บทที่ 62 ปากหอมกรุ่น

สำรับมนตราของชายาอ๋อง

ตอนที่ 62 ปากหอมกรุ่น

“พี่หญิงสองพูดถูกเพคะ เครื่องดนตรีไม่มีแบ่งชั้นวรรณะสูงต่ำ แต่เครื่องดนตรีมักจะมีราคาสูง ที่หม่อมฉันเริ่มเรียนกลองก็เพราะหม่อมฉันไม่มีเงินซื้อเครื่องดนตรีราคาแพงจริง ๆ พวกท่านทุกคนต่างก็รู้ดีว่าหม่อมฉันเคยเป็นลูกสาวของอนุในจวนมหาเสนาบดีจึงมีทรัพย์ไม่มากนัก…”

“ท่านไม่จำเป็นต้องทำร้ายน้องสาวของท่านเพราะเรื่องเล็กน้อยนี้หรอกเพคะ มาเถิด องค์หญิงแปดก็มาทานด้วยกันนะเพคะ” ฉินปู้เข่อเปลี่ยนจานผลไม้จากทางขวาไปทางซ้าย และเปลี่ยนทิศทางการส่งเล็กน้อยเพื่อมอบมันให้แก่หมี่จิ่งหาน

เมื่อเห็นว่าคนสำคัญต้นเรื่องออกหน้าเพื่อทำให้สถานการณ์คลี่คลาย หมี่จิ่งหานจึงหยิบถั่วเขียวกวนตรงหน้าขึ้นมาแล้วใส่เข้าไปในปากของตน ซึ่งถือเป็นการตกลงทางอ้อมว่าจะยุติข้อพิพาททางวาจานี้

อย่างไรก็ตาม บัดนี้นางก็ยังคงมีลิ้นอันเฉียบแหลม “พี่สะใภ้เจ็ดเป็นคนซื่อสัตย์ แต่ทุกคนสามารถตีกลองจังหวะเดียวกันกับพวกผู้ชายในตลาดได้หรือ…”

ก่อนที่นางจะกล่าวจบ เสียงที่ไม่อ่อนโยนนักก็ดังขึ้น ทุกคนอยู่ที่โต๊ะเดียวกันย่อมได้ยินชัดเจน พวกนางมองหาต้นตอของเสียงและดมกลิ่นโดยตั้งเป้าหมายไว้ที่หมี่จิ่งหาน

หมี่จิ่งหานหยุดพูด ใบหน้าของนางร้อนฉ่าอย่างรวดเร็ว

แล้วอีกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

จากความถี่อย่างเดียวก็ตัดสินได้ว่าเจ้าของเสียงนี้พยายามจะควบคุมแต่ก็ไม่อาจควบคุมได้

“แค่ก แค่ก…” มีใครบางคนพยายามส่งเสียงไอเพื่อกลบเสียงที่น่าอับอาย

หลังจากหยุดไปชั่วขณะหนึ่ง เสียงนั้นก็ดังขึ้นอีกครั้ง

ใบหน้าของหมี่จิ่งหานเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำเสียยิ่งกว่าเดิม

ดูเหมือนจะไม่อาจรั้งรอได้อีกแล้ว

“องค์หญิงแปดท้องเสียหรือเพคะ?” ฉินปู้เข่อเป็นคนแรกที่สร้างความอับอายขายหน้า

หมี่ฉงซือเหลือบมองหมี่จิ่งหานที่กำหมัดแน่นอย่างอดทนแล้วกล่าวเย้ยหยัน “น้องหญิงแปด เหตุใดเจ้าจึงวางตัวได้น่าสมเพชเฉกเช่นเดียวกับวาจาของเจ้า ไม่มีผู้ใดขวางประตูไว้ เจ้าควรรีบออกไปเสีย”

เหยียดหยาม!

ฉินปู้เข่อแอบกดถูกใจให้หมี่ฉงซือในใจสามสิบสองรอบ นางคาดไม่ถึงว่าองค์หญิงสองจะเกรี้ยวกราดถึงเพียงนี้ และกล้าที่จะโยนคนตรงหน้านางออกไป

ตระกูลของพระสนมเฉินเป็นตระกูลขุนพลที่มีชื่อเสียงในต้าเซี่ย มีแม่ทัพสี่คนที่สละชีวิตเพื่อประเทศในสามราชวงศ์และสองชั่วอายุคน เมื่อนางยังเด็กอารมณ์ของนางค่อนข้างร้อน ซึ่งองค์หญิงสอง หมี่ฉงซือ ก็ได้สืบทอดนิสัยของพระสนมเฉินตอนเด็กมาอย่างสมบูรณ์ โดยนางเป็นคนซื่อสัตย์และตรงไปตรงมา หากเจอผู้คนและสิ่งที่นางไม่พอใจ นางก็จะโจมตีซึ่ง ๆ หน้า

ทั้งนี้ก็เป็นเพราะตระกูลของพระสนมเฉินผู้เป็นมารดาหยั่งรากลึกในต้าเซี่ย ทำให้คนธรรมดาไม่อาจยั่วยุได้ หมี่ฉงซือจึงไม่ต้องกังวลเมื่อนางระบายอารมณ์และไม่กลัวการแก้แค้นของผู้อื่นเลย

“เจ้า!” หมี่จิ่งหานยืนขึ้นแล้วชี้หน้าหมี่ฉงซือด้วยใบหน้าแดงก่ำ

จู่ ๆ นางก็เผลอแสดงท่าทีรุนแรงเกินไป และเสียงดัง ‘ป้าด’ จากการผายลมของนางก็ดังสนั่นอย่างกลั้นไม่อยู่

