บทที่ 70 กวางน้อยสีขาว

บทที่ 70 กวางน้อยสีขาว

เสี่ยวเป่าร้องอ้อออกมาคำหนึ่ง นางเชิดคางด้วยความภาคภูมิใจ

“ท่านพ่อของเสี่ยวเป่าตื่นตั้งแต่เช้า ท่านพ่องานยุ่งมาก ๆ”

ยามเอ่ยว่าท่านพ่องานยุ่ง เจ้าตัวเล็กพลันนึกปวดใจ

“วันหน้าเสี่ยวเป่าจะหาเงินมาเลี้ยงท่านพ่อ ท่านพ่อจะได้ไม่ต้องงานยุ่งขนาดนั้นอีก”

หนานกงสือเยวียนซึ่งยืนห่างออกไปไม่ไกล ได้ยินว่าเจ้าก้อนแป้งอายุสามขวบปีคิดเรื่องหาเงินเลี้ยงเขาแล้ว

บิดาทรราชพลันซาบซึ้งในถ้อยคำไร้เดียงสาของบุตรสาว

หนานกงฉีซิวชำเลืองสีหน้าของเสด็จพ่อตามสัญชาตญาณ เยี่ยมมาก ใบหน้าเย็นยะเยือกของเสด็จพ่อนุ่มนวลขึ้นมายามมองน้องสาว

เขาหลุบสายตาคลี่ยิ้ม ผู้ใดจะไม่ใจอ่อนและซาบซึ้งใจ เมื่อเจอกับเจ้าตัวน้อยที่คำนึงถึงพวกเขาตลอดเวลาเล่า

“ท่านพ่อ!”

“พี่ใหญ่~”

เสี่ยวเป่าหันไปเห็นท่านพ่อและพี่ใหญ่ยืนมองพวกเขาอยู่ใต้หลังคา

เจ้าตัวน้อยทิ้งเจ้าม้าและเหล่าพี่ชายไว้เบื้องหลัง ขณะสับขาสั้นป้อมวิ่งมาหาด้วยใบหน้าระรื่น

“ท่านพ่อ เสี่ยวเป่าคิดถึงท่านแล้ว~”

ทันทีที่เจ้าก้อนแป้งวิ่งไปถึงตรงหน้าท่านพ่อ ก็ถูกบุรุษร่างสูงค้อมตัวอุ้มขึ้นมา เสี่ยวเป่าอ้าแขนโอบรอบคอท่านพ่อ ถูไถไปมา ตัวนุ่มนิ่มติดเขาแจ

หนานกงสือเยวียนเอ่ยไปว่า “เพิ่งกี่ชั่วยามเอง”

นับตั้งแต่ตื่นนอนยามเช้า จวบจนบัดนี้ เพิ่งผ่านไปเพียงหนึ่งชั่วยามครึ่งเท่านั้น

เสี่ยวเป่าบ่นกระปอดกระแปด “แต่เสี่ยวเป่าคิดถึงท่านพ่อนี่นา ท่านพ่อ ข้ามีเรื่องเล่าให้ฟัง เสี่ยวเป่าจับปลาได้ตัวใหญ่ยิ่ง…”

เจ้าก้อนแป้งโอบคอบุรุษ ตัวเล็กอ่อนนุ่มหอมฉุยของนางพิงอยู่บนไหล่อันปลอดภัยของท่านพ่อ ปากน้อย ๆ ส่งเสียงไม่หยุด เรื่องเล็กปะติ๋วก็อยากแบ่งปันกับเขา

หากเป็นผู้อื่น หนานกงสือเยวียนคงโยนออกไปด้วยความรำคาญตั้งนานแล้ว

ทว่าเมื่อเป็นธิดาของตน ราชาผู้นี้ดูจะอดทนใจเย็นเป็นพิเศษ

แน่นอนว่า มีเพียงก้อนแป้งผู้เสมือนลูกวัวเพิ่งเกิดที่ไร้ความกลัวต่อเสือเท่านั้น ถึงกล้าทำตัวเช่นนี้กับองค์เหนือหัว หากเป็นผู้อื่น คงหงอตั้งแต่ได้เห็นเขาแล้ว

อย่างเช่นบรรดาเด็กหนุ่มผู้กำลังให้อาหารม้า

ทว่าแม้จะปอดแหกไม่น้อย กระนั้นพวกเขายังอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองฮ่องเต้ด้วยความใคร่รู้ จากนั้น เริ่มใคร่รู้เรื่อย ๆ จนควบคุมสีหน้าไม่อยู่อีกต่อไป

โดยเฉพาะเหล่าโอรสของหนานกงหลี

พวกเขาเคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับเสด็จลุงท่านนี้ อำมหิตชื่นชอบการเข่นฆ่า ซ้ำยังมีข่าวลือว่าเขาเสวยเด็กเป็นพระกายาหาร!

