป่าตัวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องแบ่งให้เจ้าครึ่งหนึ่งถึงจะถูก ! ” มารดาของเจ้าอ้วนซานทำตาเจ้าเล่ห์และมุมปากก็ยกยิ้มแฝงความนัยออกมา

“ข้าไม่ใช่คนโง่ ! ดังนั้นคิดว่าคนเช่นข้าจะฟังคำยุแยงตะแคงรั่วของผู้อื่นไม่ออกหรือ ! ” หลินเว่ยเว่ยส่งสายตาหาเรื่องให้อีกฝ่ายราวกับต้องการย้อนถามว่า ‘คิดว่าข้าโง่สินะ’ ให้อีกฝ่ายได้สัมผัสประสบการณ์ถูกมองด้วยสายตาเช่นนี้บ้าง

มารดาของเจ้าอ้วนซานเห็นว่านางไม่ติดกับจึงชักสีหน้าด้วยความโมโห แต่หลังจากนั้นมินานสีหน้าก็ปั้นยิ้มจนน่าขนลุก “ข้าจะยุยงอันใดเจ้าได้ ? ข้าคิดเช่นนี้จริง ! หากเจ้าพาสามีของข้าขึ้นไปล่าสัตว์บนเขาบ้าง เขาต้องแบ่งให้เจ้าครึ่งหนึ่งแน่นอน เขาไม่มีวันยึดไว้เพียงผู้เดียวหรอก”

หลินเว่ยเว่ยมองปราดเดียวก็เข้าใจเจตนาแอบแฝงของอีกฝ่ายจึงกล่าวว่า “เดิมทีสัตว์ป่าบนภูเขาไม่มีเจ้าของอยู่แล้ว ผู้ใดล่าได้ก็ต้องตกเป็นของผู้นั้น มันขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละคน ! ”

พรานหวังหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ เขาเป็นผู้ชายพอที่จะไม่ทะเลาะเบาะแว้งหรือมีเรื่องขุ่นเคืองใจกับคนในหมู่บ้าน เขาจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “มารดาเจ้าอ้วนซาน เจ้าควรหัดพูดเรื่องดี ๆ บ้าง ! ”

“แล้วข้าพูดไม่ดีตรงไหน ? เช่นนั้นก็ให้ทุกคนเห็นกันไปเลยว่าลูกสาวคนรองตระกูลหลินอุตส่าห์พาเจ้าขึ้นไปล่าสัตว์บนภูเขา แต่เจ้าแบ่งให้นางแค่ไก่ป่ากับกระต่ายอย่างละตัวเท่านั้น คราที่แล้วนางขึ้นไปบนภูเขาเพียงลำพังยังได้กวางกลับมาตั้ง 1 ตัว ! หรือเจ้าคิดเอาผลประโยชน์ดี ๆ ไว้กับตัวแล้วสิ่งใดไม่ดีก็ยกให้ผู้อื่นแทน ? ” มารดาของเจ้าอ้วนซานแสร้งทำสีหน้าเหมือนต้องการเรียกร้องความยุติธรรมให้หลินเว่ยเว่ย

“ใช่แล้ว ! พรานหวัง เจ้าอย่าคิดว่าบุตรสาวคนรองของตระกูลหลินไม่รู้เรื่องรู้ราว แล้วเจ้าจะเอาเปรียบนางได้ มันไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย ! ” เมื่อมีคนหนึ่งจุดไฟ อีกหลายคนก็ยินดีช่วยเติมเชื้อไฟ

พรานหวังโมโหจนแทบกระอักเลือดออกมา หลินเว่ยเว่ยเห็นเช่นนั้นจึงหันไปพูดกับเขาว่า “ลุงหวัง นี่ก็เย็นมากแล้ว เอาไว้พรุ่งนี้ตอนบ่ายพวกเราค่อยไปพบกันที่เดิม” เมื่อกล่าวจบนางก็เดินกลับบ้านโดยไม่หันไปมองมารดาของเจ้าอ้วนซานเลย

