ตอนที่ 82 หลอกเงิน

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

ตอนที่ 82 หลอกเงิน

“หานซินแส ท่านจะซื้อผ้าหรือ พวกเรามีผ้านุ่น ผ้าผ่าน อีกทั้งยังมีผ้าไหม หากท่านต้องการ หญิงปักผ้าของพวกเราวสามารถวัดตัวตัดชุดให้ท่าน เจ็ดแปดวันก็ตัดเสร็จ แต่หากต้องการปักลาย เวลาย่อมยาวหน่อย”

คนงานท่าทีกระตือรือร้น อยากทำการขายในครานี้อย่างมาก

หานซินแสได้เงินมาก ไม่ใช่ความลับในเรือนพัก

วันปกติไม่มีค่าใช้จ่ายใด อีกทั้งไม่มีนิสัยที่เลวร้าย เงินย่อมเก็บเอาไว้

ในสายตาของคนงาน หานซินแสเป็นลูกค้ารายใหญ่

หานจงฉีพูด “ข้าไม่ซื้อผ้าผืน มีชุดสำเร็จรูปหรือไม่”

“มีๆ หานซินแสเชิญทางนี้ ชุดสำเร็จรูปอยู่ด้านข้าง มีทุกรูปแบบ ไม่รู้หานซินแสต้องการชุดแบบใด”

หานจงฉีเดินเข้าไปยังโถงด้านข้าง ชุดสำเร็จรูปเรียงราย ใช้ไม้แขวนเอาไว้ แบ่งตามรูปแบบและสีแขวนไว้บนราวไม้ อลังการอย่างมาก

ทำให้เขาตกตะลึง

เขาถาม “เหตุใดจึงมีชุดมายมาย”

คนงานพูดทันที “ทุกคนยุ่งกับการบุกเบิก ส่วนใหญ่แล้วไม่มีเวลาตัดชุด อีกทั้งสตรีชาวนานิ้วมือหยาบกร้าน เพียงแค่เกี่ยวหรือถู บนผืนผ้าก็จะเป็นรอย ทำลายของดี

อีกอย่าง งานเย็บของสตรีชาวนาไม่อาจเทียบหญิงปักผ้าได้ ชุดที่ตัดออกมาเพียงแค่สวมได้ แต่ไม่สง่างามเพียงพอ ราคาเดียวกัน ซื้อชุดสำเร็จรูปประหยีดกว่าซื้อผ้าผืนกลับไปตัดเย็บเอง อีกทั้งไม่ต้องสิ้นเปลืองน้ำมันตะเกียง จั่งกุ้ยบอกว่า รอสิ้นปีในมือของทุกคนมีเงินแล้ว ชุดเหล่านี้คงไม่พอขาย”

หานจงฉีพยักหน้าระรัว คนงานพูดได้มีเหตุผล

เขากำเนิดจากตระกูลชาวนา งานฝีมือของสตรีชาวนาไม่อาจเทียบกับหญิงปักผ้าในเมืองได้

ผ้าผืนเดียวกัน รูปแบบเดียวกัน ชุดที่หญิงปักผ้าตัดเย็บออกมามีความสง่า มีความสวยงามยิ่งกว่าเมื่อสวมอยู่บนตัว การปักก็ละเอียดยิ่งกว่า

เขาดูไปทีละชุด

ตั้งแต่ชุดผ้าป่านจนกระทั่งชุดผ้านุ่น รวมทั้งชุดผ้าไหม

ผ้านุ่นแบ่งออกเป็นนุ่นหยาบ นุ่นละเอียด

ผ้าป่านแบ่งออกเป็นป่านหยาบ ป่านละเอียดเช่นเดียวกัน

แต่ละชุดล้วนตัดเย็บจากฝีมือของหญิงปักผ้า

จากราคาที่สุดอย่างชุดผ้าป่านหยาบคือยี่สิบเหวิน จนกระทั่งชุดผ้าไหมราคาสองก้วน

เขาเลือกชุดผ้านุ่นหยาบหนึ่งชุด ทั้งชุด รวมเสื้อและกางเกง ราคาหนึ่งร้อยห้าสิบเหวิน

