ตอนที่ 79 ไม่อาจให้เธอตามฉันมาอย่างเสียเปล่า

รักครั้งแรกของคุณชายปีศาจ

บทที่ 79 ไม่อาจให้เธอตามฉันมาอย่างเสียเปล่า

เมื่อเหยียบลงบนบันไดหมุนสีขาว และมองดูภาพสีฟ้าครามขนาดใหญ่ตรงหน้า

อารมณ์ของมู่เทียนซิงก็ซับซ้อนขึ้นมา

เธออุ้มเจินเจินเอาไว้ และขึ้นๆลงๆไปกับหนีหย่าจูนเพื่อดูคฤหาสน์จื่อเวยรอบหนึ่ง

ท้ายที่สุด หนีหย่าจูนก็เลือกห้องใต้หลังคาขนาดเล็กชั้นบนสุด ด้านบนห้องเป็นหลังคากระจกโปร่งใส เขาบอกว่าก่อนหน้านี้เขาเคยอยากอยู่ในห้องที่สามารถมองดูดวงดาวได้ในตอนกลางคืนคิดไม่ถึงว่าพอมาเมือง M แล้วความปรารถนาของเขาจะเป็นจริงขึ้นมา

มู่เทียนซิงถามอย่างอดไม่ได้ “แต่นี่คือชั้นบนสุด มันว่างเปล่า หากคุณต้องการอะไรก็ไม่ค่อยสะดวกนัก จั๋วหรันจั๋วซีต่อให้ได้ยินคำสั่งของคุณก็ยังต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะมาถึง”

หนีหย่าจูนหัวเราะเบาๆ “ไม่เป็นไร ฉันชอบความเงียบ”

อันที่จริง ระหว่างทางที่มา หลิงเล่และเขาอยู่ในรถคันเดียวกัน ส่วนมู่เทียนซิงนั้นนั่งรถของตระกูลมู่ดังเดิม นั่นเพราะหลังจากที่มู่อี้เจ๋อรู้เรื่องนี้เข้า ก็ได้สั่งให้คนขับรถจะต้องตามคุณหนูใหญ่ไปไหนมาไหนด้วยตลอดเวลา ห้ามปล่อยให้คลาดสายตา

ในขณะที่อยู่บนรถ หลิงเล่ได้เตือนหนีหย่าจูน ให้เขาไปพักอยู่ไกลๆหน่อย อย่าได้มาขัดขวางเขาและคู่หมั้นตัวน้อยของเขา

ดังนั้น หนีหย่าจูนดูท่าทางเหมือนจะเลือกห้องที่เขาชอบ แต่ที่จริงคือเขาไม่มีทางเลือก!

คนสองคนเดินลงบันไดไปพร้อมกัน และเห็นว่าหลิงเล่กำลังจ้องมองพวกเขาอย่างรอบคอบ นัยน์ตามีเปลวไฟที่กำลังคุกรุ่น

หนีหย่าจูนรู้สึกได้แค่ว่าดวงตาของตนกำลังเจ็บปวด

เขาเคยยืนยันกับหลิงเล่ไปมากกว่าหนึ่งครั้งแล้วว่าเขาไม่เคยตกหลุมรักมู่เทียนซิง

แม้ว่ามู่เทียนซิงจะดี แต่มันไม่ใช่สไตล์ที่ชอบของเขา!

อย่าได้มองว่าหนีหย่าจูนอายุยังน้อย แต่เขาชอบผู้หญิงประเภทที่งดงามอ่อนโยน ใจกว้าง รู้จักวางตัว ฉลาดและคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม

มู่เทียนชิงเป็นดั่งเช่นกวางภูเขาที่กระโดดกระเด้งไปมา กระตือรือร้นอย่างยิ่ง อย่างมากก็เป็นได้แค่เป็นน้องสาวของเขา

เขาถอนหายใจแล้วเอ่ย “ซือซ่าวน้ำส้มสายชูในคฤหาสน์ของคุณไม่มากเกินไปหน่อยหรือ?”

จั๋วซีหัวเราะเบาๆและช่วยฉวีซือเหวินนำกาแฟที่เพิ่งต้มมาใหม่มาวางบนโต๊ะ “ซือซ่าว คุณชายหนี คุณหนูมู่ เชิญดื่ม”

หลิงเล่เก็บสายตากลับมา จากนั้นจึงหันไปมองมู่เทียนซิง แล้วยื่นมือข้างหนึ่งไปหาเธอ

ระยะห่างระหว่างทั้งสองนั้นอยู่ห่างออกไปเพียงสองเมตร แต่เธอกลับมีความสุขอย่างยิ่งที่ได้สาวเท้าเล็กๆวิ่งไปหาเขาเพื่อกอดเขาเอาไว้ “คุณอา~”

