ตอนที่ 61 เทศกาลแข่งเรือมังกร

เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล

ซือจูรู้ว่าหวังซีกำลังตอบโต้นาง นางแสยะยิ้มเย็นอยู่ในใจ รู้สึกว่าหวังซีใจแคบเกินไปแล้ว ทำเป็นแต่วิธีของสตรีในเรือนชั้นในเหล่านั้น

อย่างไรก็ตาม เมื่อหวนคิดได้ว่าถึงแม้ตนจะมิได้ให้ค่ากับบ๊ะจ่างเหล่านั้น แต่เนื่องจากเป็นของที่เรือนของหวังซีทำมา มิใช่ว่าหวังซีไม่อยากมอบให้นางหรอกหรือ

นางก็เลยอยากกิน

ไม่เพียงอยากกินเท่านั้น ยังอยากให้หวังซีรู้ด้วย

ให้นางโมโหตาย

ประจวบเหมาะกับวันรุ่งขึ้นเป็นวันเทศกาลแข่งเรือมังกรพอดี นางจึงให้สาวใช้ข้างกายไปเอาบ๊ะจ่างที่เรือนฮูหยินผู้เฒ่ามา กล่าวว่า พรุ่งนี้เช้าพวกเรากินบ๊ะจ่างและต้มไข่ไก่

ฮูหยินผู้เฒ่ารักใคร่ซือจูมาตลอด นอกจากนี้พวกนางกับฮูหยินผู้เฒ่าก็อาศัยอยู่ในลานบ้านหลังเดียวกัน สาวใช้ผู้นั้นจึงไม่ได้คิดอะไรมาก ยิ้มแย้มเดินไปหาซือหมัวมัว

อย่างไม่ต้องคิด ซือหมัวมัวให้สาวใช้เด็กข้างกายพาสาวใช้ที่ซือจูส่งมาผู้นั้นไปเลือกบ๊ะจ่าง แต่ตอนไปปรนนิบัติฮูหยินผู้เฒ่ารับประทานอาหารเย็นนั้นกล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มๆ ว่า คุณหนูสกุลหวังทำบ๊ะจ่างส่งมาให้ คุณหนูสกุลซือกลับให้สาวใช้เด็กมาขอบ๊ะจ่าง แม้นคุณหนูสกุลซืออายุมากกว่าคุณหนูสกุลหวัง ทว่ายังมีนิสัยเป็นเด็ก ไร้เดียงสาไม่มีเล่ห์เหลี่ยม

ฮูหยินผู้เฒ่าถือช้อนเอาไว้กว่าครู่ใหญ่ไม่ได้วางลงมา

เทศกาลแข่งเรือมังกรในวันถัดมา หวังซีรับประทานมื้อเช้าเสร็จก็ถูกพวกไป๋กั่ว ‘ไล่’ ให้ไปดื่มชากินของว่างที่ลานบ้าน ส่วนหวังหมัวมัวพาไป๋กั่วและคนอื่นๆ รมควันโกศเขมาอยู่ในห้อง ใช้น้ำยามอู่แช่โกฐจุฬาลัมพาโกฐจุฬาลำพาอาบน้ำให้นาง ถือโอกาสตอนที่นางตากผมอยู่นั้นโปรยผงกำมะถันแดงทั่วทุกมุมบ้าน เสร็จแล้วถึงได้ช่วยเกล้าผมให้หวังซีใหม่ แล้วไปรับประทานอาหารเที่ยงที่เรือนฮูหยินผู้เฒ่า

ฮูหยินผู้เฒ่าได้กลิ่นหอมของโกศจุฬาลัมพาบนตัวหวังซีแล้วอดพยักหน้าอย่างพึงพอใจไม่ได้ กล่าวชมหวังหมัวมัวว่า ยังคงเป็นเจ้าที่ละเอียดรอบคอบ แช่โกศจุฬาลัมพาให้อาซีอาบ

จะมีผู้ใดไม่สนใจอะไรได้มากกว่าท่านอีก?

หวังหมัวมัววิพากษ์อยู่ในใจ บนใบหน้ากลับยิ้มแย้ม กล่าวอย่างถ่อมตัวว่า ล้วนเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของที่บ้าน ทำกันทุกปี ต่อให้อยากลืมก็ลืมไม่ได้แล้วเจ้าค่ะ!

