ตอนที่ 69 ฉลองเล็กก่อนปีใหม่

เก็บตกนักฆ่า มาเป็นหนุ่มบ้านนา

“น้องหว่านเอ๋อร์?” หยางเค่ออี้เรียกหว่านเอ๋อร์ที่นั่งอยู่ตรงข้ามเหมือนตกในภวังค์ความคิดอย่างไม่เข้าใจ

“อ้อ พี่อี้ ข้าไม่เป็นไร” ลู่หว่านเอ๋อร์ได้สติคืนมา รีบถอนสายตาอิจฉากลับคืน หันกลับมาส่ายหน้าให้หยางเค่ออี้ กัดริมฝีปากอธิบายเบาๆ ว่า “ข้าคิดว่าเจอกันเคยรู้จัก”

ฮึ ด้วยสถานะคุณหนูใหญ่ตระกูลลู่ ตระกูลคหบดีอันดับต้นๆ เมืองฝานลั่ว ยอมลดตัวไปขอร้องชายในดวงใจ ไม่เพียงไม่ได้รับการตอบสนอง ถึงกับถูกเขาหลู่เกียรติ เรื่องนี้ยอมได้อย่างไร?!

ดังนั้นลู่หว่านเอ๋อร์จึงมีแววตาเคียดแค้นผุดขึ้นมาสายหนึ่ง คนที่นางไม่ได้ครอบครอง หญิงอื่นจะครอบครองอย่างเป็นสุขได้หรือ?! ไม่ นางไม่ยอม หลินซือเย่าควรเป็นของนาง! ซูสุ่ยเลี่ยนมีอะไรคู่ควร

มองเห็นหลินซือเย่ากับภรรยารักใคร่ชิดใกล้กันอยู่มุมร้าน ลู่หว่านเอ๋อร์โมโหจนแทบนั่งไม่ติด น่าสงสารตะเกียบไม้ไผ่ในมือนาง ถูกหักเป็นสองท่อนทันที

“น้องหว่านเอ๋อร์?” หยางเค่ออี้ที่กำลังก้มหน้าก้มตากินข้าว พอได้ยินเสียงก็ตกใจเงยหน้าขึ้นมองนาง “น้องหว่านเอ๋อร์มีเรื่องในใจหรือ” เขามองแววตาลู่หว่านเอ๋อร์อย่างนึกสงสัย กวาดตามองไปด้านหน้า เห็นแววตาน้องสาวลูกพี่ลูกน้องเขาแล้ว เห็นชัดว่าเห็นใครเข้าสักคนหนึ่งกระมัง

“หุบปาก! กินข้าวเจ้าไป!” อารมณ์ลู่หว่านเอ๋อร์ปะทะเข้ากับหยางเค่ออี้พอดี รู้สึกอับอายกลายเป็นความโมโห ถลึงตาจ้องมองเขา กัดฟันคำรามขึ้นเบาๆ

หยางเค่ออี้มองตาค้างอย่างไม่เข้าใจ แต่พอเห็นว่าอยู่ๆ ลู่หว่านเอ๋อร์ก็โมโหเช่นนี้ จึงไม่คิดจะถามต่อ

น้องสาวแสนสวยเป็นที่ต้องตาผู้คน แม้แต่มารดาเขายังบอกว่าจะสู่ขอนางมาเป็นภรรยาตน ครั้งนี้เขากับมารดามาเมืองฝานลั่วที่ห่างไกลนับพันลี้ก็เพื่อมาสู่ขอ หากราบรื่น ปีหน้าฤดูใบไม้ผลิก็จะรอรับน้องสาวลูกพี่ลูกน้องผู้นี้ตกแต่งเข้าเรือนเป็นภรรยา

เพียงแต่เขาไม่ได้มองผิดกระมัง เมื่อครู่แววตานางดุร้ายมาก ไหนเลยมีความอ่อนโยนเรียบร้อยดังก่อนหน้า

ยามนี้ลู่หว่านเอ๋อร์หงุดหงิดมาก

พอคิดถึงว่าหยางเค่ออี้ซื่อบื่อก็ซื่อบื่อ ดีแค่ยอมฟังคำสั่งนางและเอาอกเอาใจนางมาก นับประสาอันใดกับตระกูลหยางก็เป็นตระกูลมีชื่อเสียงที่เมืองเฟิ่งไถ แม้ว่าไปไกลจากบ้านเกิดสักหน่อย นั่งรถม้าก็ตั้งเจ็ดแปดวัน แต่หากแต่งกับเขา ชีวิตวันหน้าก็ย่อมต้องมีเกียรติสุขสบาย

