ตอนที่ 90 แสงจากจิตใจ

สุดยอดเซนต์ตัวปลอมแห่งยุค

แตกต่างจากร่างยักษ์ใหญ่ก่อนหน้านี้ ร่างถัดไปของ”แม่มด”นั้นมีขนาดตัวเทียบได้กับเอลริสเท่านั้น

หางตาชี้ขึ้นอย่างไม่เป็นมิตร แต่นัยน์ตากลับว่างเปล่า มีใบหน้าที่งดงาม แต่กลับรู้สึกได้ถึงความเย็นชา

ผมสีเงินเป็นประกายยาวถึงเอว ดวงตาสีฟ้าจับจ้องมายังเอลริส

ในส่วนของอายุ–หากใช้ชาวญี่ปุ่นเป็นมาตรฐาน เธอก็น่าจะอยู่ในช่วงสามสิบต้นๆ

รูปร่างร่างของเธอเองก็สมส่วนดูดี

เอลริสไม่แน่ใจว่ารูปลักษณ์นี้มีฐานมาจากแม่มดคนไหนบ้าง…เธอเพิ่งจะรู้สึกตัวได้ว่า เซนต์ทุกคนตั้งแต่อดีตล้วนมีผมสีเงินเหมือนกันหมด

ต้องบอกว่าเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์มากที่เธอไม่โดนจับได้ว่าเป็นตัวปลอม แต่นี่ไม่ใช่เวลาจะมาคิดเรื่องงี่เง่าพรรค์นั้นกลางสนามรบ

จังหวะนี้ล่ะ ที่มันมารวมตัวกันอยู่ในที่เดียว เป็นโอกาสแล้วที่จะจับมันขังไว้

จริงอยู่ที่มันคงจะแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมไม่น้อยจากการรวมตัวกัน แต่อีกฝ่ายอยู่ในร่างแบบนี้ถือว่าโชคดีของเอลริสแล้ว

เท่านี้เธอก็จะสามารถจับมันขังไว้ในบาเรียแล้วเอาไปปล่อยออกอวกาศได้

ราวกับว่าตรวจจับความคิดในแง่ดีเช่นนั้นได้จากเอลริส แม่มดพุ่งเข้าใส่เธอพร้อมกับฟันดาบที่สร้างจากพลังเวทย์เข้าใส่

เอลริสพยายามจะสร้างดาบแสงขึ้นมากันเอาไว้ตามปกติ แต่ก็เสียท่าถูกซัดปลิวไป

ร่างของเธอพุ่งทะลุตึกจำนวนไม่น้อยก่อนที่จะตกลงสู่พื้น เอลริสยังคงลุกขึ้นมาได้ไม่มีปัญหา แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความตกใจไม่น้อยเลย

ตั้งแต่ที่เธอกลายมาเป็นเอลริส เธอก็ไม่เคยได้รับความเสียหายแบบนี้

เป็นเพราะว่าร่างของเธอจะถูกห่อหุ้มเอาไว้ด้วยบาเรียอยู่ตลอดเวลา

แน่นอนว่าจนถึงตอนนี้บาเรียนั้นก็ยังคงอยู่ ถึงแม้การโจมตีของแม่มดจะทะลุบาเรียมาได้ ก็สร้างความเสียหายได้เพียงเล็กน้อย

จนกระทั่งตอนนี้ พลังเวทย์ของเอลริสก็ยังคงเหนือกว่าแม่มดอยู่ดี

ถึงแม้ตัว”แม่มด”จะสร้างขึ้นจากพลังเวทย์และสามารถฟื้นตัวได้ไม่จำกัด สุดท้ายมันก็ยังสามารถปล่อยพลังเวทย์ได้มากที่สุดแค่ในระดับของแม่มดห้าสิบกว่าคนรวมกันเท่านั้น

หากนับเป็นตัวเลข แม่มดก็คงจะมีพลังเวทย์ในระดับราวๆแสนกว่า ยังถือว่าน้อยกว่าเอลริสหลายเท่า