แน่นอนว่าฮูหยินผู้เฒ่าฟังไม่ออกว่าถ้อยคำนี้มีนัยอะไรไม่เหมาะสมแฝงอยู่ด้วย ยังกล่าวชมเชยอยู่ตรงนั้นว่า แต่หาได้ยากยิ่งที่อยู่ข้างนอกแล้วเจ้าก็ยังจำได้

โหวฮูหยินยิ้มตาหยีมองคุณหนูพานครั้งหนึ่ง

คุณหนูพานเองก็ใช้น้ำยามอู่แช่โกศจุฬาลัมพาอาบน้ำมาเหมือนกัน

ซือจูที่ทั้งร่างเต็มไปด้วยกลิ่นน้ำหอมกุหลาบมีสีหน้าไม่น่าดูเล็กน้อย กล่าวกับหวังซีว่า ข้ารู้มาว่าการอาบน้ำด้วยน้ำยามอู่แช่โกฐจุฬาลัมพาโกฐจุฬาลำพาในวันเทศกาลแข่งเรือมังกรนั้นเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของเจียงหนาน ทำไมหรือ ที่สู่จงพวกเจ้าก็มีธรรมเนียมปฏิบัติเช่นนี้ด้วยหรือ

ใช่! หวังซีกล่าวยิ้มๆ ยังถือโอกาสนี้ถากถางซือจูด้วยสองสามประโยค เจ้าควรไปอวี๋หลินดูสักครั้ง อ่านหนังสือหมื่นเล่ม มิสู้ออกเดินทางพันลี้ บิดาของเจ้ารับราชการอยู่ที่อวี๋หลิน ช่างเป็นโอกาสที่ดียิ่ง! ไม่อย่างนั้นเจ้าคงได้ค้นพบแล้วว่า การเฉลิมฉลองเทศกาลแข่งเรือมังกรของคนที่กานซู่และหนิงซย่าก็รมควันโกฐจุฬาลัมพาโกฐจุฬาลำพาเช่นกัน

สีหน้าของซือจูดูไม่น่ามองมากยิ่งขึ้น

นี่หวังซีกำลังถากถางตนว่าทนความลำบากไม่ได้ใช่หรือไม่

นางกล่าวอย่างดูแคลนว่า พูดราวกับว่าเจ้าเคยเดินทางไปที่ต่างๆ มาแล้วมากมาย

ข้านั่งเรือจากสู่จงล่องลงใต้จนถึงเมืองอู่ชัง แล้วก็ล่องจากเมืองอู่ชังไปตามเส้นทางน้ำขนส่งเมล็ดพันธุ์พืชจนถึงจิงเฉิง หวังซีขยิบตาดวงโตพลางกล่าว ก็นับได้ว่าเดินทางไกลพันลี้แล้วเช่นกัน ข้าคิดว่าเด็กสาวที่ออกเดินทางได้ไกลเท่าข้านี้ มีให้เห็นไม่มากอย่างแน่นอน

ท่าทางนั่น ไม่รู้ว่าไร้เดียงสามากเพียงใด

แน่นอนว่าซือจูไม่อาจยอมรับได้ ยังอยากจะกระทบกระเทียบหวังซีอีกสักสองสามประโยค ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นแล้ว พลันนึกถึงท่าทางของหวังซีที่หว่านล้อมตนชิมบ๊ะจ่างขึ้นมา ชั่วขณะนั้นรู้สึกไม่ค่อยชอบใจเล็กน้อย กล่าวตัดบทซือจูเสียงเคร่งว่า พอแล้ว! พวกเจ้าพี่น้องก็อย่าเอาแต่คิดจะปะทะฝีปากกันเลย วันนี้เป็นวันเทศกาลแข่งเรือมังกร ท่านโหวพักผ่อนอยู่ที่บ้าน นานๆ ทีถึงจะได้รวมตัวกันพร้อมหน้า วันนี้พวกเจ้าดื่มสุราได้เล็กน้อย

