บทที่ 69 เข้ามาพร้อมกัน

ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา

บทที่ 69 เข้ามาพร้อมกัน

บทที่ 69 เข้ามาพร้อมกัน

การต่อสู้ในลานประลองนี้ไม่ใช่การต่อสู้ธรรมดา คนแรกจะยืนอยู่ในมุมหลัก คนที่เหลือจะดาหน้ากันเข้ามาท้าชิง ผู้ชนะสามารถอยู่มุมหลักต่อไปได้ ซึ่งการแข่งขันจะดำเนินต่อไป โดยผู้ยืนอยู่ในลานประลองได้เป็นคนสุดท้ายจะเป็นผู้ชนะ

ถึงแม้บุตรศักดิ์สิทธิ์จะมีพรสวรรค์มาก เป็นผู้อยู่ขั้นจักรพรรดิยุทธ์ที่อายุน้อยที่สุดในแดนเหนือ มีวิชามากมาย ส่วนการบ่มเพาะทั้งด้านยันต์และค่ายกล เขาก็เก่งมากเช่นกัน

ทว่า… นี่คือสำนักอักขระสวรรค์แห่งแรกในแผ่นดินหยวนหง ในสำนักอักขระสวรรค์ ตามบันทึกประวัติศาสตร์สำนัก ผู้เปี่ยมพรสวรรค์มีมากมายราวกับหัวผักกาด เกิดขึ้นใหม่ทุกปีราวกับสถานที่แห่งนี้คือแหล่งขุมทรัพย์สำหรับผู้ใฝ่หาผู้มีพรสวรรค์ด้านค่ายกลและศาสตร์ยันต์

ลู่หยวนไม่ใช่ผู้มีพรสวรรค์คนเดียวในสำนักที่มาถึงขั้นนี้ ยิ่งกว่านั้น กู่หงเฟยผู้อยู่ในสำนักอักขระสวรรค์ก็ได้ก้าวเข้าสู่ขั้นจักรพรรดิยุทธ์ตั้งแต่ยังหนุ่ม พลังของเขาแข็งแกร่งยิ่ง หากต่อกรกับบุตรศักดิ์สิทธิ์อาจสู้ได้อย่างทัดเทียมก็เป็นได้

หากบุตรศักดิ์สิทธิ์ไปยืนอยู่ในมุมหลักของลานประลอง ภายใต้การต่อสู้อย่างต่อเนื่องกับอัจฉริยะของสำนักอักขระสวรรค์ ย่อมพ่ายแพ้อย่างแน่นอน

หลังจากฉินอี่หานได้ยินเช่นนั้น นางจึงกล่าวว่า “ดูท่าเจ้าจะได้รับวาสนามากมายในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาสินะ ทำให้มั่นใจในการยืนอยู่มุมหลักนั่น แบบนี้ตำแหน่งผู้สืบทอดจะต้องตกอยู่ในมือของเจ้าอย่างแน่นอน”

“ขอแสดงความยินดีล่วงหน้าก็แล้วกัน หากไม่มีอะไรแล้ว ก็จงกลับไปเสีย ข้าเกียจคร้านเกินกว่าจะไปเข้าชมพิธี”

ลู่หยวนยกยิ้ม ศิษย์พี่ไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย นางมีนิสัยตรงไปตรงมา ยอมหักไม่ยอมงอ

เขาวางเหรียญตราไว้บนตอไม้ก่อนจะลุกขึ้น “ถึงแม้พรุ่งนี้จะเป็นการต่อสู้ในลานประลอง แต่มันไม่ใช่การต่อสู้แบบตัวต่อตัว หากศิษย์พี่สนใจ สามารถลงมาลองได้”

“หากศิษย์พี่ลงมาในวันพรุ่งนี้ อาจจะสามารถเข้าร่วมการคัดเลือก หรืออาจจะได้รับโอกาสอื่นอีกก็เป็นได้”

เมื่อกล่าวจบ ลู่หยวนก็เดินกลับไปที่ขั้นบันได

ขั้นบันไดค่อย ๆ หายไป ร่างของผู้มาเยือนหายไปจากสายตาของนางนานแล้ว ทว่าฉินอี่หานยังคงมองเหรียญตราตรงหน้า นางครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะเก็บเหรียญตรานั้นไว้ แล้วไปเก็บผ้านวมที่ตากให้แห้งจากด้านข้าง เดินไปที่กระท่อมมุงจาก

เช้าวันถัดมา…

ศิษย์จากยอดเขาจำนวนมากของสำนักอักขระสวรรค์ตื่นแต่เช้า ตรงสู่ยอดเขาหลักของสำนัก สีหน้าของพวกเขาแตกต่างกันออกไป บ้างเกรงขาม บ้างยินดี