พอสงบจิตใจลงแล้ว ลู่หว่านเอ๋อร์ก็กลับคืนสู่ภาพสาวผู้ดีที่ได้รับการอบรมมาอย่างสูงศักดิ์ตามเดิม มองหยางเค่ออี้พลางยิ้มอ่อนโยน “พี่อี้ ข้าขอโทษ เมื่อครู่ข้าผิดเอง ข้าเพียงแต่…เอ่อ ยากกล่าวในวาจาเดียว หากพี่อี้ไม่รังเกียจว่าหว่านเอ๋อร์วุ่นวาย รออีกสักครู่กินอาหารเสร็จ ข้าค่อยเล่าให้พี่อี้ฟังดีไหม”

ลู่หว่านเอ๋อร์อย่างไรก็อยู่ในสังคมอันแสนวุ่นวายมานาน พูดจาเจ็ดส่วนเท็จ สามส่วนจริงก็คล่องปากไม่น้อย

แต่ว่านางคงไม่กล่าวเรื่องของชายอีกคนในใจนางทั้งหมดให้หยางเค่ออี้ฟังแน่ นอกจากสมองนางถูกประตูรถม้าหนีบ

แต่กับซูสุ่ยเลี่ยน นางคิดจะจัดการจริงๆ

นางคิดถึงขั้นไปว่าจ้างพรรคเฟิงเหลยที่รับแต่เงินไม่กะพริบตาไปสั่งสอนซูสุ่ยเลี่ยนแทนนาง แม้ว่าไม่คิดจัดการให้ถึงชีวิต แต่ก็ไม่ยอมให้นางได้สมหวังดังใจคนเดียว

ส่วนหลินซือเย่า ลู่หว่านเอ๋อร์ใม่ใช่คนโง่ ด้วยวรยุทธ์ลึกล้ำโดดเด่น ไหนเลยที่พรรคเฟิงเหลยจะเป็นศัตรูด้วยได้?!

นับประสาอันใดกับแม้หลินซือเย่าให้นางได้ลิ้มรสความเสียหน้าและอับอายโมโหที่ในชีวิตนี้ไม่เคยได้ลิ้มรสมาก่อน นางกลับยังคงคิดถึงแต่เขาอย่างไม่อาจตัดใจ

และด้วยเหตุนี้ วันนั้นถูกสุนัขบ้านหลินซือเย่าขับไล่ออกมา ล้มลุกคลุกคลานกลับมายังบ้านลุงนาง นางก็ยังคงไม่ได้บอกผู้ใดถึงเรื่องนี้แม้แต่คำเดียว รวมทั้งบิดานางด้วย

เพราะนางยังแอบหวังอย่างดึงดันว่าหลินซือเย่าจะเสียใจที่ทำกับนางเช่นนี้ และจะแอบมาขอโทษนางเป็นการส่วนตัว

ดังนั้นนางจึงพยายามโน้มน้าวฮัวคังให้พักต่อที่บ้านฮัวอันอีกสองสามวัน จนกระทั่งนายหญิงตระกูลลู่ ซึ่งก็คือมารดาลู่หว่านเอ๋อร์ ลู่เฉี่ยวอิ๋งส่งคนมาตามพวกเขาที่เมืองฝานฮัว บอกว่าญาตินางจากเมืองเฟิ่งไถและพี่ชายลูกพี่ลูกน้องที่อายุมากกว่านางสามปีมาเยี่ยม จึงได้ต้องจากบ้านฮัวคังกลับเมืองฝานลั่วไปอย่างไม่อาจตัดใจ

เพียงแต่ไม่คิดว่า พอพบกันอีกครั้ง จะเป็นภาพเช่นตรงหน้านี้ ผ่านมาครึ่งเดือนมาเจอกันที่อู่ชิ่นไจ นางต้องมาพบกับภาพงดงามรักใคร่ที่นางแสนจะริษยาคั่งแค้น คิดถึงว่านาง ลู่หว่านเอ๋อร์ ทำไมต้องทนกล้ำกลืนแค้นนี้ไว้ด้วย?!