ดีเลยเจ้าค่ะ! โหวฮูหยินกล่าวรับคำเป็นคนแรกอย่างยิ้มแย้ม ถามหวังซีว่า บ้านของพวกเราปฏิบัติตามความคุ้นชินของทางเหนือ ล้วนชื่นชอบสุราสารทน้ำค้างขาวกันทั้งสิ้น บ้านของพวกเจ้าชอบดื่มสุราอะไรหรือ ข้าผิดเอง ไม่ได้สอบถามเจ้าก่อนล่วงหน้า จึงจัดเตรียมให้ไม่ทัน

หวังซีเม้มปากอมยิ้ม ตอบว่า พวกท่านลุงท่านอาและพี่ชายน้องชายที่บ้านข้านั้นไม่ว่าสุราอะไรก็ดื่มได้หมด ขอเพียงเป็นสุราชั้นดีก็พอ ส่วนสตรีจะชอบใช้สุราจินหวามารับรองแขกมากกว่า กลมกล่อมอยู่ได้นานกว่า และไม่ค่อยทำลายสุขภาพ

คนทางนี้อย่างพวกข้ากลับไม่ชอบที่สุราจินหวารสอ่อนเกินไป… โหวฮูหยินยิ้มแย้มพูดคุยเรื่องจิปาถะในบ้านกับหวังซี กระชากเรื่องก่อนหน้านี้ทิ้งไป

ตกบ่ายบรรดาสตรีเล่นไพ่นกกระจอกกัน ตอนเย็นจวนหย่งเฉิงโหวบุรุษอยู่ซ้ายสตรีอยู่ขวา จัดงานเลี้ยงกันที่ห้องโถงของลานบ้านหลัก

เพียงแต่ว่าก่อนไปห้องโถงนั้น มีเหตุการณ์เล็กๆ มาคั่นเอาไว้

จู่ๆ ชิงกูคนข้างกายของเป่าชิ่งจ่างกงจู่ก็มาขอพบอย่างกะทันหัน

ฮูหยินผู้เฒ่าตกใจเป็นอย่างมาก รีบเกล้าผมแต่งตัวใหม่ อยู่พบชิงกูที่ห้องโถงของเรือนหยกวสันต์

แตกต่างจากงานวันคล้ายวันเกิดของเป่าชิ่งจ่างกงจู่ในวันนั้น ชิงกูสวมเสื้อเพ่ยจื่อตัวยาวผ้าฝ้ายบางสีเขียวนกแก้วธรรมดาตัวหนึ่ง เส้นผมดำขลับเกล้าอย่างเรียบร้อยไม่มียุ่งเหยิงเลยสักเส้น ประดับปิ่นปักผมทองคำอย่างง่ายๆ เพียงสองชิ้น หลังจากทำความเคารพฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว กลับบอกว่ามาเพื่อพบหวังซี

ฮูหยินผู้เฒ่าเต็มไปด้วยความสงสัย เรียกหวังซีออกมาพบชิงกู

ชิงกูทำความเคารพหวังซียิ้มๆ รับกล่องไม้หยางมู่[1]กล่องหนึ่งจากมือของสาวใช้เด็กที่ตามมาด้วยด้านหลังยื่นส่งให้หวังซี กล่าวว่า วันนั้นคุณหนูต่างสกุลบอกว่าทำเครื่องประดับหาย จ่างกงจู่ของพวกข้าสั่งให้พวกข้าค้นหาทั้งจวนกว่าหลายวัน สุดท้ายเจอเครื่องประดับชิ้นหนึ่งที่บริเวณสวนป่าไม่ไกลจากศาลากวางร้อง ไม่รู้ว่าใช่ของคุณหนูต่างสกุลหรือไม่ ด้วยกลัวว่าคุณหนูต่างสกุลจะร้อนใจ จึงรีบส่งมาให้ทันที

นี่คือ..

