บทที่ 46 คุณยายทำตัวเหมือนเด็ก

Top Star ระบบปั้นเธอให้เป็นดาว

บทที่ 46 คุณยายทำตัวเหมือนเด็ก

บทที่ 46 คุณยายทำตัวเหมือนเด็ก

ซูโย่วอี๋ลูบจมูกด้วยความลำบากใจ หญิงชราไม่ได้ไม่ชอบเธอ แต่การแสดงออกของเธอก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป

“งั้นฉันจะช่วยพาคุณไปนอน”

ซูโย่วอี๋นั่งยอง ๆ วางมือรอบเอวของหญิงชราแล้วออกแรงยกขึ้นจนใบหน้าของเธอเปลี่ยนสี

หญิงชรายังคงนั่งอยู่บนรถเข็นของเธอ

เธอลองอยู่หลายครั้ง

ซูโย่วอี๋ยืนขึ้นเพื่อพักหายใจ จนรู้สึกถึงฝูงกาที่บินอยู่เหนือศีรษะ

[ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่รู้ทำไมฉันนึกถึงฉากที่ซุนหงอคงถูกทับอยู่ใต้ภูเขา]

[หญิงชราคือภูเขา]

[เธออ้วนมาก]

[ลดน้ำหนัก!]

[ลดน้ำหนัก]

เธอยิ้มปลอบตัวเอง “ฉันแค่ไม่เคยออกแรงมากขนาดนี้มาก่อน เดี๋ยวลองใหม่อีกครั้งนะคะ”

หญิงชราพูดเสียงอ่อนลง “รถเข็นคันนี้สามารถปรับขึ้นและลงได้ เธอควรปรับขึ้นไปที่ระดับเดียวกับเตียงก่อน แล้วค่อยออกแรง”

…?

ทำไมไม่บอกให้เร็วกว่านี้!

ซูโย่วอี๋ไม่กล้าทำให้เธออารมณ์เสีย เธอทำตามที่หญิงชราบอกทุกประการ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะหญิงชราเริ่มให้ความร่วมมือหรือเปล่า คราวนี้เธอย้ายหญิงชราไปที่เตียงได้อย่างง่ายดาย

หญิงชราเอนตัวบนเตียงแต่เธอไม่ได้หลับ แต่กลับมองมาที่ซูโย่วอี๋ “เธอเป็นเด็กกำพร้าเหรอ?”

ซูโย่วอี๋ตกใจที่เธอถามแบบนั้นไม่ได้ตอบอะไร แต่สีหน้าของเธอได้อธิบายทุกอย่างแล้ว

“คุณรู้ได้ยังไงคะ?”

“คุณลู่บอกฉันตอนกินข้าว”

ซูโย่วอี๋เม้มริมฝีปากของเธอ ทำไมลู่เฉินถึงบอกเธอ?

หญิงชราโบกมือให้ซูโย่วอี๋ที่ยืนนิ่ง

“นั่งลงสิ มาคุยกันหน่อย”

ซูโย่วอี๋ไม่เข้าใจว่าทำไมท่าทีของหญิงชราถึงเปลี่ยนไป ถึงมันจะดีขึ้นก็เถอะ

เธอนั่งลงข้างเตียง แต่หญิงชราก็ยังไม่พูดอะไร

สุดท้ายซูโย่วอี๋ต้องขอความเห็นจากเจ้าจิ้งจอก “ฉันควรพูดอะไรกับเธอดี?”

สุนัขจิ้งจอกให้คำแนะนำในการพูดแก่เธออย่างเรียบง่ายโดยมีจุดประสงค์เพื่อยกย่องผู้สูงอายุและลูกหลานของพวกเขา!

ดวงตาของซูโย่วอี๋มองไปยังรูปถ่ายครอบครัวที่แขวนอยู่บนผนัง เป็นรูปถ่ายของสมาชิกในครอบครัวใหญ่โดยมีผู้เฒ่าสองคนนั่งอยู่ด้านหน้า ตามด้วยคู่รักสามคู่และหลานอีกสี่คน

“คุณยาย ลูกชายและลูกสาวหน้าเหมือนคุณจริง ๆ!”

