ตอนที่ 141 ความอับอายของเจมมา

ซู่เจินไม่ได้มีเวลาในการศึกษาปัญญาประดิษฐ์ด้วยตัวเองมากนัก และยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าดันเจี้ยนก็คือแหล่งทรัพยากรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสําหรับเขา

“ฉันเข้าใจแล้ว เดี๋ยวฉันจะช่วยหาคนที่คุณต้องการให้เร็วที่สุด พร้อมกับสั่งให้เขาเริ่มทําการวิจัยเกี่ยวกับมันในทันที” เจสสิก้าพยักหน้าพร้อมกับพูดขึ้นมา

ซู่เจินพยักหน้าเบา ๆ และพูดว่า “ตอนนี้ผมสามารถติดต่อคุณได้ฝ่ายเดียว ดังนั้นถ้าเกิดว่าคุณมีปัญหาอะไร คุณก็รอให้ผมกลับมาก่อน ซึ่งในตอนนี้มันยังติดปัญหาอะไรบางอย่างอยู่ ทําให้ผมไม่สามารถพาคุณมาที่นี่ได้โดยตรง”

” ที่นี่ไม่ใช่ภาพลวงตาที่คุณสร้างขึ้นมาอย่างงั้นหรอ ?” เจสสิก้าถามขึ้นมาด้วยความสงสัย

ซู่เจินส่ายหัวและพูดว่า “ทั้งใช่และไม่ใช่ ถ้าพูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ คุณในตอนนี้ยังอยู่ภายในโลกเดิมของคุณ ส่วนผมก็อยู่อีกโลกหนึ่ง และเมื่อเงื่อนไขมันครบเมื่อไหร่ผมก็จะสามารถพาคุณมายังโลกของผมได้”

“อีกโลกหนึ่ง ?” เจสสิก้าพูดขึ้นมาด้วยความตกใจ

“ตอนนี้มันยังเร็วเกินไปที่จะพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และคุณจะรู้มันเองเมื่อถึงเวลา ดังนั้นตอนนี้ผมจะส่งคุณกลับไปยังโลกเดิมของคุณแล้วและช่วยจัดการเรื่องนั้นให้ผมด้วย”

“อืม”

ซู่เจินโบกมือขึ้นมาเบา ๆ ทันใดนั้นเจสสิก้าก็หายไปจากสายตาของซู่เจินทันที

หลังจากนั้นซู่เจินก็ออกมาจากสนามประลองและนอนหลับไปด้วยความสบายใจ

เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากซู่เจินตื่นขึ้นมา เขาก็วาร์ปไปยังห้องนอนของสกายทันที ซึ่งสกายในตอนนี้ก็ยังไม่ตื่น ทําให้ซู่เจินเดินไปนอนลงบนเตียงพร้อมกับกอดเธอจากด้านหน้า

เมื่อสกายรู้สึกว่ากําลังมีใครบางคนกําลังกอดเธออยู่ ทําให้เธอค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความมึนงง

“อย่าเพิ่งพูดอะไรเลยคุณนอนต่อเถอะ เดี๋ยวเราค่อยคุยกันตอนที่คุณตื่นดีแล้ว” ซู่เจินพูดขี้นมาด้วยรอยยิ้มพร้อมกับกอดเธอให้แน่นยิ่งกว่าเดิม

สกายเมื่อได้ยินดังนั้นเธอก็เข้าไปในอ้อมแขนของซู่เจินอย่างรวดเร็ว และเธอก็เอา แขนของเธอโอบไปที่ตัวของซู่เจินด้วยเช่นกัน และด้วยร่างกายที่แข็งแรงและความรู้สึกที่คุ้นเคยจากซู่เจินทําให้สกายผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว

หลังจากหลับไปได้ประมาณหนึ่งชั่วโมง สกายก็ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง

“ทําไมจู่ ๆ คุณถึงได้เข้ามาในห้องได้โดยฉันไม่รู้ตัวเลยล่ะ ? มันเป็นความสามารถพิเศษใหม่ของคุณอย่างงั้นหรอ ?” สกายถามขึ้นมาพร้อมกับหรี่ตาลงเล็กน้อย

“ใช่ นี่เป็นความสามารถใหม่ที่ผมเพิ่งได้มา และด้วยความสามารถนี้มันก็ทําให้ผมสามารถควบคุมเวลาและเดินทางไปในที่ต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว มันเป็นความสามารถที่แข็งแกร่งมากเลยล่ะ” ซู่เจินอธิบายขึ้นมาอย่างช้า ๆ