แต่พลังโจมตีที่มันสามารถอัดเข้าไปในการโจมตีครั้งเดียวนั้นมีสูงกว่าเอลริส หากปล่อยให้การต่อสู้ยืดเยื้อต่อไป เอลริสจะเริ่มกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

เอลริสสามารถฟื้นฟูตัวเองได้ก็จริง…แต่อายุขัยของเธอนั้นมีเหลืออยู่เพียงนิดเดียว

เอลริสในตอนนี้คืนชีพกลับมาได้ด้วยชีวิตที่เหลืออยู่ของฟุโดว นิอิโตะ

เธอจะปล่อยให้การต่อสู้นี้ยืดเยื้อไม่ได้

เอลริสพุ่งตรงเข้าไปประดาบกับแม่มดอีกครั้งหนึ่ง

ต่างจากครั้งที่แล้วซึ่งเธอถูกเล่นทีเผลอ คราวนี้เป็นแม่มดเองที่ถูกซัดจนปลิวไป ในพริบตาต่อมา ดาบแห่งแสงก็ถูกเสียบทะลุร่างของแม่มดอีกครั้งหนึ่ง

เอลริสไม่ปล่อยให้เสียโอกาสหลังจากเห็นแม่มดชะงักไป เธอรีบร่ายเวทย์กักขังมันทันที

บาเรียที่กันไม่ให้พลังเวทย์ไหลเข้าออกก่อตัวขึ้นรอบๆแม่มด

เธอต้องใช้พลังเวทย์ถึงหนึ่งแสนเพื่อเสริมความแข็งแกร่งไม่ให้มันถูกทำลาย จากนั้นจึงร่ายเวทย์อื่นทับต่อ

“Festina Lente!”

เสาแห่งแสงปรากฏขึ้นจากด้านใต้ ส่งกรงขังและตัวแม่มดลอยขึ้นไปด้วยความเร็วสูง

จุดหมายคือสถานที่ซึ่งอยู่นอกเหนือขอบเขตของฟิโอริแห่งนี้…สู่ห้วงอวกาศ

เอลริสอาจจะส่งมันไปได้ไม่ไกลมากนัก แต่ก็น่าจะเป็นระยะทางมากพอที่มันจะกลับมาไม่ได้ด้วยตนเอง

เสาแห่งแสงขึ้นพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ จนไม่สามารถมองเห็นมันได้อีกด้วยตาเปล่า

ในเวลาเดียวกันนั้น เอลริสได้แต่คุกเข่าเอามือกุมอก

ถึงแม้เธอจะสามารถใช้เวทมนตร์ได้อย่างไม่มีปัญหาจนถึงเมื่อครู่ แต่หัวใจของเธอในตอนนี้กลับเต้นอย่างรุนแรงไม่หยุด

อาจจะเป็นเพราะว่าเธอนั้นตายมาจนถึงเมื่อสักครู่ก็ได้ หรือจะเป็นเพราะว่าเธอเข้าใกล้ความตายอีกแล้วก็ได้…หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพราะทั้งสองอย่าง

ร่างกายนี้คงจะไม่สามารถใช้ในการร่ายเวทย์พลังสูงเช่นนั้นได้อีกแล้ว

“ท่านเอลริสคะ! เป็นอะไรหรือเปล่าคะ!?”

เลย์ล่ารีบวิ่งเข้ามาประคองเอลริส

ความสุขจากการที่ได้เห็นนายหญิงของเธอคืนชีพกลับมาได้ผ่านพ้นไปแล้ว ในตอนนี้เธอนั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

เธอไม่เคยเห็นเอลริสต่อสู้อย่างยากลำบากเช่นนั้นมาก่อน

ไม่ว่าจะเป็นกองทัพที่ยิ่งใหญ่แค่ไหน หรือปีศาจที่แข็งแกร่งเท่าใด เอลริสก็ยังสามารถเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายได้อย่างองอาจและชนะมาได้อย่างง่ายดาย