ช่วงกลางคืนที่ผ่านมา ทางสำนักมีการประกาศระเบียบเรื่องพิธี กล่าวว่าการต่อสู้ในลานประลองจะเริ่มขึ้นในวันพรุ่งนี้ เพื่อตัดสินว่าใครจะได้เป็นผู้สืบทอด

ถึงแม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าทำไมถึงรีบร้อนเริ่มจัดเช่นนี้ แต่ไม่ว่าจะเริ่มตอนไหน พวกเขาส่วนใหญ่ก็เป็นเพียงผู้ชมเท่านั้น

ณ ใจกลางยอดเขาหลัก ค่ายกลหลายสิบแห่งซ้อนทับกัน ลอยอยู่กลางอากาศจนเกิดเป็นลานลอยฟ้า สิ่งนี้เองคือลานประลอง

บนลานประลองในตอนนี้ยังไร้วี่แววผู้คน แต่รอบข้างถูกห้อมล้อมโดยศิษย์ทั้งหลาย ผู้คนจำนวนมากใช้ยันต์หรือไม่ก็ลอยอยู่กลางอากาศ เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่พลาดการต่อสู้ที่กำลังจะมาถึง

เสียงกระซิบเริ่มดังขึ้นในหมู่ฝูงชน กำลังสนทนาถึงการต่อสู้ในลานประลองที่กำลังจะเริ่มขึ้น

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าใครเป็นคนริเริ่มการต่อสู้ในลานประลองวันนี้?”

ทุกคนบังเกิดความสนใจทันที ก่อนมองหน้ากันคนแล้วคนเล่า “ใครหรือ?”

ชายผู้นั้นลดเสียงลง “บุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่”

“จริงหรือ!? บุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่จะเป็นคนนำการต่อสู้ในลานประลองวันนี้งั้นหรือ”

“แน่นอนสิ! ข้าได้ยินผู้อาวุโสลำดับที่ห้ากล่าวเช่นนั้น ไม่ใช่เรื่องโกหกอย่างแน่นอน!”

“ชิ บุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่ผู้นี้ช่างอาจหาญเสียจริง ถึงกับกล้าไปอยู่มุมหลักเช่นนั้น หรือเขามั่นใจว่าจะชนะแน่ ๆ”

“เหอะ ก็แค่โอ้อวดนั่นแหละ เป็นเรื่องเหลวไหลสิ้นดี ผู้ชนะจะต้องเป็นพี่กู่อยู่แล้ว!”

“ข้าไม่คิดอย่างนั้น ใครจะชนะจากการต่อสู้ในลานประลองวันนี้ ยังไม่อาจตัดสินได้”

มีเสียงมากมายดังมาจากรอบ ๆ ลานประลอง

“ดูนั่น พี่กู่มาแล้ว!”

สิ้นเสียงตะโกน สายตาของฝูงชนจับจ้องไปทิศทางหนึ่งพร้อมกัน พบว่ากู่หงเฟยกำลังเดินตามหลังผู้อาวุโสหวังเหิงมา

ทุกคนรีบเปิดทางให้ กู่หงเฟยเดินตามที่ปรึกษาไปยังแท่นสูง ก่อนนั่งประจำที่

ไม่นานนัก อู่หมิงเสวี่ยและผู้อาวุโสคนอื่นก็มาถึงเช่นกัน พวกเขานั่งประจำที่คนแล้วคนเล่า

เวลาแห่งการทดสอบใกล้เข้ามาแล้ว นอกจากกู่หงเฟยผู้ยังคงสงบและผ่อนคลาย ผู้เข้าแข่งขันคนที่เหลือต่างวิตกเล็กน้อย

พวกเขาส่วนใหญ่รู้ว่าตัวเองมีโอกาสน้อยนิดที่จะชนะลู่หยวนและกู่หงเฟย แต่ว่า …ถ้าเกิดชนะล่ะ?

วันนี้เป็นเพียงการต่อสู้ในลานประลอง พวกเขาคาดว่าลู่หยวนและกู่หงเฟยจะเป็นคู่แรก หากทั้งคู่พ่ายแพ้ พวกเขาย่อมยินดีกับผลพลอยได้ดังกล่าว

หลังจากรอมาสักพัก ลู่หยวนยังคงไม่ปรากฏตัว จนหวังเหิงยิ้มเจื่อนกล่าวกับอู่หมิงเสวี่ยว่า “ท่านเจ้าสำนักแน่ใจหรือว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์จะมาในวันนี้? ทำไมถึงยังไม่ปรากฏตัวอีก? หรือว่ามีเรื่องเร่งด่วนที่ต้องทำ?”

อู่หมิงเสวี่ยเม้มริมฝีปากก่อนยิ้มออกมา “ยังไม่ถึงเวลาไม่ใช่หรือ? ผู้อาวุโสใหญ่จะรีบร้อนไปทำไม?”