หวังซีหน้าแดงเล็กน้อย เปิดกล่องออก

ปิ่นดอกไม้ฝังพลอยสีม่วงขนาดใหญ่นั้นราวกับถูกเก็บรักษาเอาไว้เป็นอย่างดี นอนเปล่งประกายแวววาวอยู่บนผ้ากำมะหยี่สีม่วงแดงในกล่อง จึงยิ่งดูสุกใสพราวตามากเป็นพิเศษ

ขอบคุณมาก! หวังซีกล่าวด้วยความจริงใจ รู้สึกยุ่งเหยิงในใจเล็กน้อย

นางไม่คาดคิดว่าจะได้เครื่องประดับชิ้นนี้กลับมาอยู่ในมืออีกครั้ง

เพื่อตามหาเครื่องประดับชิ้นนี้แล้ว เกรงว่าคนของจวนจ่างกงจู่คงใช้เวลาไปไม่น้อย

ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อมีเครื่องประดับชิ้นนี้ ก็ถือเป็นการยืนยันอ้อมๆ แล้วว่าที่นางบังเอิญพบเฉินลั่วที่สวนป่านั้น เป็นเพราะไปตามหาเครื่องประดับที่ทำหายไปจริงๆ เท่ากับเป็นการกอบกู้ชื่อเสียงให้นางแล้ว

ยังให้ข้าราชสำนักสตรีฝ่ายในส่วนตัวเอามาส่งให้ในช่วงเวลางานเลี้ยงของครอบครัวในวันเทศกาลแข่งเรือมังกรเป็นพิเศษอีกด้วย

เวลานี้ต่อให้หวังซีเคยเห็นเป่าชิ่งจ่างกงจู่กับใต้เท้าจินผู้เป็นน้องชายของอดีตสามีอยู่ด้วยกัน ก็รู้สึกว่าเป่าชิ่งจ่างกงจู่เป็นคนที่ดีมากผู้หนึ่ง

หวังซีนึกถึงฮูหยินของใต้เท้าจินขึ้นมา ลอบถอนหายใจอยู่ในใจครั้งหนึ่ง แล้วกล่าวขอบคุณชิงกูอีกครั้ง

ฮูหยินผู้เฒ่ากับโหวฮูหยินและคนอื่นๆ ย่อมยินดีปรีดาไปด้วย กล่าวคำขอบคุณจ่างกงจู่จงกู่ไม่หยุด ยังรั้งให้ชิงกูอยู่รับประทานมื้อเย็นที่บ้านด้วย

ชิงกูปฏิเสธยิ้มๆ จวนจ่างกงจู่ทางด้านโน้นก็จัดงานเลี้ยงเช่นกัน จ่างกงจู่ยังรอข้ากลับไปรายงานด้วย!

ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินแล้วไม่อาจรั้งต่อไปได้อีก ต้องการไปส่งชิงกูที่ประตูด้วยตัวเอง

ชิงกูยิ้มกล่าว ไหนเลยจะกล้ารบกวนท่าน! ให้คุณหนูต่างสกุลไปส่งข้าก็พอแล้ว!

ฮูหยินผู้เฒ่าคิดดูแล้วรู้สึกว่าทั้งเหมาะสมและมีเหตุผล จึงรีบบอกให้หวังซีไปส่งแขกแทนนาง

หวังซีกลับรู้สึกว่าเรื่องราวมิได้เรียบง่ายขนาดนั้น

แต่นางยังคงยิ้มแย้มเดินไปส่งชิงกูออกจากเรือนหยกวสันต์

กระทั่งถึงประตูข้างของจวนหย่งเฉิงโหว เกี้ยวของจวนจ่างกงจู่จอดรออยู่ตรงหน้าประตูแล้ว

ชิงกูกล่าวประโยคหนึ่งยิ้มๆ ว่า รบกวนคุณหนูต่างสกุลเพียงแค่นี้ จากนั้นกล่าวอีกประโยคหนึ่งอย่างมีนัยยะว่า ส่งของถึงที่แล้ว ข้ายังต้องรีบกลับไปรายงานคุณชายรองของพวกข้า แล้วก็ขึ้นเกี้ยวไปโดยไม่หันกลับมาอีก ทิ้งให้หวังซีจมจ่อมอยู่ในห้วงความคิดที่หน้าประตูครู่หนึ่ง

คนที่ออกมาจากวังหลวงไม่มีใครธรรมดาเลยแม้แต่คนเดียว นับประสาอะไรกับข้าราชสำนักสตรีฝ่ายในคนสนิทของจ่างกงจู่

นางไม่มีทางพูดอะไรไร้สาระอย่างแน่นอน

หรือว่าปิ่นดอกไม้ชิ้นนี้เฉินลั่วเป็นคนช่วยนางหาจนพบ?