ในตอนนี้ เธอนั้นดูจะเหนื่อยอ่อนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

‘หรือว่าเธอกำลังจะจากไปอีกแล้ว?’ เป็นความคิดที่พุ่งเข้ามาในหัวไม่หยุด

“เลย์ล่า…เธอเองก็ด้วยนะ ดูสิ ผอมลงไปตั้งเยอะเลย”

ตัวเอลริสเองก็ตกใจที่ได้เห็นรูปร่างของเลย์ล่าในตอนนี้ไม่แพ้กัน

เลย์ล่าในตอนนี้นั้นไม่ได้ดูงดงามเหมือนแต่ก่อน ร่างของเธอนั้นดูผอมแห้งจนเกินไป

นี่แสดงให้เห็นว่าตัวเธอนั้นทุกข์ทรมาณเท่าใดกับการตายของเอลริส

ดูเหมือนว่าเอลริสจะประเมิณความจริงนี้ต่ำเกินไป

เธอมองว่าเลย์ล่านั้นเป็นเพียงตัวละครที่ทรยศเอลริสคนเก่า จึงเข้าใจว่าถึงตัวเธอตายไปนั้นก็ไม่น่าจะส่งผลอะไรมากนัก

เธอไม่ได้เข้าใจถึงอุปนิสัยและความจงรักภักดีที่เลย์ล่ามีต่อตัวเธอจนถึงตอนนี้ เธอคิดไปเองว่าเลย์ล่าน่าจะตอบสนองอย่างไรต่อการตายของตัวเธอ

หากเป็นคนอื่นๆก็คงจะรู้สึกตัวไปนานแล้ว แต่เอลริสกลับเริ่มรู้สึกตัวได้ในตอนนี้

…ต้องบอกว่ามันสายจนเกินไปแล้ว

เวลาของเอลริสนั้นมีเหลืออยู่เพียง เธอจะไม่มีโอกาสได้เห็นรุ่งสางของวันถัดไปด้วยซ้ำ

นี่เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกหวาดกลัวต่อความตาย

ถ้าเธอจากไปล่ะก็…เลย์ล่าจะเป็นอะไรรึเปล่า?

เธอมีความหวังหลังจากที่เห็นเอลริสกลับมา และจะตกลงสู่ความสิ้นหวังหากเอลริสต้องตายอีกครั้ง

จะเป็นอะไรมั้ยเนี่ย เลย์ล่าจะใจสลายรึเปล่า?

นี่เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่เอลริสรู้สึกไม่ต้องการที่จะตาย

…แต่นั่นก็สายเกินไปเสียแล้ว

“จบแล้วเหรอ?”

อัลเฟรียถามพร้อมกับเดินเข้ามาใกล้

ต่างจากเลย์ล่า ดูเธอจะอยู่ดีกินดีเหมือนเดิม

“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ…ชั้นทำได้เพียงขังมันไว้และนำไปปล่อยนอกท้องฟ้าของโลกนี้ ต่อให้มันสามารถทำลายกรงขังออกมาได้ มันก็ไม่ควรที่จะกลับมายังที่นี่ได้อีก…”

ในขณะที่พูดเช่นนั้น เอลริสก็หยุดไป

เสียงของบางสิ่งบางอย่างดังออกมาจากท้องฟ้าข้างบน

แต่นั่น นั่นเป็นไปไม่ได้

จนถึงตอนนี้ “แม่มด”นั้นเคยแต่สิงสู่อยู่ในร่างของเซนต์ ไม่มีใครคิดว่ามันจะสามารถสิงสู่ในสิ่งที่ไม่มีชีวิตได้

เธอหันไปหาโปรเฟตะด้วยสีหน้าหวาดกลัว มันพูดออกมาด้วยเสียงตื่นตระหนก

“แย่แล้ว เจ้านั่น…เจ้านั่นควบคุมหินขนาดใหญ่บนนั้นแล้วก็พุ่งตรงมาทางนี้…!”