ห้องโถงทิศตะวันตกซึ่งเป็นที่อยู่ของเหล่าสตรีผู้สูงศักดิ์ทุกคนต่างตกใจกับเสียงที่ดังขึ้นอย่างกะทันหัน

“นี่มันเสียงอะไร? มีคนเอาลูกกระสุนปืนใหญ่เข้ามาด้วยหรือ” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง คนที่นั่งหัวมุมก็เอ่ยอย่างเกรงใจพลางหันหน้าสำรวจหาที่มาของเสียง

“พรืด…” เมื่อได้ยินดังนั้น คนโต๊ะใกล้เคียงหลายคนที่รู้แหล่งที่มาของเสียงก็อดกลั้นไว้ไม่ได้อีกต่อไป พวกนางเอาผ้าเช็ดหน้าปิดปากแล้วก้มหน้าลงหัวเราะลั่น

เสียงผายลมเสียงแหลมยังคงดังอย่างต่อเนื่อง หมี่จิ่งหานรีบวิ่งออกจากโถงฉางอานด้วยท่าทางที่บิดเบี้ยวอย่างรวดเร็ว

ฉินปู้เข่อก้มหน้าลงและพยายามทุกวิถีทางเพื่อที่จะระงับเสียงหัวเราะของตน ถั่วเขียวกวนผายลมนี้สามารถทำให้คนผายลมต่อไปได้ถึง 1 ชั่วยาม

เนื่องจากปากของนางเหม็นมากเพราะนางชอบพูดให้ร้ายผู้อื่น ซึ่งคำพูดจากปากเช่นนี้ก็ไม่ต่างจากการผายลม เกรงว่าบ่ายนี้นางคงจะอยู่ในตำหนักของตนและต้องดมกลิ่นผายลมของตนเองไปนั่นแหละ

“พี่หญิงสอง ท่านช่างแข็งแกร่งนัก!” ฉินปู้เข่อยกนิ้วให้หมี่ฉงซือ

หมี่ฉงซือเลิกคิ้วแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูถูกเหยียดหยาม “หมี่จิ่งหานและมารดาของนางถูกแกะสลักจากแม่พิมพ์เดียวกัน พวกนางพูดจาหยาบกระด้างและไร้ซึ่งเมตตา พวกนางไม่เคยเห็นความดีของผู้อื่นและมักจะสาดโคลนใส่ผู้อื่นเสมอ น้องสาวทั้งหลายอย่าได้ถือสานางเลย คิดเสียว่านางคือคนที่ต้องถูกทำความสะอาดเสียบ้าง!”

จากนั้นนางก็มองข้ามฉินปู้เข่อแล้วหันไปหาหมี่เสวี่ยหลีและกล่าวว่า “ในตอนเช้าที่ข้าเข้าไปในพระราชวังเป็นครั้งแรก ข้าเห็นว่าเจ้าอยู่กับนางด้วยท่าทีเช่นไร นางไม่ได้ทำให้เจ้าลำบากใจใช่หรือไม่”

“ในตอนเช้าไม่เป็นอะไร ขอบพระทัยพี่หญิงสองที่เป็นห่วงเพคะ” หมี่เสวี่ยหลียกยิ้มขณะที่นางหลบสายตา

หลายคนกำลังพูดคุยกัน และนางกำนัลก็เดินมาที่ด้านข้างของหมี่ฉงซือแล้วกล่าวทักทาย

“องค์หญิงสองเพคะ พระสนมเฉินเชิญท่านเพคะ”

เมื่อเห็นหมี่ฉงซือเดินจากไป ฉินปู้เข่อก็พาหมี่เสวี่ยหลีไปเดินเล่นอย่างอิสระในสวนของพระราชวัง

นางลังเลอยู่สักพักแล้วพูดว่า “เหตุใดองค์หญิงเก้าไม่บอกความจริงเรื่องไฟไหม้ในโกดังเมื่อตอนเช้าเล่า? หากรู้สึกว่าไม่สมควรที่จะทูลแก่ฮ่องเต้โดยตรง เจ้าก็สามารถบอกแก่องค์หญิงสองก็ได้ ข้าเห็นว่าองค์หญิงสองเป็นมิตรและมีเมตตานัก”

หมี่เสวี่ยหลีหยุดเดินแล้วจ้องมองฉินปู้เข่ออยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เม้มปากแล้วพูดว่า “พี่สะใภ้เจ็ดรู้ได้อย่างไรเพคะ”

“ในตอนเช้าก่อนที่ข้าจะไปพบไฟไหม้ในโกดัง ข้าเห็นองค์หญิงแปดเดินผ่านทางเดียวกันด้วยท่าทีตื่นตระหนก นอกจากนี้เจ้ายังจับมือข้าไว้ในช่วงเวลาอาหารกลางวัน ซึ่งไม่ว่าเจ้าจะประหม่าหรือหวาดกลัวก็ตาม อารมณ์ทั้งหมดนี้ย่อมแสดงออกมาผ่านฝ่ามือของเจ้า”

วันนี้ท่าทีของหมี่จิ่งหานดูสงบหลังจากลอบวางเพลิงแล้ว หลังจากที่ได้เจอหมี่เสวี่ยหลีแล้วนางก็ไม่ได้รู้สึกผิดหรือสำนึกผิดใด ๆ เลย ตนคิดว่าพฤติกรรมกลั่นแกล้งรังแกเช่นนี้คงจะเกิดขึ้นกับนางบ่อยครั้งในอดีต ดังนั้นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้กระทำผิดในปัจจุบันไม่มีความเกรงกลัว แต่ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อกลับเต็มไปด้วยความหวาดกลัวในใจ

………………………………………………………………………..