เสียงที่ไพเราะและออดอ้อน ทำเอาหัวใจของชายหนุ่มนั้นอ่อนยวบ

เธอวางเจินเจินลงบนตักของหลิงเล่ ไม่ทันได้สังเกตเห็นสีหน้ารังเกียจเบาๆของเขา จากนั้นจึงจับมือของเขาเอาไว้ และยิ้มให้เขาอย่างโง่งม

ดวงตาทั้งสี่สบเข้าด้วยกัน ไพลินที่อยู่ระหว่างกระดูกไหปลาร้าทั้งสองข้างก็สะท้อนออกมาเป็นดวงตาของกันและกัน

“ทานอาหารเย็นก่อนแล้วค่อยกลับไป”

หลิงเล่ยกมือขึ้นเพื่อสัมผัสแก้มของเธอ พูดตามความจริง เมื่อคืนที่ผ่านมาเข้านอนไม่หลับ เขาเพิ่งจะได้นอนกอดเธอแค่สองคืน แต่กลับมีความรู้สึกโลภที่จะกอดเธอเข้ามาไว้ในอ้อมออกอยู่ มันช่างอบอุ่น ราวกับฤดูใบไม้ผลิ

มู่เทียนซิงมองไปที่ประตูอย่างไม่รู้ตัว “คนขับยังอยู่”

“ให้เขารอ!” หลิงเล่ไม่สนใจ “ไม่เช่นนั้น ฉันจะให้จั๋วหรันไล่เขากลับไป!”

มู่เทียนถิงกำมือใหญ่ของเขาเอาไว้แล้วส่ายหัว “ฉัน อีกสักพักกลับไปจะดีกว่า พรุ่งนี้เพื่อนสนิทที่สุดของฉันจะมาที่เมืองM ฉันกับพี่เสี่ยวหลงจะต้องไปรับที่สนามบิน ตกดึก คุณลุงเมิ่งและคุณป้าเมิ่งก็ตามมาอีก พ่อของฉันให้คนไปเก็บกวาดห้องรับแขกให้พวกเขาแล้ว”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ เธอก็มองเขาอย่างไม่สบายใจ “พวกเขามาที่นี่เพื่อหารือเกี่ยวกับเรื่องการหมั้นของฉันกับพี่เสี่ยวหลง”

ใบหน้าของหนีหย่าจูนขมวดเข้าด้วยกัน และมองไปที่หลิงเล่

คิดไม่ถึงว่านามสกุลมิ่งนั่นจะไร้ยางอายจริงๆ บังคับแต่งงานเรื่องพวกนี้ยังทำได้ลง?

พ่อแม่ของมู่เทียนซิงนั้นก็ใช้ไม่ได้อยู่บ้างเช่นกัน มองดูแล้วเหมือนจะรักใคร่ลูกสาวของตน แต่กลับหักหลังความปรารถนาของลูกสาว ทำร้ายความรู้สึกของลูกสาวตนเอง!

แต่หลิงเล่ยังมีท่าทีนิ่งสงบ เขาจับมือเธอมาจูบ “พรุ่งนี้เธอก็ทำตัวเหมือนเดิม รอให้ฉันไปสู่ขอที่ตระกูลมู่”

“หา?” ปากเล็กๆของมู่เทียนซิง อ้างกว้างอย่างตะลึง!

“ครั้งก่อนของที่ตระกูลหลิงไปสู่ขอตระกูลมู่ หลังจากที่หลิงเมิ่งสองตระกูลมีมติตรงกัน ก็ถูกพ่อของเธอส่งกลับมาแล้ว แต่ยังไงพวกเราก็จะแต่งงานกัน หญิงสาวที่ดีอย่างเธอ ฉันไม่สามารถให้เธอติดตามฉันอย่างสูญเปล่าได้ การไปสู่ขอยังต้องมีอยู่”

“คุณ”

มู่เทียนซิงจ้องมองดวงตาที่จริงจังของหลิงเล่ หัวใจดวงน้อยๆของเธอกำลังกระโดดโลดเต้น!

สู่ขอ สู่ขอ หมายความว่าหลิงเล่ต้องการแต่งงานกับเธอจริงๆใช่ไหม?

เมื่อครู่มู่อี้เจ๋อเพิ่งจะโทรมาถามเรื่องของหนีหย่าจูน ในเวลานั้นเธอบอกไปว่าเธอไปกับหนีหย่าจูนจะไปคฤหาสน์จื่อเวยด้วยกัน ขอดูๆแล้วก็จะกลับ ในตอนนั้นในใจของเธอยังเต้นระรัว เพราะไม่รู้ว่าพ่อของตนจะโมโหขึ้นมาหรือไม่

ในเมื่อเมื่อคืนก่อน มู่อี้เจ๋อเคยเตือนเธอเอาไว้ หากยังคงพัวพันกับหลิงเล่ต่อไป เธอก็ต้องออกจากบ้านไป ไม่ต้องการเธอแล้ว!