แน่นอนว่าหญิงชรามีความคิดที่จะพูดคุยด้วย เธอมองไปที่ภาพครอบครัว “ฉันมีลูกชายแค่สามคน ไม่มีลูกสาว”

“พวกเขาเหมือนคุณมาก”

หญิงชรามองไปที่ซูโย่วอี๋ “อย่าพูดจาไร้สาระ”

“ไม่มีลูกคนไหนที่เหมือนฉันเลย พอลูกชายคนโตเกิด เขาก็ดูไม่เหมือนฉัน ฉันเลยอยากมีอีกคนที่เหมือนฉัน แต่…ก็ยังดูไม่เหมือนฉัน สามีของฉันก็ยังอยากมีลูกสาวอีก”

หญิงชราจมอยู่ในความทรงจำและยิ้ม “ตอนที่พวกเขายังเด็ก ทั้งซุกซนและมักจะสร้างปัญหาให้ฉันก็บสามีเสมอ”

“แต่ตอนนี้พวกเขาทั้งหมดกลับมีหน้าที่การงานที่ดี”

หญิงชราพูดด้วยความภูมิใจว่า “คนโตเป็นผู้อำนวยการสำนักงานและมีลูกน้องหลายสิบคน คนรองเป็นอาจารย์ในโรงเรียนที่มีชื่อเสียง ส่วนคนเล็กถึงแม้ตอนเด็กเขาจะไม่ค่อยเชื่อฟังนัก แต่เขาชื่นชอบเกี่ยวกับอาวุธ ตอนนี้เขากำลังศึกษาการผลิตระเบิดปรมาณู น่าเสียดายที่ชายชราจากไปเร็วเลยไม่ได้เห็นลูกคนเล็กแต่งงาน”

[สามปรมาจารย์ พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นคนมีความสามารถ หญิงชรายอดเยี่ยมมาก]

[อย่าคิดดูถูกใคร ตกลงไหม?]

[หญิงชราเป็นคนละเอียดอ่อนแต่ก็แข็งแกร่ง]

[ขอแสดงความยินดีกับน้องอ้วนที่ชวนคุยสำเร็จ]

ซูโย่วอี๋ลูบหลังหญิงชราเบา ๆ “ถ้าเขารู้เขาต้องสบายใจมากแน่”

“คุณยายมาอยู่ที่บ้านพักคนชราโดยสมัครใจใช่ไหมคะ”

ซูโย่วอี๋ ถามอย่างสงสัย “ในเมื่อมีลูกชายที่มีความสามารถแบบนี้ ทำไมคุณถึงไม่อยู่กับพวกเขา?”

หญิงชราไม่ได้พูดอะไรเป็นเวลานานทำเพียงแค่มองที่รูปถ่าย

ซูโย่วอี๋รู้สึกว่าเธออาจไปกระตุ้นความเจ็บปวดของหญิงชราเข้า ดังนั้นเธอจึงไม่กล้าพูดอะไร

หญิงชราหันกลับมาและพูดว่า “ฉันบอกลูก ๆ ว่าฉันอยากมาอยู่คนเดียว แต่ใครล่ะที่จะไม่อยากอยู่กับลูกชายของตัวเอง”

“ไม่ว่าบ้านพักคนชราจะดีแค่ไหน ฉันก็อยากกลับไปดูแลพวกเขา”

“แล้วทำไมคุณมาอยู่ที่นี่ล่ะ?”

หญิงชราทำอะไรไม่ถูก “ลูก ๆ ของฉันแต่งงานแล้ว มันคงไม่สะดวกนักถ้าฉันจะอยู่ด้วย ฉันเป็นเหมือนคนนอก แม้ว่าลูกสะใภ้จะสุภาพแค่ไหน แต่พวกเขาก็ไม่สบายใจตราบใดที่ฉันอยู่ที่นั่น”

“ฉันเข้มแข็งมาทั้งชีวิต ฉันจะทำสิ่งอ่อนแอต่อหน้าคนอื่นได้อย่างไร ฉันพูดด้วยตัวเองดีกว่าให้พวกเขาเสนอตัวส่งฉันไปบ้านพักคนชรา อย่างน้อยฉันก็ยังมีศักดิ์ศรี”

นี่… ซูโย่วอี๋ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร เธอรู้ว่ามันไม่ใช่ความเห็นอกเห็นใจ แต่เป็นเพราะว่าหญิงชราดื้อรั้นเกินไปหน่อย

คุณยังไม่ได้ปรึกษากับพวกเขา คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาคิดอะไร?

บางทีลูกชายของคุณอาจคิดว่า คุณเป็นคนที่ยืนกรานที่จะอยู่บ้านพักคนชรา

“คุณมาที่บ้านพักคนชราแล้วพวกเขา…”

“ใช่ เขาไม่ให้ฉันมา แต่ฉันพูดออกไปแล้ว ฉันอายเกินกว่าจะกลับคำ”

อารมณ์ที่น่าอึดอัดนี้ ซูโย่วอี๋ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

คนแก่ทำตัวเป็นเด็ก หญิงชราน้อยใจเหมือนเด็ก

ทันใดนั้นเธอก็เข้าใจพฤติกรรมทั้งหมดของหญิงชราในตอนนี้ เธอเข้าถึงได้ยาก พูดจาไร้ความเมตตา และปฏิเสธที่เข้าร่วมกิจกรรมกับผู้อื่น

และสุดท้าย เธอปากไม่ตรงกับใจ!