เอลริสสามารถเข้าใจได้ว่านั่นหมายถึงอะไร

มันคืออุกกาบาต

แม่มดที่ถูกส่งขึ้นไปยังห้วงอวกาศ ยึดอุกกาบาตแถวๆนั้น และใช้มันเพื่อกลับมายังโลก

หากไม่ทำอะไรสักอย่างล่ะก็ นี่อาจจะเป็นภัยพิบัติที่ส่งผลต่อทั้งดาวเคราะห์

ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด มนุษยชาติอาจจะสูญพันธุ์ไปทั้งอย่างนี้เลย

“…อึก! เราจะต้องรีบหยุดมันไว้ค่ะ!”

เอลริสชูมือขึ้นฟ้า รวบรวมพลังเวทย์ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

อีกฝ่ายคืออุกกาบาตที่อาจจะลบล้างทั้งอารยธรรมมนุษย์ให้หายไปจากโลกได้ ไม่มีเวลามาออมแรงอะไรแล้ว

เธอรีดพลังเวทย์ที่มีออกมาจนหยดสุดท้าย ช่างหัวใจที่เต้นระรัวอยู่ในอกไปก่อน

ในเวลาเดียวกันนี้ ความเจ็บปวดภายในอกนั้นก็ยังไม่จางหายไป

“Aurea Libertas!”

ลำแสงพุ่งตรงออกมาจากมือของเธอ

นี่คือเวทมนตร์ที่เหนือกว่าเวทย์ใดๆที่เธอเคยใช้มาทั้งชีวิต เป็นลำแสงใหญ่ยักษ์ที่สามารถมองเห็นได้กระทั่งในอวกาศ

ด้วยหลังถึงขนาดนี้ กระทั่งอุกกาบาตขนาดใหญ่ก็ถูกเป่าจนกลายเป็นผงก่อนที่จะเข้าใกล้พื้นดินเสียอีก

หลังจากที่ยิงลำแสงนั้นออกไป เอลริสก็แทบจะล้มลงกับพื้น ทำได้เพียงใช้มือยันเอาไว้

“ฮู่!ฮ่า! ฮู่! ฮ่า!”

ลมหายใจของเธอติดขัด ในอกของเธอนั้นเจ็บปวดอย่างมหาศาล

การโจมตีเมื่อครู่คงจะใช้ชีวิตที่เหลือของเธอไปไม่น้อยเลย การหายใจในแต่ละครั้งทำให้เธอรู้ถึงเรื่องนั้น

เลย์ล่าไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากประคองเอลริสไว้ทั้งน้ำตา เธอสาปแช่งความไร้พลังของตนเอง

ถึงกระนั้นแม่มดก็ยังไม่หายไป มันพยายามที่จะรวมตัวขึ้นอีกครั้งบนท้องฟ้า

“เลย์ล่า…ถอยไป…”

เอลริสลุกขึ้นมาอีกครั้งด้วยขาที่สั่นเครือ และพยายามที่จะไหลเวียนพลังเวทย์

การโจมตีเมื่อครู่ใช้พลังเวทย์ของเธอจนหมด

เธอจะต้องรีบฟื้นฟูมันกลับมาให้ได้มากที่สุด

ในตอนที่เธอดูดซับพลังเวทย์รอบๆเข้ามานั้น…เอลริสรู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่ไม่เหมือนเดิม

ความรู้สึกไม่สบายใจ ความรู้สึกด้านลบเช่นความกลัว ความสิ้นหวัง ความเกลียดชัง ความริษยา ทั้งหมดทั้งมวลนั้นล้วนหลั่งไหลเข้ามาพร้อมๆกัน

นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่เลย เธอเคยทำเช่นนี้มาแล้วไม่รู้กี่รอบ