เอาเป็นว่า ข่าวลือเกี่ยวกับเสด็จลุงนั้นน่าพรั่นพรึงเป็นอย่างยิ่ง

พวกเขาเป็นบุตรชายสายรองของจวนเซียวเหยาอ๋อง จึงไม่เคยได้พบพระพักตร์ฮ่องเต้เลยก่อนหน้านี้ เพราะอย่างนั้น จากข่าวลือที่เคยได้ยินมา ภาพลักษณ์ของฮ่องเต้สำหรับพวกเขาทรงมีพระพักตร์ดุดันเขี้ยวคม ท่าทางองอาจโหดเหี้ยม

แต่หลังจากได้พบกันวันนี้ ถึงรู้ว่าข่าวลือนั้นผิดเพี้ยนปานใด ทั้งที่เสด็จลุงทรงมีพระพักตร์รูปงามเพียงนี้ ทั้งยังดีต่อญาติผู้น้องตัวน้อยมาก

แต่ใบหน้าเย็นชามีความองอาจนั้นนับว่าเป็นความจริง

“คนอื่นเล่า”

เสี่ยวเป่ายกมือตอบเสียงใส “ไปล่าสัตว์ เตรียมทำปิ้งย่าง!”

พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา*[1] ข้ารับใช้วิ่งมาบอกพวกเขาว่า เหล่าบุรุษวัยเยาว์ผู้ขี่ม้าออกไปล่าสัตว์บนเขากลับมากันแล้ว

เสี่ยวเป่าผู้ได้ยินข่าวนั้นรีบลากท่านพ่อไปรับเหล่าพี่ชาย

“ท่านพ่อ เร็วเข้า พวกพี่ชายกลับมาแล้ว!”

ผู้ขี่ม้าอยู่เบื้องหน้าสุดคือพี่รอง อาภรณ์สีแดงของเขาพลิ้วไหว ดูเหมือนกุหลาบเฉิดฉันเป็นที่สุด

เรือนร่างบุรุษสูงโปร่ง มือหนึ่งถือคันธนู อีกมือกุมบังเหียนม้า เส้นผมสีดำสยายงดงามดั่งรูปวาด

ถัดไปเป็นหนานกงฉีหลิง บุรุษผู้เชี่ยวชาญด้านบู๊มาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์อยู่ในอาภรณ์ขี่ม้าสีทองอ่อน รอยยิ้มสดใสดั่งดวงอาทิตย์ ร่าเริงรูปงาม ทอประกายไร้กังวลอย่างที่เด็กหนุ่มพึงมี

ส่วนองค์ชายสี่นั้นอยู่ลำดับท้ายหน่อย เพราะเขานั้นตัวใหญ่ ม้าที่เลือกก็ต้องแข็งแกร่งมีเรี่ยวแรง ท่าทางทรงพลัง ทว่ามีจุดอ่อนอย่างเห็นได้ชัด นั่นคือเชื่องช้ากว่าผู้อื่น

เมื่อเทียบกับองค์ชายรองและองค์ชายห้าผู้ถนัดการขี่ม้ายิงธนู เขามีความสามารถด้านนี้ด้อยกว่า เพราะอย่างนั้น เหยื่อที่ล่ามาได้จึงเยอะมิสู้เสด็จพี่รอง และน้องห้า

แต่หากเทียบกับบรรดาบุรุษผู้มีดีเพียงรูปลักษณ์แห่งจวนเซียวเหยาอ๋องที่เอาแต่วางมาดขี่ม้าทำเท่แล้ว ผลงานของเขานั้นยอดเยี่ยมทีเดียว

หนานกงสือเยวียนมือไพล่หลัง เพียงยืนเฉย ๆ ก็เปรียบเสมือนทวนเทวาหนึ่งด้ามที่ผ่านการห้ำหั่นบนสนามรบมา เปล่งประกายคมกล้า แต่กลับระงับพลังไว้ กระนั้นยังมิอาจปกปิดความเด็ดเดี่ยวดุดันบนตัวเขาได้

ม้าที่วิ่งเข้ามาหยุดเองโดยมิต้องให้เจ้านายดึงรั้งด้วยความหวาดกลัว ขณะห่างจากเขาอีกสามสิบจั้ง

“เสด็จพ่อ”

“เสด็จลุง”

เหล่าเด็กหนุ่มลงจากม้า ประหวั่นพรั่นพรึงเพียงใดในใจนั้นไม่ต้องกล่าวถึง ทั้งยังเลื่อมใสมากขึ้นเรื่อย ๆ

เนตรสีนิลของหนานกงสือเยวียนกวาดผ่านพวกเขา ผงกศีรษะเนิบนาบ

“ท่านพี่~”

เสี่ยวเป่าชะโงกหัวซุกซุนขนปุยออกมาจากทางด้านหลังของท่านพ่อ เอ่ยเรียกพี่ชายเสียงหวาน

“เสี่ยวเป่า ดูสิ พวกเราจับเหยื่อมาได้ไม่น้อย”

ทรัพยากรบนเขานั้นอุดมสมบูรณ์ มีสัตว์ป่าอยู่ไม่น้อย

เสี่ยวเป่ามองเหยื่อที่ถูกธนูยิงตาย ภาวนาเงียบ ๆ ในใจขอให้ชาติหน้าพวกมันได้เลือกเกิดดี ๆ

ทว่าชาตินี้ นางและท่านพ่อ รวมถึงบรรดาพี่ชายจะให้พวกมันตายอย่างสมศักดิ์ศรี!