มารดาของเจ้าอ้วนซานยังกล่าวโทษนางอย่างไร้ยางอายว่า “พวกเจ้าดูสิ เด็กโง่ก็ยังเป็นเด็กโง่อยู่วันยังค่ำ ! ข้าอุตส่าห์ทวงความยุติธรรมให้ แต่นางไม่รู้สึกซาบซึ้งใจเลยสักนิด ทั้งยังปล่อยให้พรานหวังเอาเปรียบตามอำเภอใจ ช่างไม่รู้ดีชั่วเอาเสียเลย ! ”

ทางด้านพรานหวังทำเสียงฮึดฮัดครู่หนึ่ง จากนั้นก็แบกแพะป่าแล้วสาวเท้าเดินกลับบ้านอย่างรวดเร็ว

มารดาของเจ้าอ้วนซานกลอกตาไปมาอย่างเจ้าเล่ห์ จนในที่สุดนางก็กลับไปหารือกับสามีที่บ้าน “กี่ปีมาแล้วที่ไม่มีผู้ใดกล้าขึ้นไปล่าสัตว์บนภูเขา ข้าเชื่อว่าสัตว์ป่าบนภูเขาต้องมีมากมายแน่นอน อีกประเดี๋ยวข้าจะไปคุยกับนางหวงว่าพรุ่งนี้ให้เจ้าขึ้นเขาไปพร้อมเจ้าเด็กโง่แล้วกัน ? ”

บิดาของเจ้าอ้วนซานเรียกได้ว่าเป็นคนละประเภทกับภรรยาที่มีรูปร่างผอมเพรียวเพราะเขาตัวสูงใหญ่ แต่ก็เหมือนคำกล่าวที่ว่าสุนัขยิ่งตัวใหญ่ยิ่งทึ่ม เห็นได้ชัดว่าเขามีท่าทีเงอะงะราวกับเด็กโข่งผู้โง่เขลา

เมื่อได้ยินภรรยากล่าวว่าพรานหวังขึ้นไปบนภูเขาแล้วกลับมาอย่างปลอดภัย ทั้งยังล่าแพะป่าที่คาดว่ามีน้ำหนักกว่าร้อยชั่งมาได้อีกตัวหนึ่ง แน่นอนว่าเขาย่อมเกิดความโลภเป็นธรรมดา ทว่าต่อให้เขาเกิดความละโมบโลภมากเพียงใดก็ไม่กล้าเอาชีวิตไปเสี่ยงหรอก

“ข้าล่าสัตว์ไม่เป็น ขึ้นไปก็มีแต่เสียเปล่า ! ” ให้ตายอย่างไรบิดาของเจ้าอ้วนซานก็ไม่มีทางยอมรับว่าตนเป็นคนขี้ขลาด

มารดาของเจ้าอ้วนซานจึงถลึงตาใส่เขาด้วยความโมโหแล้วกล่าวว่า “เจ้าก็พาคนไปเยอะ ๆ หน่อยสิ หากเจ้าพาพรรคพวกที่เป็นบุรุษร่างกายกำยำขึ้นไปด้วยสักสิบคน เช่นนั้นจะยังล่าสัตว์ป่าไม่ได้อีกหรือ ? สัตว์ป่าตัวหนึ่งก็มีน้ำหนักอย่างน้อยสองสามร้อยชั่งแล้ว ให้แต่ละครอบครัวแบ่งกันประมาณสิบกว่าชั่งก็ยังได้ ลูกของเราไม่ได้ทานเนื้อมานานแล้ว เมื่อวานตอนที่ครอบครัวหลินตุ๋นน้ำแกงไก่ เขาก็ได้แต่มองอยู่ตรงประตูพร้อมน้ำลายไหลไปด้วย ข้าสงสารลูกของเราเหลือเกิน ! ”