“เหอะ คงไม่ได้กลัวเกินกว่าที่จะมาหรอกนะ!”

ทันทีที่สิ้นเสียง ลู่หยวนพลันเหยียบย่างอยู่กลางอากาศ เขาสวมชุดสีดำห่มแดงดูสง่างาม เพียงย่างก้าวเล็กน้อย เขาก็มาถึงลานประลอง ยามก้มมองฝูงชน ประหนึ่งราชันผู้กำลังเฝ้ามองโลก

ชายหนุ่มเอียงศีรษะมองหวังเหิง สายตาของเขากวาดมองเล็กน้อย

ผู้อาวุโสเพียงรู้สึกถึงแสงสว่างสีแดงวาบผ่านดวงตา กลิ่นอายจากยุคบรรพกาลห้อมล้อมเขาเอาไว้ พร้อมแรงกดดันมหาศาลทับลงมา

ความรู้สึกนี้หายวับไป เมื่อหวังเหิงเริ่มตอบสนอง เขาจึงตระหนักได้ว่าลู่หยวนยืนอยู่บนลานประลองโดยเอามือไพล่หลัง สายตามองทุกสิ่งที่อยู่เบื้องล่าง

ผู้อาวุโสขมวดคิ้วเล็กน้อย หากเมื่อครู่เขาไม่ได้เข้าใจผิดไป มันน่าจะเป็นเขตแดนใช่หรือไม่? แถมยังเป็นพลังของเขตแดนจากสมัยโบราณอีกด้วย

มันเป็นพลังเขตแดนของลู่หยวน…

เด็กคนนี้ กำลังปกปิดท่าไม้ตายบางอย่างเอาไว้

เขากังวลเล็กน้อย ดังนั้นจึงแอบกระซิบข้างหูผู้อาวุโสผู้ทำหน้าที่จับฉลาก “ให้กู่หงเฟยขึ้นเป็นคนสุดท้าย”

ผู้อาวุโสชำเลืองมองหวังเหิงอย่างสงบ ก่อนพยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อถึงเวลา อู่หมิงเสวี่ยจึงยืนขึ้น พร้อมกล่าวกับทุกคนว่า “ตำแหน่งผู้สืบทอดของสำนักอักขระสวรรค์จะถูกตัดสินหลังจากการต่อสู้ในลานประลองวันนี้ ซึ่งการต่อสู้บนลานประลองคือการแข่งขัน ไม่ใช่การต่อสู้แห่งความเป็นความตาย หากออกนอกลานประลอง หรือขอความช่วยเหลือจากผู้อาวุโสในช่วงวิกฤตจะถูกตัดสิทธิ์”

“ผู้อยู่มุมหลักในวันนี้คือ ลู่หยวน!”

“ตอนนี้ขอให้ทำการจับฉลากเพื่อกำหนดลำดับการท้าทายบนลานประลอง!”

“ไม่จำเป็น!”

ลู่หยวนพลันกล่าวขึ้น สายตากวาดมองทุกคน “ต่อสู้หนึ่งต่อหนึ่งยุ่งยากเกินไป ศิษย์ของสำนักอักขระสวรรค์ทุกคนในวันนี้ ให้นับว่าเป็นหนึ่งคน เข้ามาพร้อมกันให้หมด!”

ทุกคนมองชายหนุ่มด้วยความประหลาดใจ เมื่อครู่พวกเขาฟังไม่ผิดใช่หรือไม่ อีกฝ่ายอยากให้ทุกคนเข้าไปพร้อมกันงั้นหรือ?

“เจ้าโง่…”

กู่หงเฟยมองลู่หยวนด้วยสายตาเหยียดหยัน

บุตรศักดิ์สิทธิ์คิดว่าตนแข็งแกร่งพอจะเอาชนะศิษย์ทั้งหมดของสำนักอักขระสวรรค์ได้จริงหรือ?

ช่างโอหังยิ่งนัก!

ฉินอี่หานผู้ยืนอยู่นอกฝูงชนเห็นดังนี้ ริมฝีปากจึงยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม

ในที่สุดนางก็เข้าใจสิ่งที่ลู่หยวนพูดเมื่อคืน แต่นางคิดไม่ถึงว่าเขาจะอวดดีเพียงนี้ หรือว่าเขาแข็งแกร่งมากพอที่จะเอาชนะศิษย์ทั้งหมดของสำนักอักขระสวรรค์จริง

“อะไร? ไม่กล้าหรือ?”

ลู่หยวนก้มมองทุกคน “ถ้าไม่กล้าขึ้นมา เช่นนั้นก็ประกาศผลลัพธ์ให้มันจบ ๆ ไปเลย!”