พวกลูก ๆ อยากดูแลเธอ แต่เธอกลับบอกมาอยากมาอยู่ที่บ้านพักคนชรา

เพื่อไม่ให้ครอบครัวลำบากใจ

ซูโย่วอี๋จับมือหญิงชราอย่างอ่อนโยนและพูดว่า “การยอมรับความรู้สึกตัวเองแล้วพูดออกมาไม่ใช่เรื่องยาก ทำไมคุณไม่ลองคุยกับลูกชายของคุณล่ะคะ พวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าคุณคิดอย่างไรอยู่”

“พวกเขางานยุ่งและไม่มีเวลามาเข้าใจอารมณ์ของคุณ คุณต่างหากที่ต้องเริ่มในสิ่งที่ใจคิด คิดถึงพวกเขาก็บอกไปตามตรง แม้ว่าคุณจะอยู่ในบ้านพักคนชรา คุณก็สามารถให้พวกเขามาหาและพาหลาน ๆ มาด้วยได้ใช่ไหม”

ดวงตาของหญิงชราหรี่ลง “ทำไมฉันจะไม่คิดเรื่องนี้ แต่ฉันแค่ไม่พูดออกไปก็เท่านั้น”

ซูโย่วอี๋ไม่ได้พูดอะไรอีก เธอพูดทุกอย่างที่เธอจำเป็นต้องพูดไปแล้ว ส่วนที่เหลือต้องให้หญิงชราตัดสินใจเอง

เธอลุกขึ้นและต้องการดื่มน้ำสักแก้ว แล้วก็ได้ยินเสียงที่ด้านนอกประตู

“หญิงชราเตียง 48 ล้มลง อาสาสมัครสองคนนั้นทำอะไรอยู่?”

“นี่มันก็เหมือนเพิ่มงานให้เราไม่ใช่หรือไง”

“ผู้อำนวยการก็เหมือนกัน ทำไมถึงให้ผู้สูงอายุที่ไม่สามารถดูแลตนเองได้มีส่วนร่วมในการถ่ายรายการก็ไม่รู้ มันไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ นะ”

“หยุดพูดแล้วรีบไปดูเร็ว”

ซูโย่วอี๋เงี่ยหูของเธอและฟังอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันกลับมาเมื่อเสียงฝีเท้าห่างออกไป

หญิงชรามองเธออย่างเงียบ ๆ “ช่วยพาฉันออกไปเดินเล่นหน่อยได้ไหม ฉันนอนมาเยอะแล้ว ตอนนี้ฉันนอนไม่หลับ”

ซูโย่วอี๋ รีบปรับรถเข็นและเข็นหญิงชราไปที่สนามหญ้าที่เธอพาไปเมื่อตอนเช้า

ครั้งนี้หญิงชราไม่ได้ตั้งใจหลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีผู้คนพลุกพล่าน ซูโย่วอี๋เข็นให้เธอไปทุกที่ที่เธออยากไป

ในขณะที่เดินเล่น คนชราที่มีสุขภาพดีหลายคนเดินเข้ามาในสวนและพูดคุยกัน

“ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น”

“คิดไม่ถึงว่าเด็กสาวจะไม่ยอมจับเธอให้มั่นคงก่อนที่เธอจะล้มลง”

“เด็กสาวก็เอาแต่ร้องไห้และบอกว่าไม่ใช่เธอ”

“ป้าจางตาไม่ดีและดูไม่ออกว่าเป็นเด็กสาวคนไหน เธอแค่บอกว่าเด็กสาวคนนั้นจงใจผลักเธอล้มลง”

ซูโย่วอี๋เดาว่าสิ่งที่พวกเขากำลังพูดถึงคือสิ่งที่เธอเพิ่งได้ยิน เธออดสงสัยไม่ได้ว่าอาสาสมัครสองคนนั้นเป็นใคร

ก่อนอื่นตัดเฉินซีซีออกไปเพราะเธอทำงานคนเดียว

เมื่อเธอกำลังคิดอะไรไม่ออก เด็กสาวที่อยู่กลุ่มเดียวกับเธอก็เข็นหญิงชราเข้ามา เธอมองไปรอบ ๆ และพบว่ามีเพียงซูโย่วอี๋เท่านั้น จึงเดินเข้ามาหาเธอ