เปลี่ยนชุดใหม่ ส่องกระจกทองแดงที่สูงเท่าคน คนทั้งคนดูกระปรี้กระเปร่าขึ้น ดูสง่างามขึ้น

ทุกคนต่างชอบสวมชุดใหม่ หานจงฉีก็ไม่ยกเว้น

เขากัดฟัน ก่อนจะเลือกชุดที่ตัดเย็บด้วยนุ่นละเอียด แขนเสื้อ คอเสื้อ ชายเสื้อล้วนมีลายปัก

เจ็ดร้อนเหวิน

รู้สึกเสียดายเล็กน้อย

แต่โชคดีที่ขนาดพอดีตัว สวมอยู่บนตัวแล้วงดงาม

เขาพึมพำ “ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง คนโบราณไม่หลอกข้า”

สวมชัดใหม่ที่ตัดเย็บด้วยนุ่นละเอียด หากบอกว่าเขาเป็นนายน้อยในตระกูลร่ำรวย เกรงว่าคงมีคนเชื่อ

เขายังคงเปลี่ยนกลับเป็นชุดนุ่นหยาบ ชุดนุ่นละเอียดต้องเก็บไว้ให้ดี มีเพียงสถานการณ์สำคัญถึงจะสวมใส่

ก้มหน้าดู รองเท้าทั้งเก่าทั้งขาด ไม่คู่ควรกับชุดใหม่บนตัว

ดังนั้นเขาถามคนงาน “มีถุงเท้ารองเท้าหรือไม่”

“มีๆ…”

คนงานตื่นเต้นอย่างมาก

สมกับเป็นการค้าขายรายใหญ่

รองเท้าฟาง รองเท้าผ้า รองเท้าหนัง ครบครันทุกรูปแบบ

ถุงเท้าผ้าป่าน ถุงเท้าผ้านุ่น แต่ละรูปแบบล้วนทีเพียบพร้อม

ผู้ใดจะคิดว่า ชุมชนสุ่ยจื๋อที่ห่างไกล ร้านผ้าขนาดเล็กนี้จะมีของครบครันเพียงนี้

สิ่งที่สวมและประดับอยู่บนตัวล้วนเตรียมพร้อม

ราวกับเถ้าแก่ที่อยู่เบื้องหลังไม่กลัวว่าสิ่งของจะเกิดการกักตุน ถ่วงกระแสเงินทุน

สวมชุดใหม่ คู่กับรองเท้าใหม่ หานจงฉีพึงพอใจอย่างมาก เขาเตรียมคิดเงิน

ไม่คิดว่าคนงานถามเขาขึ้นมา “หานซินแสจะรับถุงหอมไปด้วยหรือไม่ มีกลิ่นดอกมะลิ เบาบางแต่สง่างาม เหมาะสมกับบัณฑิตที่สุด นอกจากนี้หานซินแสสามารถเปลี่ยนปิ่นปักผม พวกเรามีปิ่นไม้หลากหลายรูปแบบ จากไม้อ่อนธรรมดา จนถึงไม้แดงนานาชนิด ล้วนมีอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญแกะลัก รับรองหาซื้อไม่ได้ที่อื่น”

คนงานพลางพูดพลางหยิบถุงหอมหลายชิ้นออกมาจากชั้นวางสินค้า ก่อนจะหยิบปิ่นไม้ออกมาแถวหนึ่ง

หานจงฉีที่เดิมทีอยากปฏิเสธถูกดึงดูดด้วยปิ่นไม้รูปแบบต่างๆ ทันที

แต่ก่อนตอนที่เขายังรุ่งเรือง เขาเคยใช้ปิ่นหยกด้ามหนึ่ง

ต่อมาตกอับ เขาขายปิ่นหยกแลกเงิน

เวลานี้บนหัวของเขาเป็นท่อนไม้ที่เหลาเอง เพื่อใช้เป็นปิ่นปักผม มันไม่คู่ควรกับชุดใหม่รองเท้าใหม่ของเขาแล้ว