นี่เป็นสิ่งที่เอลริสรู้ดี และโดยปกติก็จะไม่คิดมากอะไร

สิ่งที่เปลี่ยนไปนั้น…คือจิตใจของเอลริสเอง

ก่อนหน้านี้ เอลริสจะมองทุกอย่าง กระทั่งตัวเธอเอง จากมุมมองบุคคลที่สาม

เธอคิดว่าตนเองเป็นเพียงผู้ชม…เป็นอย่างนี้มาตลอดตั้งแต่ชาติก่อน

เธอจึงสามารถมองข้ามความรู้สึกเหล่านี้ไปได้ง่ายๆ ต่อให้ทำไปก็ไม่ทำให้คิ้วกระตุกด้วยซ้ำ

นี่อาจจะเป็นเพราะว่าเธอตายไปแล้วครั้งหนึ่งก็ได้

อาจจะเป็นเพราะว่าเธอเริ่มรู้สึกตัวแล้วว่าโลกนี้คือความเป็นจริงก็ได้

หรืออาจจะเป็นเพราะว่าวิญญาณของเธอได้รับการเติมเต็มแล้วก็ได้

…ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เอลริสในตอนนี้ไม่สามารถที่จะมองความรู้สึกเหล่านั้นเป็นเพียงเรื่องของคนอื่นได้อีกแล้ว

ความรู้สึกด้านลบเหล่านั้นเริ่มที่จะน่ารำคาญขึ้นมา

ความรู้สึกเหล่านั้นทำให้หัวใจของเธอเต้นรัว เหมือนกับสัญชาตญาณดิบที่ต้องการที่จะทำลายทุกอย่างโดนปลุกขึ้นมา

โดยปกติแล้ว ไม่มีใครที่คิดจะแสดงให้เห็นถึงด้านมืดในจิตใจตนเอง

การดูดซับพลังเวทย์จากภายนอกเข้ามา ทำให้ความมืดในใจนั้นค่อยๆขยายใหญ่ขึ้นจนไม่สามารถเมินเฉยได้อีก

อยากที่จะถูกช่วย อยากจะเป็นคนเดียวที่สนุก

ความอิจฉาและความเกลียดชังต่อคนที่มีตำแหน่งสูงกว่า

เหมือนกับว่ามีเปลวเพลิงสีดำลุกโชนในจิตใจ แต่กลับเป็นเพลิงที่เหนียวติดและเอาไม่ออก

แม่มดคนแรกเองก็คงถูกความรู้สึกเหล่านี้เข้าครอบงำเช่นกัน

ปกป้องมนุษยชาติมันคุ้มค่าตรงไหนกัน? ทำลายพวกมันซะให้หมดน่าจะดีกว่า?

ความรู้สึกดำมืดเหล่านี้ถูกส่งต่อโดยเซนต์ไปยังรุ่นสู่รุ่น และดึงพวกเธอเข้าสู่ด้านมืด

“…ฮุ”

เอลริสหัวเราะ และยังคงดูดซับพลังเวทย์เข้ามาต่อ

จิตใจมนุษย์มันอัปลักษณ์อย่างนั้นรึ? อะไร คิดว่าเธอไม่รู้รึยังไงกัน

บอกเลยว่าตัวเธอนี่แหละคือแบบอย่างของคนที่มีจิตใจอัปลักษณ์ ไอ้เรื่องแบบนั้นน่ะมันเฉยๆเว้ย

เอลริสนั้นแตกต่างออกไป

โทษทีนะ…ที่จิตใจของเธอมันดำมืดมาตั้งแต่ต้นแล้วน่ะ

เป็นสีดำปิ๊ดปี๋จนตัวเธอเองก็ปฏิเสธไม่ได้

เธอจะนึกถึงตัวเองก่อนเสมอ และถ้ามีโอกาสก็จะมองคนอื่นด้วยสายตาดูถูก เป็นขยะสังคมตัวจริง

ถึงจะทำตัวเป็นคนดีไปแค่ไหน ลึกๆแล้วเธอก็รู้ดีว่าตัวเองนั้นเป็นคนนิสัยเช่นนั้น

เธอทำตัวเป็นคนดีก็เพราะว่ามันจะยุ่งยากถ้ามีใครรู้ว่าเธอเป็นคนไม่ดี

จะเทสีดำลงไปในสีดำ มันก็ไม่ได้ทำให้เกิดอะไรขึ้น อย่างมากก็แค่ทำให้เธอรู้สึก”รำคาญนิดหน่อย”