หรือบางทีอาจเป็นเพราะคนของจวนจ่างกงจู่ได้รับคำสั่งจากเฉินลั่วถึงได้ทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยนางตามหาปิ่นดอกไม้จนพบ?

เช่นนี้วันนี้คนที่จัดการให้ชิงกูมาส่งปิ่นดอกไม้ และช่วยกอบกู้ชื่อเสียงให้นางก็คือเฉินลั่ว!

หวังซีไม่อาจสงบใจได้เป็นเวลานาน

ตกเย็น นางถือกล้องส่องทางไกลพาดตัวอยู่ในศาลาบนภูเขาจำลองของสวนหิมะงามมองสำรวจศาลากวางร้องอีกครั้ง

เป็นช่วงเวลาจุดโคมไฟแล้ว ทว่าศาลากวางร้องกลับมืดมิดไม่เห็นแสงสว่างเลยแม้แต่นิดเดียว

หรือว่าจะเป็นอย่างที่ฉังเคอกล่าวมา ปกติเขามิได้พักอยู่ที่ศาลากวางร้อง?

เช่นนั้นการที่นางบังเอิญเจอเขารำกระบี่ได้ ช่างนับว่ามีวาสนามาก

หวังซีนึกถึงเสี้ยวหน้าอันสมบูรณ์แบบและสายตาแน่วแน่มั่นคงของเฉินลั่วยามง้างธนูยิง แล้วก็นึกถึงสีหน้าดุร้ายของเขาในสวนป่ากับอาการเพิกเฉยต่อความผิดปกติที่ทุกคนมีต่อเขา

บางทีอาจมิใช่การเพิกเฉย แต่เป็นความเคยชิน?

หวังซีคิดไปเรื่อยเปื่อยไม่สิ้นสุด ห้าวหาญมีชีวิตชีวากับหมองหม่นเย็นชา ใบหน้าไหนคือใบหน้าที่แท้จริงของเฉินลั่วกันนะ?

ยิ่งคิดนางก็ยิ่งรู้สึกว่าเฉินลั่วราวกับมีผ้าโสร่งหุ้มไว้หนึ่งชั้น ทำให้นางเห็นไม่ชัด

***

ถึงวันที่เจ็ดเดือนห้า ปั๋วหมิงเย่ว์ให้คนส่งจดหมายไปที่ร้านขายยาเพื่อมวลชนหนึ่งฉบับ บอกว่าได้ทำการพูดคุยกับท่านเจ้าอาวาสวัดต้าเจวี๋ยเรียบร้อยแล้ว วันที่สิบเฉาอวิ๋นอยู่ที่วัดตลอด พวกนางจะไปหาเขาเวลาใดก็ได้

คิดไม่ถึงว่าปั๋วหมิงเย่ว์จะกระทำการได้ละเอียดรอบคอบยิ่งนัก

หวังซีได้รับจดหมายแล้ว ทำการแจ้งฮูหยินผู้เฒ่าล่วงหน้าครั้งหนึ่ง วันที่สิบพาหวังสี่และพวกหวังหมัวมัวอีกสองสามคน ตามท่านหมอเฝิงไปที่วัดต้าเจวี๋ย

วัดต้าเจวี๋ยสร้างอยู่ที่ภูเขาตะวันตก นั่งรถม้าจากเขตเสี่ยวสือยงไปต้องใช้เวลาสองชั่วยามโดยประมาณ กว่าหวังซีและคนอื่นๆ จะไปถึงก็เกือบจะถึงยามอู่[2]แล้ว

นี่นับเป็นครั้งแรกที่นางได้มาเยือนวัดต้าเจวี๋ย

ไม่แตกต่างจากวัดโบราณอื่นๆ ที่มีกัน วัดต้าเจวี๋ยกำแพงสีแดงหลังคาสีเทา ปากประตูมีต้นไม้เก่าแก่สูงตระหง่านขนาดคนโอบรอบสองต้นตั้งอยู่ แม้นคนพลุกพล่านเดินไปมา ผู้มาสักการะเต็มไปหมด แต่ประตูหลักปิดแน่นสนิท มีเพียงวันที่ฮ่องเต้เสด็จมาเท่านั้น ถึงจะเปิดประตูหลักต้อนรับ