……

ลู่หว่านเอ๋อร์เห็นภาพสองคนก้าวเข้าไปในอู่ชิ่นไจก่อนนาง หลินซือเย่ากวาดตามองผู้คนก็ทำเอาทุกคนรู้สึกหนาวถึงก้นบึ้งในใจ

เขานั่งอยู่มุมหนึ่งห่างจากที่นั่งลู่หว่านเอ๋อร์พอควร นางแอบมองเขากับสุ่ยเลี่ยนอยู่ไกลๆ ด้วยสายตาริษยาอยู่เป็นระยะ เขาเองก็รู้สึกได้

เขารู้สึกได้ถึงแรงอาฆาตเป็นศัตรู ในใจหลินซือเย่าแอบรู้สึกไม่ปลอดภัย หวังว่าลู่หว่านเอ๋อร์นั่นจะไม่ทำอะไรที่ไม่เป็นผลดีต่อสุ่ยเลี่ยน ไม่เช่นนั้น ฮึ!…ก็แค่ตระกูลลู่กระจอกๆ! หากค่ำคืนในเมืองฝานลั่วมีตระกูลคหบดีหายไปสักตระกูล เชื่อว่ามีคนไม่น้อยต่างต้องตบมือยินดี!

……

“แป้งสาลี แป้งข้าวเหนียว ถั่วแดง งาดำ น้ำตาลทราย เหล้าปรุงอาหาร เกลือ…ยังมีอะไรขาดตกไหม” ซูสุ่ยเลี่ยนนับรายการที่จะซื้อ ของพวกนี้เอาไว้ห่อเกี๊ยวต้มน้ำซุปเป็นหลัก

“น่าจะครบแล้ว” หลินซือเย่ามองลงไปในกระเป๋าผ้าใบใหญ่ เงยหน้ามองซูสุ่ยเลี่ยนที่ร้อนใจจนเหนื่อย เขากำกระเป๋าผ้ายกชูขึ้น อีกมือหนึ่งกุมมือนาง “เหนื่อยแล้ว? กลับบ้านก่อน คิดอะไรได้ค่อยมา” อย่างไรด้วยฝีเท้าเขา ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็ไปกลับได้หนึ่งรอบ

“ก็ดี” ซูสุ่ยเลี่ยนพยักหน้า จำไม่ได้จริงๆ ว่ายังมีอันใดต้องซื้ออีก

“ยังต้องไปอู่ชิ่นไจเอาเป็ดย่างที่สั่งไว้” นางจำได้ว่าก่อนหน้านี้เตรียมอาหารไว้ให้พวกต้าเป่า

“จำได้” หลินซือเย่าแอบมองนางแวบหนึ่ง เห็นนางใส่ใจต้าเป่ากับลูกหมาป่าสองตัวนั่นมาก็รู้สึกอิจฉาขึ้นมาในใจ

……

วันที่ยี่สิบสี่เดือนสิบสอง ทุกครัวเรือนในเมืองฝานฮัวล้วนจัดพิธีไหว้ส่งเทพแห่งเตาขึ้นสวรรค์

วันหยุดที่เถียนต้าเป่าแอบวาดหวังสุดท้ายก็มาถึง

เรียกว่าหยุดพักผ่อน แต่ตอนเช้าทุกวันยังต้องไปวิ่งรอบยอดเขาซิ่วเฟิงหนึ่งรอบ ก่อนจะฝึกเพลงกระบี่เสวียนเทียนหนึ่งชั่วยาม จากนั้นจึงมีเวลาอิสระ เช่นวิ่งอยู่แถวศาลเพื่อตากแดดอวดบรรดาเด็กรุ่นเดียวกับเขา อวดเบ่งสักหน่อย ดีที่เถียนต้าเป่าแม้ว่าสติไม่เต็ม นิสัยเป็นเด็กอยู่มาก แต่เล่นกับเด็กคนอื่นก็ยังรู้จักหนักเบา ไม่ทำเกินไป คิดว่าติดตามหลินซือเย่ามาได้ครึ่งปี นิสัยกระโดดโลดเต้นอยู่ไม่สุขก็เรียบร้อยขึ้นไม่น้อยแล้ว

หลายคนแม้แต่นางเถียนเองยังเริ่มแอบสงสัยว่าเลือดที่คั่งในสมองเขาจะสลายไปแล้ว? เพราะดูพฤติกรรมการพูดจาของเขาในยามปกติส่วนใหญ่ก็เหมือนเด็กอายุสิบสองทั่วไป มีแค่บางครั้งที่คุมวาจาไม่อยู่กล่าวทะเล้นออกมา