เซนต์รุ่นก่อนๆนั้นไม่เหมือนกัน

พวกเธอนั้นอยู่คนละฝั่งกับความมืดมิด

มนุษย์ไม่สมควรที่จะเป็นเช่นนั้น จิตใจของคนเราควรจะงดงามกว่านี้ ดีกว่านี้

พวกเธอเชื่อเช่นนั้น ต่อต้านความรู้สึกด้านลบ…จนกระทั่งความหวังในมนุษยชาติของพวกเธอพังทลาย และกลายเป็นแม่มดไปในที่สุด

เอลริสจะไม่มีทางสิ้นหวังในมนุษยชาติเด็ดขาด

ทำไมน่ะหรือ?–

เพราะว่าถ้าเอามาเทียบกับเธอแล้ว คนส่วนใหญ่ยังจะดีซะกว่า!

นี่คือความคิดของคนที่อยู่ในจุดต่ำสุด

ในความคิดของเอลริส ด้านมืดของคนส่วนใหญ่นี่เทียบอะไรไม่ได้เลยกับความมืดของตัวเธอเอง

ความริษยา? จะรู้สึกหงุดหงิดเมื่อเห็นใครได้ดีกว่าตัวเองก็เป็นเรื่องปกตินี่ ไอ้พวกเพียบพร้อมที่หาสาวมาตั้มได้ในวันคริสต์มาสน่ะ ระเบิดตายไปซะ!

ความแค้น? ถ้าโดนทำอะไรแย่ๆใส่ จะโกรธกลับก็ถูกแล้วป่ะ

จะบอกให้อภงอภัยอะไร นั่นมันก็ยอมเขาเฉยๆไม่ใช่เรอะ

ความเกลียด? นั่นมันก็อารมณ์ปกติของมนุษย์นี่นา

จะอยากดีอยากเด่นกว่าคนอื่นเขาก็ไม่เห็นผิดอะไรเลยนี่

มนุษย์เป็นสัตว์สังคมนี่นา การจะอยากได้ความเคารพจากคนอื่นๆก็ถือเป็นธรรมชาติ

ความต้องการนี่เป็นของที่สิ่งมีชีวิตทุกชนิดมีอยู่แล้ว

ถ้าไม่มีก็อยู่ไม่ได้นี่นา

เธอรู้จักความรู้สึกด้านลบพวกนั้นดีอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องผิดอะไร

เอาจริงๆ สิ่งที่กวนใจเอลริสยิ่งกว่าความรู้สึกด้านลบพวกนั้นคือ…ความรู้สึกอื่น มันมีอยู่น้อยนิดก็จริง แต่ก็รู้สึกได้ว่ามีอยู่

คำอธิษฐาน ความต้องการที่จะให้คนสำคัญปลอดภัย เป็นความโลภที่บริสุทธิ์

ควาหวัง ความต้องการที่จะเห็นวันพรุ่ง แสงจากจิตใจซึ่งเกิดขึ้นจากความรู้สึกที่ต้องการจะเดินหน้าและฝ่าฟันอุปสรรคไปให้ได้

ความกล้า เพลิงสีขาวที่ขับไล่ความหวดกลัว และผลักดันให้สามารถไปต่อได้

ความรักทั้งหลายแหล่-ความรักต่อครอบครัว ต่อเพื่อนฝูง ต่อเพื่อนมนุษย์ ต่อคนรัก

สิ่งเหล่านี้ความรู้สึกที่ผิดแปลกสำหรับเอลริส เทียบกับความรู้สึกด้านลบทั้งหลายแล้ว ของอย่างความรักนั้นก็ไม่ต่างจากพิษที่ฉีดตรงเข้าใส่หัวใจเธอ

‘อิกย๊าาาา! ดูดเร็วเกิน ได้อะไรก็ไม่รู้ติดมาด้วยว้อยยยย!”