ปิ่นไม้ตรงหน้า เหมือนที่คนงานพูด ล้วนมีการแกะสลักอย่างประณีต

วัตถุดิบตั้งแต่ไม้อ่อนราคาถูก จนถึงไม้แดงนานาชนิด ด้านบนแกะสลักดอกไม้ ต้นไม้ แมลง เผยให้เห็นถึงความสง่างาม เหมาะสมกับบัณฑิตอย่างมาก

ร้านผ้าสี่ฤดูนี้ ตั้งแต่เถ้าแก่ถึงคนงาน ราวกับรู้ความคิดของบัณฑิตอย่างมาก

สิ่งของที่ขาย คำพูดที่พูดนั้น ช่างสนองตอบความต้องการของผู้ซื้อ สอดคล้องกับความชอบของบัณฑิต

มีวัฒนธรรมเพียงพอ!

ซื้อชุด รองเท้า ถุงเท้าเสียเงินไปหนึ่งก้วนกว่าแล้ว

หานจงฉีไม่อยากเสียเงินอีก

แต่เมื่อได้ยินคนงานพูดอยู่ข้างหูไม่หยุด เยินยออย่างไม่หยุด พูดจนเขาหวั่นไหว

ใช่! ชุดใหม่ทั้งชุด หากบนหัวไม่มีปิ่นไม้ใหม่ไม่เหมาะสม

หากไม่คาดถุงหอมที่เอว ไม่สง่างามเพียงพอ

คนงานพูดเก่งเกินไปจนทำให้หานจงฉีรับมือไม่อยู่ ถูกหลอกให้ซื้อถุงหอมกลิ่นดอกมะลิหนึ่งชิ้น กับปิ่นไม้สองชิ้น

รวมทั้งถุงเท้า รองเท้า ทั้งหมดหนึ่งก้วนห้าร้อยเหวิน

ซื้อของมากมายเพียงนี้ ร้านผ้าแถมตะกร้าไม้ไผ่ให้หนึ่งอัน สำหรับวางชุด

หานจงฉีสวมชุดใหม่ ถือตะกร้าไม้ไผ่ เดินออกจากร้านผ้าอย่างเหม่อลอย

เมื่อเขาขึ้นรถ เขาถึงตั้งสติกลับมาได้

“ข้าทำสิ่งใดลงไป เหตุใดข้าจึงใช้เงินเยอะเพียงนั้นซื้อสิ่งเหล่านี้”

อ้าก…

หานจงฉีเสียใจอย่างมาก

ทั้งที่ก่อนเดินข้าร้านผ้า เขาเพียงแค่อยากซื้อชุดใหม่ ไม่เคยคิดถึงสิ่งอื่น

สุดท้ายถูกคนงานหลอก ซื้อตั้งแต่หัวจรดเท้า

หนึ่งก้วนห้าร้อยเหวิน ช่างเป็นคนที่ฟุ่มเฟือยเสียจริง

หานจงฉีเสียใจอย่างมาก

แต่เมื่อเขากลับไปถึงชุมชน เมื่อทุกคนต่างล้อมรอบเขาด้วยความชื่นชม ทันใดนั้นเขารู้สึกว่าหนึ่งก้วนห้าร้อยเหวินใช้ไปได้อย่างคุ้มค่า

เขาคิดในใจ รอสิ้นปี สะสมเงินอีกก้อน เขค่อยไปซื้อชุดอีกสองชุด อย่างน้อยต้องซื้อรองเท้าหนังหนึ่งคู่

คนงานร้านผ้า จี้เสี่ยวซื่อ ลูกพี่ลูกน้องของจี้ผิง ผู้เป็นจั่งกุ้ยร้านน้ำแกงเนื้อสับหนานเป่ยสาขาหนึ่ง

วันนี้เขาค้าขายใหญ่สำเร็จ จี้เสี่ยวซื่อพึงพอใจ

เงินของบัณฑิตได้มาง่ายกว่าอย่างแท้จริง

คนงานและก่วนเจียในเรือนพักล้วนเป็นชายกำยำ ซื้อเสื้อผ้าก็ซื้อเสื้อผ้า ไม่ซื้อมากกว่านั้นแม้แต่อย่างเดียว

อาทิ หากเขาต้องการเสนอปิ่นไม้ให้คนงานหรือก่วนเจีย มันเป็นเรื่องยากกว่าปีนขึ้นฟ้าเสียอีก!