แต่ก็เห็นได้ชัดว่า เพียงชั่วข้ามคืน ท่าทีของมู่อี้เจ๋อนั้นลึกซึ้งมาก เขาบอกกับเธอทางโทรศัพท์ว่า เธอไม่ควรเล่นมากเกินไปและให้รีบกลับไปโดยเร็วที่สุด

ใบหน้าของมู่เทียนซิงแดงระเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย ดวงตาแปรเปลี่ยนเป็นเขินอาย

ในความเป็นจริง เธอสามารถพูดได้เต็มปากว่า เธอยังเด็ก การแต่งงานไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน ไว้ค่อยว่ากันในภายหลัง

แต่เมื่อคำพูดมาถึงริมฝีปากของเธอ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มันถึงได้กลายเป็น “คุณไปคืนนี้เลยก็ได้ คืนพรุ่งนี้คนเยอะแยะ น่าอึดอัด”

ดวงตาดำขลับของหลิงเล่เปล่งประกาย เขาจ้องมองเธอแน่นิ่ง แต่กลับไม่ได้เอ่ยอธิบายอะไร แถมยังเอ่ยติดตลก “คนเยอะครื้นเครง!”

“เมื่อคืนนี้พ่อของฉันอารมณ์เสียมาก แต่เมื่อครู่เพิ่งจะ…ฉันว่า เขาไม่ได้ต่อต้านฉันที่มาที่นี่มากขนาดนั้นแล้ว” มู่เทียนซิงเงยหน้ามองเขา ดวงตาที่กระจ่างใสแฝงด้วยร่องรอยค้นหา

หรือว่าผู้ชายคนนี้ลงมืออะไรไปลับหลัง?

คราวนี้หลิงเล่หัวเราะขึ้นมาจริงๆแล้ว

อันที่จริงมู่อี้เจ๋อนั้นเริ่มต้นมาจากศูนย์ เขากลายเป็นคนที่โดดเด่นในเขตเล็กๆ จากนั้นจึงค่อยตั้งหลักปักฐานในเมือง M นี่แสดงให้เห็นว่ามู่อี้เจ๋อเป็นคนที่มีความสามารถอย่างมาก หากโรงงานทอผ้าซิงชั่นถูกขัดเกลาไปอีกสักรุ่นสองรุ่น อนาคตจะต้องสดใสอย่างแน่นอน

ตอนนี้พอได้ฟังมู่เทียนซิงกล่าวถึงท่าทีของมู่อี้เจ๋อที่เปลี่ยนไป เขาก็รู้แล้วว่า เงินค่าป้ายโฆษณา 999อันนั้นไม่สูญเปล่า

เขาจับมือเธอและไม่เต็มใจที่จะปล่อยไป และบางครั้งใช้นิ้วลูบไปมาบนก็มืออันขาวนุ่มของเธอ “บางทีเขาอาจจะคิดได้แล้ว”

นัยน์ตาของเธอมีประกายระมัดระวังพาดผ่านไป “ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าพอคุณยิ้มขึ้นมากลับดูเหมือนสุนัขจิ้งจอก?”

“ตรงไหนกัน”

“เห็นได้ชัดว่ามี!”

หลิงเล่ไม่พูดต่อ เขาจ้องมองเธออย่างเงียบๆอยู่สองวินาที ก่อนจะค่อยๆเอ่ยขึ้นมา “อีกสักครู่ฉันจะไปส่งเธอ”

วันนี้เขายังไม่ได้สนิทสนมใกล้ชิดกับเธอเลย ยังไม่ได้กอด ยังไม่ได้จูบ มุมปากอันอ่อนหวานของเธอ เมื่องเทียบกับเนื้อที่ทานในตอนกลางวันแล้วยังอ่อนนุ่มสดใหม่เสียยิ่งกว่า หากเขาปล่อยมันผ่านไปต่อหน้าต่อตา แบบนี้ไม่ถือว่าเป็นคนโง่หรอกหรือ?

มู่เทียนชิงไม่เข้าใจความหมายลึกๆ เพียงแค่รู้สึกว่าเขานั้นไม่อยากจากตนเองไป สมองเล็กๆของเธอจึงพยักหน้าอย่างว่าง่ายอ่อนโยน

ทั้งหมดนั่งลงรอบโต๊ะน้ำชา ชิมกาแฟ และพูดคุยจากเรื่องหนึ่งไปอีกเรื่องหนึ่ง

ทันใดนั้น หนีหย่าจูนก็พูดขึ้น “สาวน้อย เธอฉลาดขนาดนี้ หญิงสาวที่เป็นราวกับบุปผาหยก ล้วนมีคนมาตามจีบอยู่มากมาย ทำไมถึงได้ชื่นชอบซือซ่าวที่นั่งบนรถเข็น?”