บทที่ 68 การสัมผัสอย่างใกล้ชิด

องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที!

โฮก… ทันใดนั้นเสียงสัตว์คำรามก็ดังกึกก้อง!  

 

 

เสียงคำรามนั้นทำให้ป่าวิญญาณสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งบริเวณ  

 

 

ไม่มีใครรู้ว่าทำไมจู่ๆ สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ในป่าวิญญาณถึงคึกขึ้นมาอย่างกะทันหัน  

 

 

ภูเขาที่เดิมทีเคยสงบเงียบ กลับมีหินร่วงกราวลงมาไม่ขาดสาย  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดจะลุกขึ้นตามสัญชาตญาณ แต่คาดไม่ถึงว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจะเร็วกว่า เขาคว้าร่างนางเอาไว้พลางพลิกตัวไปด้านข้าง เพลิงโทสะบางๆ ปะทุอยู่ภายในดวงตา  

 

 

เสียงคำรามของบรรดาสัตว์อสูรดังขึ้นเรื่อยๆ ฟังดูเหมือนสัตว์ป่าฝูงใหญ่ต่างก็กำลังพากันหนีตาย  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยมองสัตว์หลายตัวที่วิ่งผ่านพวกนางไป คิ้วของนางขมวดเข้าหากันเล็กน้อย “เกือบไปแล้ว” ไม่สงสัยเลยว่าทำไมเขาถึงผลักนางลงกับพื้น เป็นเพราะเขาสัมผัสได้ถึงอันตรายนี่เอง นางเกือบจะคิดไปแล้วเชียวว่าองค์ชายสามไม่ได้ชอบไม้ป่าเดียวกัน…  

 

 

“ใช่ เกือบไปแล้ว” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก้มลงมองนาง น้ำเสียงของเขายังคงเยือกเย็น ไม่อาจบอกได้ว่าอยู่ในอารมณ์เช่นใด  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยเพิ่งสังเกตเห็นว่านิ้วของนางอยู่ในกำมือของเขา  

 

 

นิ้วของเขาเกี่ยวกระหวัดกับนิ้วของนาง การเสียดสีนั้นทำให้นางรู้สึกแปลกๆ  

 

 

เมื่อมองใบหน้าที่อยู่ตรงหน้า เฮ่อเหลียนเวยเวยก็คิดที่จะสะบัดมือของเขาออก  

 

 

ครืน…  

 

 

แผ่นดินสั่นสะเทือนอีกครั้ง พร้อมกับหินที่ร่วงลงมา เฮ่อเหลียนเวยเวยถูกบังคับให้ต้องขยับไปข้างหน้าเขาเพื่อหลบพวกมัน ส่งผลให้จมูกของนางชนเข้ากับแผ่นอกของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย  

 

 

กลิ่นไม้จันทน์แทรกซึมเข้ามาภายในโพรงจมูกของนางทันที มันเป็นกลิ่นเดียวกับกลิ่นที่นานๆ ทีจะปรากฏขึ้นที่ไหนสักแห่งในป่าแห่งนี้ เป็นกลิ่นที่ทั้งสงบและเยือกเย็น ยากเกินกว่าจะมองข้ามได้…  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดว่าเขาจะผลักนางออกไป เพราะองค์ชายสามเป็นโรครักความสะอาด  

 

 

แต่คาดไม่ถึงว่าเขาจะกอดนางแน่นกว่าเดิม แขนแข็งแกร่งของเขาโอบรอบเอวบางของนาง พลางแนบหน้าผากของตนเข้ากับผมหน้าม้าของนาง ดวงตาของเขาสบกับนาง ก่อนเคลื่อนลงมาถึงลำคอ นัยน์ตาคู่นั้นพลันลึกล้ำขึ้นอีก…  

 

 

ระยะห่างที่เคยมีแต่เดิม มาตอนนี้กลับแนบสนิท ทั้งร่างของนางถูกโอบล้อมไปด้วยลมหายใจอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเขา คล้ายกับนางถูกผลักเข้าสู่อ้อมแขนของเขา  

 

 

เพราะทั้งสองอยู่ใกล้กันมาก ดังนั้นทุกครั้งที่เคลื่อนไหวจึงทำให้กลิ่นไม้จันทน์บนร่างของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพรั่งพรูเข้าใส่นาง เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่มีทางหนีได้เลย  

 

 

ดวงตาที่อยู่ใต้หน้ากากสีเงินซ่อนหลายสิ่งอยู่ภายใน มันลึกล้ำราวกับบ่อน้ำที่พร้อมจะดูดนางเข้าไป…  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าริมฝีปากของเขาหยักขึ้นเป็นรอยยิ้มเล็กน้อย ริมฝีปากบางแสนเย้ายวนนั้นไม่อาจต้านทานได้  

 

 

เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการเข้าใจผิด สิ่งแรกที่เฮ่อเหลียนเวยเวยทำหลังจากหายนะนั้นสิ้นสุดลงคือการลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว แล้วมองไปรอบตัว “ดูเหมือนว่าพวกมันจะผ่านไปแล้ว”  