“เช่นนั้น…ก็ได้ ! ” หลังทานมื้อเย็นเสร็จเรียบร้อย มารดาและบิดาของเจ้าอ้วนซานได้ร่วมมือกับชาวบ้านอีกสองสามครัวเรือนซึ่งเป็นเพื่อนบ้านที่ค่อนข้างสนิทสนมกันไม่น้อยและพากันบุกมาถึงประตูบ้านตระกูลหลิน

ไก่ป่ามีสรรพคุณในการบำรุงตับและโลหิต ทั้งยังให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายได้ หลินเว่ยเว่ยจึงแบ่งครึ่งตัวไว้ตุ๋นทำน้ำซุป ส่วนอีกครึ่งตัวก็เอาไว้ตุ๋นกับเห็ด นอกจากนี้นางยังทำแป้งทอดอีกสี่ชิ้นแล้วเอาเนื้อกระต่ายป่าเก็บในตะกร้าไม้ไผ่เพื่อทำอาหารในวันพรุ่งนี้

มารดาของเจ้าอ้วนซานพาพรรคพวกมาถึงหน้าบ้านตอนที่ตระกูลหลินทานอาหารเย็นเสร็จเรียบร้อยแล้วพอดี แต่ภายใต้อากาศก็ยังตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นของเนื้อตุ๋นหอม ๆ จึงทำให้มารดาของเจ้าอ้วนซานต้องกลืนน้ำลายยกใหญ่ กระนั้นนางก็ยังยืนกรานที่จะให้สามีตามขึ้นไปบนภูเขาด้วย

“นางหวงอยู่บ้านหรือไม่ ? ” นางออกแรงเคาะประตูแล้วตะโกนเสียงดังไปเจ็ดบ้านแปดบ้าน

ทว่าผู้ที่เดินออกมาเปิดประตูคือบุตรสาวคนโต หลังจากเห็นท่าทีมารดาของเจ้าอ้วนซาน นางจึงสะดุ้งแล้วเอ่ยถามเสียงเบา “พวกท่านมาหาท่านแม่ด้วยเหตุใด ? ”

“มิใช่เรื่องของเด็ก ข้ามีธุระจะหารือกับแม่ของเจ้า ! ” มารดาของเจ้าอ้วนซานผลักประตูเข้าไปโดยไม่เกรงใจ จากนั้นก็เดินนำพรรคพวกซึ่งเป็นชายฉกรรจ์กว่าสิบคนเข้ามาในบ้าน

เป็นจังหวะเดียวกับที่หลินเว่ยเว่ยเดินออกมาจากในห้องพอดี นางจึงเดินมาขวางทางแล้วบอกทุกคนว่า “ตอนนี้ท่านแม่สุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงจึงหลับไปแล้ว หากมีธุระใดก็ให้มาปรึกษาข้าแทนแล้วกัน”

มารดาเจ้าอ้วนซานรู้ดีว่านางหวงมีนิสัยใจอ่อนจึงอยากเพิ่มความกดดันให้อีกฝ่าย ขอเพียงนางหวงยินยอม มีหรือบุตรสาวจะปฏิเสธได้ ?

ทว่าตอนนี้บุตรสาวคนรองมาขวางไว้เสียได้ หากต้องการอาศัยให้นางพาคนพวกนี้ขึ้นไปบนภูเขา แน่นอนว่ามารดาเจ้าอ้วนซานย่อมมิกล้ามีปัญหาด้วยอยู่แล้ว

พอคิดได้เช่นนั้นจึงปั้นหน้ายิ้ม “ตอนนี้เจ้าเก่งกาจไปเสียทุกเรื่อง ถึงขั้นสามารถตัดสินใจแทนครอบครัวได้แล้ว ! ”

บุตรสาวคนโตที่ยืนอยู่ในมุมหนึ่งได้แต่เบ้ปากจากในระยะไกล ถึงอย่างนั้นนางก็ยังข่มใจได้โดยไม่ปริปากพูดอันใดออกมาสักคำ