หลังจากนั้นสกายก็ไม่ได้ถามอะไรกับซู่เจินอีก พร้อมกับเริ่มออกกําลังกายยามเช้ากันอย่างรวดเร็ว

หลังจากออกกําลังกายกันเสร็จแล้ว สกายก็นึกขึ้นมาได้ว่าเธอมีอะไรบางอย่างที่อยากจะถามกับซู่เจิน แต่ในขณะที่เธอกําลังจะพูดขึ้นมา ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงของเจมมา

“สกาย เธอ … เธอตื่นแล้วหรือยัง ถ้าตื่นแล้วเธอก็ช่วยรีบออกมาเร็ว ๆ หน่อยนะ เพ ราะตอนนี้พวกเรามีภารกิจที่ต้องทํา เอ่อ… ซู่เจินที่อยู่ข้างในด้วยนะ เพราะภารกิจครั้งนี้มันค่อนข้างจะยุ่งยาก …”

“อ้า … เธอรู้ด้วยว่าคุณอยู่ที่นี่ เรารีบออกไปกันเถอะ” สกายรีบพูดขึ้นมาด้วยความเร่งรีบพร้อมกับใบหน้าที่แดงก่ํา “ไม่นะ มันน่าอายเกินไปแล้ว เธอจะต้องได้ยินมันหมดแล้วอย่างแน่นอน”

“ถ้าได้ยินก็ปล่อยให้เธอได้ยินไปสิ”

ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มโดยไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด สกายเมื่อได้ยินเช่นนั้นเธอก็รีบผลักซู่เจินให้ไปใส่เสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว

“ผมรู้นะว่าคุณต้องการพูดเรื่องอะไร แต่เนื่องจากตอนนี้มันมีภารกิจเข้ามา ดังนั้นรอจนกว่าภารกิจจะเสร็จก็แล้วกัน” หลังจากแต่งตัวเสร็จ ซู่เจินก็หันไปพูดกับสกายด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับเปิดประตูห้องออกไป

ซึ่งด้านนอกห้องนอนของสกายในตอนนี้ก็มีเจมมาที่กําลังมีท่าทางอึดอัดเล็กน้อยกําลังยืนอยู่ และเธอก็ต้องการพูดอะไรบางอย่างกับซู่เจิน แต่เธอก็ไม่ได้พูดขึ้นมา เพราะเธอเห็นว่าสกายกําลังเดินตามหลังซู่เจินออกมา

“งั้นฉันไปถามเรื่องภารกิจก่อนนะ”

สกายที่เห็นว่าเจมมามีอะไรบางอย่างที่ต้องการจะพูดกับซู่เจิน ทําให้เธอหันไปพูดกับเจมมาด้วยรอยยิ้มและเดินจากไป

ทําให้ในตอนนี้มีแค่ซูเงินและเจมมาที่กําลังยืนจ้องหน้ากันอยู่สองต่อสอง แต่ถึงอย่างนั้นเจมมาก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมาดี

“ไม่นานมานี้ผมเพิ่งได้ความสามารถมาใหม่” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

เจมมาถึงกับตกใจและรีบถามขึ้นมาว่า “คุณรู้ได้อย่างไรว่าฉันกําลังคิดอะไรอยู่ ?”

“อ่านใจ นี่เป็นความสามารถใหม่ที่ผมเพิ่งได้มา” ซู่เจินมองไปที่เจมมาและพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มต่อว่า ” ผมไม่เพียงรู้ว่าคุณต้องการจะถามอะไร แต่ผมยังรู้อีกว่า …”

“อย่าพูด อย่าพูด!” เจมมารีบเอื้อมมือไปปิดปากของซู่เจินเอาไว้อย่างรวดเร็ว

ซู่เจินค่อย ๆ เอามือของเธอออกอย่างช้า ๆ และพูดว่า “โอเคผมไม่พูดก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็รู้เกี่ยวกับมันแล้ว ดังนั้นคุณก็ไม่จําเป็นที่จะต้องประหม่าแบบนี้ ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผมกับคุณก็ปล่อยให้มันไหลไปตามสิ่งที่มันควรจะเป็นเถอะ เอาล่ะ! ตอนนี้เราไปฟังข้อมูลของลอเรไลที่ห้องประชุมกันก่อนดีกว่า!”