 

 

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองคนที่พยายามหนีจากเขา ดวงตาของเขาเย็นชาขึ้นอีกครั้ง “ทีหลังเจ้ากินข้าวเสร็จแล้ว ก็หัดเช็ดมุมปากให้สะอาดเสียบ้างสิ”  

 

 

เอ๋ เฮ่อเหลียนเวยเวยจับริมฝีปากของตัวเอง แล้วเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง องค์ชายสามเปลี่ยนประเด็นเร็วยิ่งนัก  

 

 

ไม่แปลกใจเลยที่เมื่อครู่เขาจ้องหน้านางเสียนานขนาดนั้น  

 

 

เพราะบนใบหน้านางมีอะไรติดอยู่นี่เอง  

 

 

ก็จริง เช่นนั้นก็สมเหตุสมผลแล้ว  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยพอจะรู้อาการของคนที่ป่วยเป็นโรครักความสะอาดอยู่บ้าง หนึ่งในอาการของโรคนี้คือเมื่อใดที่ผู้ป่วยเห็นความสกปรก พวกเขาจะจ้องมันอย่างไม่วางตา  

 

 

เพียงแต่นางแค่ไม่รู้ว่าโรครักความสะอาดขององค์ชายสามจะรุนแรงถึงเพียงนี้ เขาเอาแต่จ้องปากของนางโดยไม่ขยับราวกับอยู่ในภวังค์  

 

 

แต่เสียงคำรามเมื่อครู่ฟังดูเหมือนไม่ใช่เรื่องปกติ  

 

 

เกิดอะไรขึ้นในป่าวิญญาณ สิ่งใดกันที่สามารถทำให้สัตว์ศักดิ์สิทธิ์วิ่งกันจ้าละหวั่นได้  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยหยิบคบไฟแล้วกระโดดขึ้นไปบนต้นไม้ นางยืนอยู่บนกิ่งไม้กิ่งหนึ่ง สังเกตสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ฝูงใหญ่ พวกมันมีไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยตัว แต่น่าเสียดายที่พวกมันกำลังวิ่งไปฝั่งตรงข้ามกับนาง  

 

 

ภาพนี้ทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยยอมละทิ้งความคิดที่จะทำพันธสัญญากับพวกมันไป  

 

 

ลึกเข้าไปในป่า กิเลนอัคคีที่อยู่ในมิติสวรรค์แสยะยิ้ม “หายากนะขอรับที่นายท่านจะยอมให้ความร่วมมือเช่นนี้”  

 

 

“งั้นหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยปัดฝุ่นออกจากเสื้อคลุมของตน แล้วถามอย่างเย็นชาว่า “หายากขนาดไหนล่ะ”  

 

 

กิเลนไฟลูบคางพลางตอบว่า “ข้าจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่มีสตรีถลาเข้ามาในอ้อมแขนของนายท่าน นายท่านก็จับนางโยนออกไปนอกวังทันที แต่ทำไมคราวนี้นายท่านถึงไม่ต่อต้านเลยล่ะขอรับ”  

 

 

“เพราะจู่ๆ ข้าก็รู้สึกว่า…” ไป่หลี่เจียเจวี๋ยหยุดพูด รอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้า “ความนุ่มนิ่มของเหยื่อรายใหม่นี้… ไม่เลวทีเดียว”  

 

 

กิเลนอัคคีมองรอยยิ้มนั้น แล้วเสียวสันหลังวาบ  

 

 

เขายังจำได้ว่าครั้งที่แล้ว นายท่านทำอย่างไรกับเขา  

 

 

นายท่านป้อนใบไม้ให้เขากินเป็นเวลาสามสิบหกวัน!  

 

 

มารดาท่านสิ เขาเป็นถึงกิเลนอัคคีเชียวนะ แต่ราชาผู้ยิ่งใหญ่แห่งสรรพสัตว์อย่างเขากลับถูกข่มเหงเช่นนี้  

 

 

ข้าล่ะสงสัยนักว่านายท่านจะ ‘ดูแล’ ผู้หญิงคนนั้นอย่างไร  

 

 

เขาคงไม่เอาแต่กอดนางทั้งตอนกินตอนนอนหรอกกระมัง…  

 

 

ขณะที่คิดว่ามีความเป็นไปได้สูงทีเดียวนั้น ริมฝีปากของกิเลนอัคคีก็ถึงกับกระตุก เขาอยากจะเตือนสตินายท่านยิ่งนัก ถึงแม้ว่าผู้หญิงคนนั้นจะผิวสีดำคล้ำ แต่นางก็ยังเป็นมนุษย์ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงอยู่ดี!!!  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยยังคงยืนอยู่บนกิ่งไม้ พลางมองทิวทัศน์อันงดงามตรงหน้านั้น ดวงตาของนางเป็นประกายด้วยความสนุกสนาน “เสี่ยวไป๋ เจ้าเองก็เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ พวกมันพากันย้ายถิ่นฐานแล้ว เจ้าจะไม่ไปกับพวกมันหรือ”  