ด้วยเหตุนี้ ทุกคนในตระกูลเถียนจึงมีทีท่าเคารพหลินซือเย่ามากยิ่งขึ้น พอมีอะไรอร่อยก็จะให้ต้าเป่าหรือไม่ก็นางเถียนเอาไปให้ซูสุ่ยเลี่ยนกับเขาด้วยตนเอง

ทำเอาบ้านอื่นๆ ในเมืองฝานฮัวต่างมองหลินซือเย่ากันใหม่ ไม่เลื่อมใสได้หรือ แม้แต่หมอยังบอกว่าเป็นก้อนเลือดคั่งที่ยากรักษา ติดตามหลินซือเย่าไม่ถึงครึ่งปีก็กำจัดไปได้หมด ไม่ต้องพูดถึงว่าเถียนต้าเป่าพอเข้าหน้าหนาว เดิมที่เคยเอาแต่ขลุกอยู่บนตั่งร้อน แต่ตั้งแต่ฝึกยุทธ์มาก็ไม่ได้ล้มป่วยอะไรอีก พอหน้าหนาวมาถึง เสื้อบางๆ สองตัวสวมทับด้วยเสื้อนวมแขนสั้นไม่หนามาก ก็พอจะให้เขาออกไปวิ่งกระโดดโลดเต้นข้างนอกได้แล้ว

ดังนั้นจึงมีหลายครอบครัวคิดจะส่งลูกชายมาฝึกวรยุทธ์กับหลินซือเย่า แม้วันหน้าไม่ได้ใช้วรยุทธ์สูงส่งพวกนี้ แต่เพียงแค่ไร้โรคภัย มีกำลังมากกว่าคนอื่นก็คุ้มแล้ว

หลินซือเย่าปฏิเสธทันที ล้อเล่นน่า คิดว่าเขาเปิดโรงเรียนสอนวรยุทธ์หรือ เถียนต้าเป่าคนเดียวก็ทำเขาเปลืองแรงมากแล้ว เขาไม่อยากหาเรื่องให้ตนเองด้วยการไปคัดเลือกเด็กๆ มาเป็นศิษย์อีก

หากไม่ใช่ว่าต้องการคนปกป้องซูสุ่ยเลี่ยนกับลูกที่จะเกิดในวันหน้าเพิ่ม เขาก็ขี้เกียจจะรับลูกศิษย์

เขาไม่เคยมีนิสัยประหลาดแบบซือชงที่พอเห็นเด็กโครงร่างกายดีก็จะรับไว้ ตอนนี้มีเด็กยี่สิบกว่าคนเรียกเขาเป็นอาจารย์แล้วกระมัง จุ๊ๆ อาจารย์ยี่สิบสาม ศิษย์ยี่สิบกว่าคน แค่คิดก็ขนลุกแล้ว หลินซือเย่ายักไหล่ เดินกลับไปไล่จับตัวศิษย์ตนที่ลานด้านใต้

ถูกไล่ไปฝึกเพลงกระบี่เสวียนเทียนจบ เถียนต้าเป่ายังคงเอาแต่วนเวียนอยู่ข้างกายซูสุ่ยเลี่ยน ไม่ยอมกลับบ้าน หลินซือเย่าจัดการเก็บกวาดในและนอกห้องสะอาดทุกมุม

ซูสุ่ยเลี่ยนยกน้ำสะอาดออกมาเช็ดเครื่องเรือนและของตกแต่งในห้อง

จากนั้นก็ถอดผ้าห่ม ปลอกหมอน ผ้าคลุมเตียงที่ใช้มาร่วมสองเดือน รวมทั้งบรรดาปลอกเบาะพิง เบาะนั่งในห้องโถงเรือนตะวันตกและห้องครัวไปเปลี่ยนเป็นชุดที่เพิ่งตัดใหม่ ชุดเครื่องนอนก็เปลี่ยนผ้าห่มกับปลอกหมอนไปใช้ลายดอกโบตั๋นปักไหมทองสองเส้นบนพื้นสีม่วงอ่อนที่เข้ากับเครื่องเรือนมาก ผ้าปูที่นอนก็เป็นผ้าฝ้ายละเอียดสีขาว ที่เหลืออย่างพวกเบาะนั่งเบาะรองก็เป็นลายดอกปักไหมเงินบนพื้นสีครามเข้มเข้ากับผ้าปูโต๊ะลายดอกสีฟ้าพอดี