จิตใจของเซนต์ทั้งหลายนั้นเดิมเป็นสีขาว กลับถูกย้อมจนเป็นสีดำ

ในทางตรงกันข้ามนั้น…หากจิตใจดำมืดของเอลริสดูดซับความรู้สึกด้านบวดเข้าไปมากๆล่ะ?

‘ยะ หยุดนะเว้ย! ดะ เดี๋ยวตูก็โดนชำระล้างหายไปก่อนแม่มดหรอก! จะร่ายเวทย์รักษาใส่อุปกรณ์ต้องสาปก็ได้ผลตรงกันข้ามสิวะ!’

มันก็จะถูกชำระล้างด้วยแสงสว่าง

ความรู้สึกที่ปนเปื้อนมากับพลังเวทย์ในอากาศนั้น ไม่ได้มีแต่ความรู้สึกด้านลบ แต่ยังรวมถึงความรู้สึกด้านบวกด้วย

เซนต์ทั้งหลายจะมองความรู้สึกด้านบวกพวกนั้นว่าเป็นสิ่งปกติ

พวกเธอจึงถูกความรู้สึกด้านลบเข้าครอบงำ และไม่รู้สึกตัวถึงแสงสว่างที่แฝงตัวอยู่

กลับกันแล้ว กับเอลริสที่คงจะแย่ไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว ความรู้สึกด้านลบจึงเป็นเรื่องปกติ ความรู้สึกด้านบวกต่างหากที่ส่งผลกับเธอ

เอลริสได้แต่คิด

—เธอไม่ต้องการของแบบนี้

เหมือนกับซอมบี้ที่โดนดาเมจจากเวทย์ศักดิ์สิทธิ์ จิตใจปนเปื้อนของเอลริสจึงหวาดกลัวแสงสว่างจากจิตใจมนุษย์ไม่ต่างจากแวมไพร์กลัวแดด

ตัวเธอในตอนนี้คือผีดูดเลือดที่กำลังโดนแสงแดดจากดวงอาทิตย์แผดเผา

แต่ความหวังต่อชัยชนะของเอลริส คำอธิษฐาน ความรักใคร่ยังคงไหลเข้ามาไม่หยุด

นี่คิดจะฆ่าเธอก่อนแม่มดรึไงฮะ?

“แม่มดเอ๋ย”

เอลริสส่งรอยยิ้มเมตตา(ปากกระตุกเล็กน้อย)ให้กับแม่มด

สีหน้าแบบนี้แสดงให้เห็นว่าตัวเธอโดนความเสียหายไปพอสมควร จนเกือบจะโดนชำระล้างอยู่แล้วเนี่ย

หากปล่อยไว้เป็นแบบนี้ หัวใจของเธอจะโดนย้อมด้วยสีขาวเป็นแน่ เธอจึงคิดที่จะโยนไปให้คนอื่นแทน

จะเขวี้ยงทิ้งอย่างเต็มแรงเลย นั่นคือความตั้งใจของเอลริส

“ตัวคุณไม่อาจต้านทานความมืดมิดจากจิตใจของมนุษย์ได้ แต่ว่า หัวใจคนเราน่ะ ไม่ได้มีเพียงเท่านั้นหรอกนะคะ สิ่งที่ตัวพวกคุณพยายามที่จะปกป้องไว้ในครั้งยังเป็นเซนต์อยู่…ความรู้สึกเหล่านั้นที่พวกคุณเคยหวงแหน ยังคงอยู่ที่นี่ค่ะ!”

นั่นเกือบจะเป็นขีดสุดของเอลริสแล้ว

เธอเริ่มจะมองเห็นโลกสวยงามขึ้นมาบ้าง

อยู่ๆก็มีความรู้สึกที่ทำให้ต้องการจะรักทุกอย่างผุดขึ้นมาในหัว

เธอเข้าใจความรู้สึกที่ต้องการจะทำลายดี ความรู้สึกที่ต้องการจะปกป้องแบบนี้ก็ค่อนข้างจะแปลกใหม่เหมือนกัน

‘ไม่เอาน่า ไอ้ความรู้สึกอยากจะกอดๆลูบๆสาวสวยนี่ก็เข้าใจอยู่หรอก แต่ไอ้ความรู้สึกที่ทำให้อยากโอบกอดตัวผู้นี่มันอะไรกันฮะ?’