ไม่ขอทิ้งขว้างอาหารแม้แต่น้อย!

หนานกงฉีอิงปลดเหยื่อตัวหนึ่งลงมาจากม้าของตน มันยังมีชีวิตอยู่ เป็นกวางเหมยฮัวตัวน้อยสีขาวที่หาได้ยากยิ่ง

หนานกงสือเยวียนเห็นแล้วยังต้องทึ่งเล็กน้อย

หนานกงฉีอิงวางกวางน้อยสีขาวลง เกาหัวยิ้ม ๆ พลางกล่าว

“ข้าโชคดี พบเจอกวางน้อยสีขาวตัวนี้ในป่า จึงจับมาเป็นของกำนัลให้น้องสาว”

กล่าวจบก็หันไปมองเสด็จพ่อของตนอย่างความรู้สึกช้า ถามด้วยท่าทางทึ่ม ๆ

“เสด็จพ่อ ท่านจะทรงรับไว้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

กวางสีขาวเช่นนี้คล้ายว่าหาได้ยาก เมื่อเขามีของดี ควรนึกถึงเสด็จพ่ออยู่เสมอใช่หรือไม่

ทุกคน “…”

หนานกงสือเยวียนทอดมองโอรสซื่อบื้อของตน อาหารที่รับประทานเข้าไปเห็นจะกลายเป็นพละกำลังหมดแล้ว สมองมิได้สืบทอดจากเขาไปเลยแม้แต่น้อย

“ยกให้น้องสาวเจ้าไปแล้วมิใช่หรือ”

หนานกงฉีอิงเอ่ยเสียงกระอึกกระอัก “หาก…หากว่าเสด็จพ่อทรงมีพระประสงค์อยากได้ กระหม่อมจะไปหาดูอีกทีก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”

หนานกงสือเยวียนเชื่อสนิทว่า หากตนเองรับคำ เจ้าบุตรชายหัวทึ่มผู้นี้เป็นต้องวิ่งโร่เข้าไปในเขา หาไม่พบไม่ยอมกลับเป็นแน่!

“ไม่ต้อง”

หนานกงฉีอิงหัวเราะซื่อ ๆ “แหะ ๆ กระหม่อมก็ใคร่ครวญอยู่ว่า เสด็จพ่อคงมิทรงโปรดตัวเล็กขนปุยเช่นนี้ เด็ก ๆ น่าจะชอบมากกว่า”

ทุกคน ‘…ท่านช่างหลักแหลมยิ่งนัก!’

ท่านคิดในใจมิได้หรือ ไยต้องเอ่ยออกมาต่อหน้าพระพักตร์ด้วย!

หนานกงฉีโม่ปากกระตุก ไม่อาจทนมองได้อีกต่อไป

กวางน้อยสีขาวนั้นบาดเจ็บมา ทว่ามิใช่แผลจากธนู หากแต่เหมือนถูกสัตว์บางตัวกัด

หนานกงฉีอิงอธิบาย “ยามข้าพบมัน เพียงพอนตัวหนึ่งกำลังกัดมันอยู่ แต่ไม่ทันเห็นแม่กวาง คาดว่าคงหนีไปแล้วกระมัง ฝีมือยิงธนูของข้าไม่ดีเท่าใด เมื่อยิงเข้าไปกลับทำให้เพียงพอนตกใจหนีไปแทน กวางตัวนี้บาดเจ็บที่ขา วิ่งได้ไม่ไวนัก จึงถูกข้าจับกลับมา”

ดูจากขาที่ยังอ่อนยวบเวลาเดินของเจ้ากวางเหมยฮัวน้อยแล้ว คงเพิ่งเกิดได้ไม่นาน

ยามนี้ ขาหลังของมันมีเลือดไหล นอนตัวสั่นงันงกอยู่บนพื้น

เสี่ยวเป่าก้าวเข้าไปย่อตัวลงเบื้องหน้าของมัน ลูบหัวปลอบโยน

ดวงตาใสสกาวของกวางน้อยสีขาวจ้องมองนางอย่างน่าสงสาร ถูปลายจมูกบนฝ่ามือของนาง ก่อนจะมุดทั้งศีรษะเข้าไปในอ้อมอกของนาง ร่างยังสั่นอยู่น้อย ๆ

เสี่ยวเป่ากอดศีรษะของกวางน้อยสีขาว ดวงตางดงามยิ้มเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวขณะหันมองท่านพี่สี่

“ขอบคุณท่านพี่สี่เพคะ ข้าชอบของกำนัลจากท่านพี่สี่มาก”

หนานกงฉีอิงหัวเราะซื่อ ๆ “ชอบก็ดีแล้ว ชอบก็ดีแล้ว”

[1] พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา หมายถึง การพูดถึงบุคคลที่สามแล้วเขาก็โผล่มาพอดี