มองไปรอบห้องก่อนจะมองออกไปลานด้านนอกที่สะอาดวับ ซูสุ่ยเลี่ยนอดยิ้มไม่ได้

“อาเย่าพักดื่มน้ำก่อน” นางส่งชาขู่เฉียวดำที่นางเถียนเพิ่งคั่วเสร็จและให้มาเมื่อหลายวันก่อน เทให้หลินซือเย่ากับนางเองคนละแก้ว ก่อนตะโกนเรียกหลินซือเย่าที่เพิ่งทำความสะอาดลานเสร็จ ล้างมือเตรียมไปห้องครัวทำงานต่อ

“ได้” หลินซือเย่าวิ่งมาในโถง “หอมมาก!” เขาจิบชาขมดำขู่เฉียวดำไปคำหนึ่งก็ชมจากใจ

“อืม ปีก่อนบ้านป้าเถียนปลูกข้าวขู่เฉียวดำ[1] หลายแปลง หนึ่งปีผ่านมากก็เก็บมาได้ห้าสิบกว่าชั่ง แบ่งให้เพื่อนบ้านไปบ้าง อาเย่า ปีหน้าพวกเราก็ปลูกบ้างดีไหม” ซูสุ่ยเลี่ยนประคองแก้วชาไว้ แอบจิบความหอมชาขู่เฉียวดำไปหลายคำจนอุ่นกระเพาะ แสดงท่าทางพึงใจมีความสุขออกมา

“ได้” หลินซือเย่าอมยิ้มพยักหน้า ขอเพียงนางชอบ มีอะไรไม่ได้

สองคนดื่มชาไปหลายคำก็รู้สึกหายเหนื่อย พักสักครู่ก็ลุกไปที่ห้องครัวเตรียมทำขนมไว้สำหรับพิธีไหว้เทพแห่งเตา

แป้งทำเกี๊ยวและขนมเปี๊ยะห้ามงคลนวดทิ้งไว้พองตัวแล้ว

หลินซือเย่าทำชิ้นแป้งไว้เก้าสิบเก้าชิ้นเพื่อความเป็นมงคลพร้อมแล้ว มอบให้ซูสุ่ยเลี่ยนที่กำลังผสมไส้อยู่ข้างๆ อย่างคิดลองทำดู รู้สึกขำจนต้องบีบจมูกนางเล่นจนเปื้อนแป้งขาว รอยยิ้มกลายเป็นเสียงหัวเราะดังลั่น

ซูสุ่ยเลี่ยนมองเขาอย่างสงสัย หันไปมองใบหน้าตนเองในกะละมังน้ำใส จึงได้รู้ว่าหลินซือเย่าแกล้งนาง เขาไม่ค่อยมีรอยยิ้มกว้างเช่นนี้นัก นางจึงได้จิ้มแป้งขาวคิดป้ายแก้มเขาบ้าง

สองคนหัวเราะหยอกเย้ากันอยู่นาน จนกระทั่งริมฝีปากน่ารักนางถูกเขาจุมพิตแรงๆ ทีหนึ่ง จึงยอมปล่อยนางออกจากอ้อมกอดเขา

ซูสุ่ยเลี่ยนแย่งงานที่อยากทำมาก่อนหน้านี้แล้ว ก็คือการห่อเกี๊ยว นางเตรียมไว้สามไส้ มีไส้เนื้อ ไส้ผักกาดขาวดองเนื้อบด และไส้เห็ดหอมผักเขียว

ก่อนหน้าเคยปั้นตามหลินซือเย่าสองครั้ง ครั้งนี้แม้ยังไม่คล่องเท่าไร เกี๊ยวที่ห่อออกมาไม่สวยเท่าไรแต่ไม่ถึงกับแป้งแตกหรือมีรูรั่ว

หลินซือเย่าอมยิ้มมองนางห่อไปสองสามชิ้น ก็อดขยี้ปลายจมูกโด่งงอนของนางไม่ได้ นางหัวเราะหันหน้าหนี ตั้งใจปั้นขนมเปี๊ยะห้ามงคลไส้ถั่วแดงบดทั้งกลมทั้งใหญ่เป็นสัญลักษณ์ของความมงคล

วันส่งเทพแห่งเตาขึ้นสวรรค์ถือเป็นการเริ่มเข้าสู่ปีใหม่ สองคนเตรียมเทศกาลที่กำลังจะมาถึงอย่างเบิกบานและอบอุ่นใจ…

——————-

[1] บักวีตดำ