หลังจากพูดจบซู่เจินก็หันหลังและเดินจากไปทันที

“ใครคือลอเรไล ?”

เจมมาถึงกับมึนงงและรีบวิ่งตามซู่เจินไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับตะโกนถามไปด้วย

“ลอเรไล ?”

หลังจากนั้นไม่นานซู่เจินก็มาถึงห้องประชุมที่มีคนอื่น ๆ อยู่ข้างในกันพร้อมแล้ว ในขณะเดียวกันเจมมาที่วิ่งตามซู่เจินมาก็ยังตะโกนถามอยู่ว่าใครคือลอเรไลกันแน่ ทําให้โควสันมองไปยังซู่เจินด้วยสงสัยและถามขึ้นมาว่า “คุณรู้แล้วอย่างงั้นหรอว่าเธอเป็นใคร ?”

“ลอเรไล ชาวแอสการ์ดที่ความแข็งแกร่งทางร่างกายพอ ๆ กับผู้หญิงภายในวังของแอสการ์ด ร่างกายของเธอแข็งแกร่งมากกว่ามนุษย์ถึง 3 เท่า และเธอยังมีพละกําลังและความอดทนที่สูงมาก มีช่วงชีวิตที่ยาวนาน และภูมิต้านทานต่อโรคต่าง ๆ แน่นอนว่านี่เป็นสิ่งพื้นฐานของชาวแอสการ์ดทุกคน แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็เทียบไม่ได้เอลเลียตแลนดอล์ฟ แต่นี่ยังไม่ได้รวมถึงความสามารถของเธอที่พิเศษเป็นอย่างมาก เพราะว่าเธอสามารถดึงดูดเพศตรงข้ามได้เกือบทั้งหมดผ่านทางคําพูดและการสัมผัสทางกาย เรียกได้ว่าเธอเป็นพระเจ้าในโลกมนุษย์เลยก็ได้ แถมเธอยังรู้จักเวทมนตร์อะไรบางอย่างอีกด้วย ทําให้มันไม่ง่ายเลยที่จะรับมือกับเธอ!”

ซู่เจินรู้จักลอเรไลดีกว่าใคร เพราะว่าเธอเป็นคนที่แข็งแกร่งมากจนแทบจะไม่มีใครสามารถเอาชนะเธอได้ ซึ่งเธอได้สร้างความโกลาหลให้กับเหล่านานาประเทศจํานวนมากมาย และหลังจากนั้นไม่นานเธอก็ถูกจับได้และถูกนําตัวไปขังเอาไว้ในคุกของแอสการ์ด

ซึ่งมันก็น่าจะเป็นตอนที่เขาไปที่แอสการ์ด และมีดาร์กเอลฟ์บุกเข้ามาทําลายคุก ทําให้เธอฉวยโอกาสนี้หลบหนีออกมา

อย่างไรก็ตามในเมื่อเธอหนีมาบนโลก … ซิฟก็น่าจะมาด้วยใช่ไหม ?

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ซู่เจินก็รู้สึกคิดถึงเธอขึ้นมาเล็กน้อย

“ลอเรไล แข็งแกร่งมากขนาดนั้นเลยอย่างงั้นหรอ ?” โควสันยังไม่เชื่อคําพูดของซู่เจินเล็กน้อย

ซู่เจินพยักหน้ายืนยันและพูดว่า “สิ่งนี้มันไม่เกี่ยวกับจิตวิญญาณ เพราะตราบใดที่เป็นผู้ชาย เธอก็จะสามารถควบคุมพวกเขาได้ในทันที ดังนั้นคุณไม่ควรที่จะเข้าร่วมภารกิจในครั้งนี้ มิฉะนั้น คนอื่น ๆ จะลําบากถ้าเกิดว่าคุณถูกควบคุมโดยเธอ”

” แล้วคุณล่ะ ?” สกายหันไปถามกับซูเงิน

ซู่เจินยิ้มและพูดว่า “ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะสามารถต้านทานมันได้หรือเปล่า ดังนั้นผมขอลองดูก่อน และถ้าเกิดว่ามันมีผลกับผมด้วย ผมก็คงจะไม่เข้าร่วมภารกิจในครั้งนี้”

“สงสัยคงจะต้องถึงมือฉันแล้วสินะ” เมย์ยักไหล่และพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มพร้อมกับสะบัดข้อมือของเธอไปมา