หานซินแสรู้จักชื่นชมสิ่งของมากกว่า อีกทั้งยังใจปล้ำ ซื้อปิ่นไม้สองอันในคราวเดียว

จี้เสี่ยวซื่อครุ่นคิด หากเรือนพักมีบัณฑิตเพิ่มขึ้นคงดี

บางทีหานซินแสอาจมีความคิดเดียวกับเขา

หกวันต่อมาเมื่อหานจงฉีกลับมาถึงเรือนพักร่ำรวย ข้างตัวเขามีบัณฑิตเพิ่มขึ้นสองคน พวกเขาล้วนเป็นลูกหลานชาวนา ร่ำเรียนลำบาก

พวกเขารู้จักหนังสือ คำนวณบัญชีได้ แต่ไร้หนทางในการเป็นขุนนาง พวกเขาต้องการหางานที่มีสวัสดิการที่ดีก็พอ

มีหานจงฉีเป็นตัวอย่าง ระยะเวลาเพียงสองเดือน เปลี่ยนตั้งแต่หัวจรดเท้า อีกทั้งยังให้เงินหกก้วนแก่ครอบครัว ถือว่าแก้ไขปัญหาใหญ่ในครอบครัวได้

บัณฑิตทั้งสองสนใจอย่างมาก ดังนั้นจึงมาหาหานจงฉี

หานจงฉีรู้ว่าเรือนพักร่ำรวยขาดแคลนคน โดยเฉพาะบัณฑิต อีกทั้งต่างยังเป็นคนในชุมชนเดียวกัน ดังนั้นหานจงฉีจึงนำทั้งสองมายังเรือนพักร่ำรวย

เมื่อมาถึงเขตแดนของเรือนพัก เขาแนะนำสถานการณ์โดยรอบให้คนทั้งสอง

“พวกเจ้าจะมีการสอบสองรอบ หากผ่านการทดสอบ ย่อมสามารถเข้าไปทำงานในเรือนพัก หากพวกเจ้ายอมรับหน้าที่สอนหนังสือ ย่อมได้รับเงินเดือนสองส่วน เรือนพักมีข้าวมีที่พัก สามวันกินเนื้อหนหนึ่ง พู่กัน หมึก กระดาษ หินฝนหมึกมีเพียงพอ สถานที่แห่งนี้นอกจากห่างจากตัวเมือง อ้างว้างเปล่าเปลี่ยวแล้ว ดีกว่าทำงานข้างนอกอย่างมาก”

“ทางนั้นเป็นโรงอาหาร ด้านข้างเป็นร้านของชำ ขายทุกสิ่ง อีกร้านเป็นร้านผ้า ชุดตั้งแต่หัวจรดเท้าของข้านี้ซื้อจากร้านผ้านั้น ด้านในมีทุกสิ่ง อีกทั้งราคายุติธรรม ไม่แพงกว่าด้านนอก”

“ด้านหน้าคือเรือนพัก เรือนพักกำลังขยาย หากพวกเจ้าสมัครได้ พวกเราย่อมพักในเรือนเดียวกันได้”

เยียนอวิ๋นเกอกำลังเขียนแผนการในห้องตำรา

เรือนพักต้องขยาย

แต่เยียนอวิ๋นเกอไม่อยากสร้างเรือนพักซ้อนทับกันตามแบบโบราณ

นางวางแผนที่จะสร้างเรือนใหม่โดยแย่งออกเป็นพื้นที่ทำงานกับพื้นที่พักอาศัย

พื้นที่ทำงานเป็นเรือนชั้นเดียวสองแถว หนึ่งแผนกหนึ่งห้องทำงาน อีกทั้งยังต้องมีห้องประชุมที่ใหญ่เล็กไม่เท่ากัน