ผู้มาสักการะธรรมดาทั่วไปใช้ประตูข้างทั้งสองประตูที่อยู่ข้างๆ ประตูหลัก และเนื่องจากวัดต้าเจวี๋ยเป็นวัดของราชวงศ์ นอกจากพระสนมในวังหลวงหรือไม่ก็องค์ชายและพระราชนัดดาแล้ว ต่อให้เป็นขุนนางชั้นสูงหรือบุคคลชนชั้นสูงมาไหว้พระ วัดต้าเจวี๋ยก็ไม่ปิดถนนให้ แต่จะให้พระต้อนรับแขกพาเดินเข้าไปจากประตูหลังแทน

น่าจะเป็นเพราะได้รับอานิสงส์จากจวนชิ่งอวิ๋นโหว พระต้อนรับแขกของวัดต้าเจวี๋ยพาพวกหวังซีข้ามจากประตูหลักเลี้ยวเข้าไปในทางเดินเล็กๆ ด้านข้าง เดินไปประมาณครึ่งชั่วยาม ก็เข้าไปในวัดต้าเจวี๋ยจากประตูหลัง

หวังสี่รู้จักการเข้าหาและจัดการกับผู้คนเป็นอย่างดี ไม่รอให้หวังซีลงจากรถม้าก็แสดงความประสงค์ต้องการบริจาคค่าธูปค่าน้ำมันเป็นเงินจำนวนห้าร้อยตำลึงกับพระต้อนรับแขกผู้นั้นแล้ว

รอยยิ้มของพระต้อนรับแขกผู้นั้นเปลี่ยนเป็นกระตือรือร้นขึ้นมาหลายส่วน หลังจากพาพวกเขาไปจุดธูปที่วิหารมหาเทพเสร็จแล้วก็รีบจัดเตรียมอาหารเจให้ทันที ยังถามหวังซีว่าต้องการพักกลางวันก่อนแล้วค่อยไปดูเรือนปีกสถานที่ผสมเครื่องหอมของเฉาอวิ๋นหรือไม่

หวังซีคิดไม่ถึงว่าเงินบริจาคค่าธูปและค่าน้ำมันจำนวนห้าร้อยตำลึงจะคุ้มค่าถึงเพียงนี้ ถามอย่างยินดีว่า ได้หรือ

พระต้อนรับแขกอายุห้าสิบกว่า กลางหว่างคิ้วสีหงอกนั้นมีไฝขนาดเท่าเมล็ดถั่วอยู่เม็ดหนึ่ง เหตุใดจะมิได้ พวกท่านเป็นแขกคนสำคัญ ทั้งยังตั้งใจมาเพื่อขอคำชี้แนะเรื่องการผสมเครื่องหอมจากเขาเป็นพิเศษ ไปเรือนปีกสถานที่ผสมเครื่องหอมของเขาจะได้ดูเข้าใจมากขึ้นและพูดได้ชัดเจนมากขึ้นมิใช่หรือ

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพระต้อนรับแขกท่านนี้รู้สึกว่าฝีมือการผสมเครื่องหอมของเฉาอวิ๋นยอดเยี่ยมมาก ต่อให้พวกเขาดูแล้วก็ลอกเลียนเอาไปไม่ได้อยู่ดี หรือเพราะรู้สึกว่าการผสมเครื่องหอมก็มิได้มีอะไรน่าอัศจรรย์ใจขนาดนั้น ลอกเลียนเอาไปได้ก็ไม่เป็นอะไรกันแน่?

เฉาอวิ๋นจะรู้หรือไม่ว่าพระที่วัดต้าเจวี๋ยมีท่าทีต่อการผสมเครื่องหอมของเขาเช่นนี้?

หวังซีกับท่านหมอเฝิงแลกเปลี่ยนสายตากันครั้งหนึ่ง ไปโถงรับประทานอาหารเจกับพระต้อนรับแขกด้วยความเบิกบาน

……………………………………………………………..

[1] หยางมู่ ต้นป็อปลาร์ (Populus)

[2] ยามอู่ 11.00-13.00 นาฬิกา

ตอนต่อไป