‘ไม่นะ ไม่เอาน่า ตูไม่ได้ชอบเพศเดียวกันนาเหวย …จริงๆนะคะ ตัวชั้นชอบผู้หญิงจริงๆนะคะ’

‘ชั้นไม่ได้ต้องการที่จะสัมผัสผู้ชายเลยค่ะ’

‘แต่ว่า อาา…ทุกๆอย่างในสายตาชั้น ทั้งเวอร์เนลคุง จอห์นคุง หรือแม้กระทั่งเต่าซังกลับดูน่ารักขึ้นมาอย่างไรก็ไม่รู้ค่ะ’

‘เพราะเช่นนั้นนั้น ก่อนที่ตัวชั้นจะเสียสติไป จึงต้องรีบปลดปล่อยความรู้สึกนี้ออกไปให้ได้โดยเร็วที่สุดค่ะ’

ไม่ต้องพูดถึงห้าปีเลย ถ้าแค่ผ่านไปอีกสักห้านาทีนี่ เธอจะได้โดนชำระล้างไปถึงแก่นเลยล่ะ

จะเป็นการพลิกจากหลังตีนมาเป็นหน้ามือเลยทีเดียว

“รับไปค่ะ! แสงสว่างจากจิตใจของทุกๆคน!”

เอลริสรวบรวมแสงจากจิตใจมนุษย์(ของไม่จำเป็น)มายังฝ่ามือของเธอ

เป็นสีขาวเกือบจะออกใส ห่อหุ้มไว้ด้วยพลังเวทย์สีทองของเอลริส

ของพรรค์นี้น่ะเป็นแค่สิ่งรบกวนต่อสิ่งมีชีวิตธาตุมืดอย่างเอลริส

ฉะนั้นคุณ”แม่มด”ที่เคยเป็นธาตุแสงมาก่อน(เพราะเคยเป็นเซนต์) ช่วยเอากลับไปเถอะ คืนให้

แต่พลังจากจิตใจของผู้คนนั้นออกจะเข้มข้นเกินไปหน่อย

ทำให้เอลริสเสียหลักไปชั่วขณะ แต่ก็มีคนเข้ามาพยุงร่างของเธอเอาไว้ได้

นั่นคือเลย์ล่าและเวอร์เนล

ยิ่งได้รับความรู้สึกรักใคร่และซื่อสัตย์จากทั้งสองคนที่ไหลเข้ามา เอลริสก็ยิ่งรู้สึกเหมือนกำลังจะตาย

‘ไม่ดีแล้วค่ะ ตัวชั้นค่อยๆถูกแผดเผาจนกลายเป็นขี้เถ้าแล้วค่ะ’

ถึงอย่างนั้น เธอก็ยังหันไปยิ้มให้ทั้งสองคน กระทั่งตัวเธอเองก็รู้สึกได้ถึงความเป็นห่วงเป็นใยต่อตัวทั้งสองที่ก่อขึ้นภายในจิตใจของเธอ

‘อา แย่แล้วค่ะ ชั้นจะได้เปลี่ยนกลายเป็นเซนต์ตัวจริงจากเนื้อในเข้าจริงๆนะคะเนี่ย’

ด้วยความกลัวเช่นนั้น เอลริสจึงง้างแสงจากจิตใจเข้าหาแม่มด และเขวี้ยงใส่มันเต็มแรง

“ไปเลยยยยยย!”

แสงเจิดจ้าพุ่งตรงเข้าใส่แม่มดที่ยังไม่อาจก่อตัวกลับมาเป็นรูปเป็นร่างได้

_____

เหลืออีกสี่ตอน