พื้นที่พักอาศัยล้วนสร้างเป็นเรือนขนาดเล็ก

หนึ่งเรือนเล็กมีสี่ห้องนอน หนึ่งห้องโถง หนึ่งห้องครัว หนึ่งห้องน้ำ

เรือนหลักเรียงรายเป็นระเบียบ

หนึ่งแถวยี่สิบหลัง สร้างสามถึงห้าแถวก่อน เพื่อให้เพียงพอต่อการพักอาศัย

รอปีหน้ามีเงิน ค่อยสร้างต่อด้านหลัง

สามารถสร้างไว้บริเวณเชิงเขา

ก่อนจะใช้กำแพงล้อมเอาไว้ เพื่อความปลอดภัย

นางอธิบายสิ่งที่ต้องการกับช่างอย่างละเอียด

ช่างฟังอย่างตั้งใจ มองแผนผัง พอจะเข้าใจแล้ว

เรือนเล็กใหญ่แบบเดียวกัน เรียงรายเป็นระเบียบเข้าใจ!

ช่างถือแผนผังจากไป

อาเป่ยหยิบน้ำแกงชุ่มคอมาหนึ่งชาม “คุณหนูพูดมากมายเพียงนี้ ต้องรีบดื่มน้ำแกง แม่นมชิวเตือนแล้วเตือนอีก คอของคุณหนูยังไม่หายดี ต้องพยายามพูดน้อยลง”

เยียนอวิ๋นเกอดื่มน้ำแกงชุ่มคอจนหมดในคราเดียว “คอของข้าเกือบหายดีแล้ว ข้ามีขอตเขต เจ้าไม่ต้องกังวล”

อาเป่ยพูด “บ่าวจะไม่กังวลได้อย่างไรเจ้าคะ จริงด้วย พ่อบ้านเยียนให้บ่าวมารายงานคุณหนู หานซินแสพาบัณฑิตสองคนมาสมัคร พวกเขาล้วนเป็นบัณฑิตในแคว้นชี พ่อบ้านเยียนให้บ่าวมาถามว่าคุณหนูจะทดสอบเองหรือไม่”

เยียนอวิ๋นเกอส่ายหน้า “ข้าไม่ออกไปแล้ว ตอนนั้นรับปากพ่อบ้านเยียนให้เขารับสามคน เวลานี้ยังไม่ครบจำนวน ครานี้หานจงฉีพากลับมาสองคน หากเหมาะสมก็ให้พวกเขาอยู่เถิด”

“พ่อบ้านเยียนไม่วางใจนัก คิดจะให้นายหน้าสืบประวัติของบัณฑิตสองคนนี้”

“เรื่องนี้เขาตัดสินใจ ข้าไม่ยุ่งเกี่ยว”

เยียนอวิ๋นเกอปล่อยอำนาจให้เยียนสุย เยียนสุยย่อมไม่กล้าทรยศต่อความเชื่อมั่นของเถ้าแก่

บัณฑิตทั้งสองล้วนผ่านการทดสอบ

แต่พ่อบ้านเยียนยังไม่ได้รีบจ้างพวกเขา เพียงแค่ให้พวกเขาพักลง สัมผัสประสบการณ์ ค่อยตัดสินใจ

ในเวลาเดียวกัน เขาวานให้นายหน้าหวังเสี่ยวเอ้อสืบประวัติคนทั้งสอง

อีกทั้งกลัวหวังเสี่ยวเอ้อไว้ในไม่ได้ เขาส่งคนไปสืบที่แคว้นชีด้วยตนเอง

จนกระทั่งมั่นใจว่าคนทั้งสองขาวสะอาด ไม่มีนิสัยร้ายใด จึงได้ให้บัณฑิตทั้งสองลงนามหนังสือจ้างงาน