“เด็กดี ตอนที่พ่อของเจ้ายังมีชีวิตอยู่ เขากับท่านอาสนิทกันมาก อาของเจ้า…” มารดาของเจ้าอ้วนซานแสร้งเอ่ยถึงไมตรีเมื่อครั้งเก่า

หลินเว่ยเว่ยมิได้ตกหลุมพรางจึงพูดตัดบทไปว่า “มีธุระใดก็พูดมาตามตรง ไม่ต้องอ้อมค้อมถึงเพียงนั้นหรอก ! ”

ตอนนี้ทำเป็นพูดเรื่องมิตรภาพระหว่างสองครอบครัว แต่ตอนที่เจ้าพาผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านมามากมายเพื่อก่อเรื่องถึงบ้านข้า ไหนจะบอกว่าวัตถุดิบสำหรับทำอาหารของบ้านข้ามีที่มาที่ไปไม่ชัดเจน เหตุใดตอนนั้นไม่อ้างว่าครอบครัวของข้าสนิทกับครอบครัวของเจ้า ?

รอยยิ้มบนใบหน้าของมารดาเจ้าอ้วนซานแข็งทื่อทันที นางยิ้มเจื่อนแล้วกล่าวว่า “เจ้านี่นะ เด็กน้อย…เช่นนั้นข้าจะไม่พูดถึงเรื่องในอดีตแล้ว เอาเป็นว่าเอ่ยเรื่องในตอนนี้ก่อนแล้วกัน พวกเราล้วนอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเดียวกันและเป็นเพื่อนบ้านใกล้ชิดมาเนิ่นนาน ดังนั้นเวลามีสิ่งใดก็ควรช่วยเหลือกัน เจ้าว่าจริงหรือไม่ ? ”

“ก็บอกแล้วว่าให้เลิกพูดจาอ้อมค้อมไปมา มีเรื่องอันใดก็กล่าวมาตามตรง ! ” หลินเว่ยเว่ยเพิ่งย้อนเวลามาอยู่ที่นี่ได้สามวันจึงพอเข้าใจสถานการณ์ในหมู่บ้านเกือบทั้งหมดแล้ว นางกวาดตามองชาวบ้านที่ตามมารดาเจ้าอ้วนซานมาด้วย มองแล้วไม่มีผู้ใดมีไมตรีที่ดีต่อตระกูลหลินของนางเลย

มารดาของเจ้าอ้วนซานผงะไปเล็กน้อย สุดท้ายจึงกล่าวว่า “เจ้าก็เห็นว่าปีนี้แห้งแล้งมากเพียงใด ขนาดน้ำในบ่อตรงตีนเขายังแทบเหือดแห้งเต็มที ไม่รู้ว่าปีนี้จะเก็บเกี่ยวพืชพันธุ์ได้หรือไม่ ไหนจะราคาของข้าวและธัญพืชที่เพิ่มสูงเป็นรายวัน หากยังเป็นเช่นนี้พวกเราคงอดตายแน่…”

เมื่อเห็นว่าหลินเว่ยเว่ยเริ่มหมดความอดทน นางจึงเอ่ยจุดประสงค์แท้จริงออกมา “สิ่งที่พวกข้าต้องการสื่อก็คือวันพรุ่งนี้ตอนเจ้าพาพรานหวังขึ้นภูเขา พอจะพาพวกอา ๆ ของเจ้าไปด้วยได้หรือไม่ ? ”

หลินเว่ยเว่ยได้ยินก็รู้สึกอยากหัวเราะออกมาดัง ๆ ครั้งที่แล้วก็คนกลุ่มนี้ที่มาก่อความวุ่นวายในบ้านของนาง บัดนี้ยังคิดมาเอาเปรียบนางด้วย พอเห็นว่านางเข้าป่าแล้วกลับมาอย่างปลอดภัยก็เกิดความโลภอยากขอติดตามไปด้วย คิดว่าข้าเป็นมนุษย์ดินปั้นที่พวกเจ้าอยากบีบเช่นไรก็ได้ตามอำเภอใจหรือ ?

ตอนต่อไป