 

 

เส้นสีดำสามเส้นปรากฏขึ้นที่หน้าผากของเจ้าแมวขาวที่อยู่บนบ่าของนาง “พวกมันไม่ได้ย้ายถิ่นฐาน”  

 

 

“เช่นนั้นพวกมันกำลังทำอะไรกันอยู่ล่ะ” เฮ่อเหลียนเวยเวยชี้ไปที่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์หลายตัว ด้วยความสงสัย  

 

 

เจ้าแมวขาวตอบด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “พวกมันกำลังตื่นเต้น”  

 

 

นี่เป็นวิธีที่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์แสดงออกเพื่อเฉลิมฉลอง  

 

 

จะต้องมีคนที่มีฝีมือร้ายกาจเข้ามาในป่าวิญญาณเป็นแน่  

 

 

แต่เพราะเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่ จึงไม่สามารถสัมผัสถึงตัวตนของคนคนนั้นได้  

 

 

เจ้าแมวขาวตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตน ดวงตาสีเงินของมันมีประกายแสงอันไม่รู้ที่มาวาบขึ้น  

 

 

ไม่รู้ว่าคนที่เผ่าของเขาจะทำอะไรอยู่ ป่านนี้คงกำลังตามหาตัวเขาไปทั่วแน่  

 

 

   

 

 

เจ้าแมวขาวคิดไม่ผิด เผ่าไป๋เจ๋อกำลังตามหาตัวเขาอยู่จริงๆ ราชาของเผ่าถึงกับนำทัพสัตว์ศักดิ์สิทธิ์มาปิดล้อมสำนักไท่ไป๋ แล้วกล่าวว่าหนึ่งในบรรดาลูกศิษย์เป็นผู้ทำร้ายบุตรชายของเขา  

 

 

เมื่อตู๋ซูเฟิงไม่อยู่ อาจารย์จิ้งก็ไม่เคยมีประสบการณ์รับมือกับสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน ตอนนี้หน้าผากของเขาจึงเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อปกคลุมหลายต่อหลายชั้น  

 

 

องค์ชายสามอยู่ที่ไหนก็ไม่มีใครรู้ ขันทีซุนเองก็วิ่งวุ่นไปทั่วเช่นกัน  

 

 

นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเข้าไปในป่าวิญญาณแล้วมีปัญหาเกิดขึ้น หากข่าวแพร่ออกไป เช่นนั้นเขาที่เป็นอาจารย์จากหอชั้นเลิศย่อมไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน  

 

 

เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ข้างจิ้งอู๋วั่งย่อมรู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไร ดวงตาคู่งามของนางเต็มไปด้วยความร้ายกาจ “ท่านอาจารย์เจ้าคะ ท่านลืมไปแล้วหรือ เฮ่อเหลียนเวยเวยยังอยู่ในป่า คนที่ทำร้ายองค์ชายเผ่าไป๋เจ๋ออาจจะเป็นนางก็ได้นะเจ้าคะ”  

 

 

“นังขยะนั่นน่ะรึ” จิ้งอู๋วั่งส่งเสียงในลำคออย่างรังเกียจ  

 

 

เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ยิ้มแล้วตอบช้าๆ “ท่านอาจารย์เจ้าคะ อย่างไรเสียนางก็ยังไม่กลับออกมา ทำไมท่านไม่อธิบายให้เผ่าไป๋เจ๋อเข้าใจเช่นนี้ แล้วปัดความผิดทุกอย่างไปให้นางแทนล่ะเจ้าคะ”  

 

 

ฝีเท้าของอาจารย์จิ้งชะงักไป เขาหันกลับไปมองเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์พลางลูบเคราสีขาวของตน ใบหน้าของเขาแสดงออกถึงความชั่วร้ายเช่นเดียวกันกับเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์  

 

 

คนที่ไม่รักตัวเอง ย่อมถูกฟ้าดินลงโทษ [1]  อีกอย่างเขาก็เกลียดนังเด็กไร้ค่านั่น ทำไมไม่ใช้นางปิดปากเผ่าไป๋เจ๋อไปเลยล่ะ!  

 

 

ระหว่างที่คนทางนี้กำลังวางแผนเล่นงานนางอยู่ อีกด้านหนึ่งนั้นเฮ่อเหลียนเวยเวยกลับกำลังผิวปากมองท้องฟ้ายามราตรี  

 

 

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองนาง แล้วเอ่ยอย่างเยือกเย็นว่า “ถ้าเจ้าเบื่อ เช่นนั้นก็มาเล่นหมากรุกกับข้า”  

 

 

   

 

 

 

 

 

[1]  คนที่ไม่รักตัวเอง ย่อมถูกฟ้าดินลงโทษ เป็นสำนวน หมายถึง คนที่ไม่ยอมทำอะไร ย่อมประสบหายนะ