“เออ… จะว่าไปก็รับปากอารอนเอาไว้แล้วด้วยนี่นา รีซาน่าเขาจะรู้เรื่องหมู่บ้านนั่นหรือเปล่าเนี่ย…”
 

นากาที่ช่วยเอริซาเบธพูดจาหว่านล้อมพรีมูล่าจนทำให้น้องสาวของเขายอมกลับเข้ามาในห้องเรียนแต่โดยดีนั้นได้พูดพึมพำขึ้นมาเบาๆ หลังจากที่เขานั่งลงบนที่นั่งของตัวเองและหันไปเห็นเขาสีดำที่อยู่บนหัวของรีซาน่าเข้า ซึ่งถึงแม้ว่าเขาจะพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเบาๆ แล้วก็ตาม แต่ว่าคำพูดของเขาก็ยังคงถูกได้ยินโดยหูแมวๆ ของโมโกะที่เหมือนว่าจะรับเสียงได้ดีกว่าหูมนุษย์แบบที่นากามี

 

“หืม? นายจะถามอะไรรีซาน่าเขาหรอน่ะนากา ให้ฉันเรียกมาให้มั้ย? ก่อนหน้านี้ฉันได้ออกไปเดินเล่นในป่ากับเขาอยู่บ่อยๆ ก็เลยพอจะสนิทกันอยู่บ้างน่ะ”

 

“หา? แมวขี้ตื่นอย่างเธอเนี่ยนะ อ่ะ…”

 

“โมโกะจังเขาเดินไปนู้นแล้วอ่ะพี่นากา…”

 

พรีมูล่าที่นอนลงไปยืดแขนอยู่กับโต๊ะของตัวเองได้ยกมือขึ้นมาชี้และเอ่ยปากบอกพี่ชายของเธอขึ้นมาเมื่อเห็นว่าเขากำลังมองซ้ายมองขวาเพื่อหาตัวโมโกะที่เพิ่งจะเอ่ยปากพูดกับเขาขึ้นมาเมื่อสักครู่นี้อยู่ ซึ่งนั่นก็ทำให้นากาได้พบว่าเพื่อนสาวหูแมวของเขาได้เดินเข้าไปหารีซาน่าที่นั่งอยู่แถวๆ กลางห้องใกล้ๆ กับอัลเบิร์ตเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

“เฮ้ย ยัยแมวระเบิดมาหาเธอน่ะ”

 

“อ้ะ— ถ้างั้นเดี๋ยวพวกเราค่อยมาคุยเรื่องนี้กันต่อละกันนะคะอัลเบิร์ต”

 

“อ่า เอาตามนั้นก็ละกัน”

 

อัลเบิร์ตพยักหน้าตอบรีซาน่ากลับไปก่อนที่เขาจะหันไปมองทางอื่นเพื่อสำรวจดูเพื่อนรวมชั้นคนอื่นๆ ที่เขาไม่คุ้นหน้าดูแทน ซึ่งรีซาน่าที่เห็นว่าอัลเบิร์ตไม่ได้พูดว่าอะไรออกมานั้นก็ได้หันไปสอบถามโมโกะที่ยืนรออยู่ข้างๆ ขึ้นมา

 

“ว่าไงคะโมโกะจัง มีอะไรหรือเปล่าคะ?”

 

“พอดีว่านากาเขามีเรื่องอะไรสักอย่างอยากจะถามเธอหน่อยน่ะ ถ้ายังไงก็ไปด้านนั้นด้วยกันหน่อยสิ”

 

“เอ๋? นากาคุงน่ะหรอคะ?”

 

รีซาน่าที่ได้ยินคำขอของโมโกะนั้นก็ได้รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เพราะถ้าพูดกันตามตรงแล้วเธอเพิ่งจะเคยพบกับนากาเพียงแค่ครั้งเดียวหรือก็คือในการสอบรอบพิเศษที่เธอเป็นคู่ต่อสู้ให้กับพวกเขานั่นเอง แถมในตอนนั้นเธอเองก็ยังไม่ได้พูดคุยอะไรกับเขามากนักอีกด้วย แต่ถึงอย่างนั้นรีซาน่าก็ยอมเดินตามไปยังที่นั่งของกลุ่มของพวกนากาที่อยู่ด้านหลังห้องด้วยกันแต่โดยดีและพูดถามนากาขึ้นมา

 

“ว่าไงคะนากาคุง? มีเรื่องอะไรอยากจะถามฉันงั้นหรอคะ?”

 

“เอ่อ… จะว่าไงดีล่ะ…”

 

นากาที่ถูกรีซาน่าพูดถามขึ้นมาด้วยรอยยิ้มอย่างเป็นมิตรนั้นได้แต่รู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อยเพราะว่าเรื่องที่เขาต้องการจะรู้หรือก็คือเรื่องบ้านเกิดของรีซาน่าเป็นหมู่บ้านที่นับถือเทพมังกรหรือเปล่านั้นจะเรียกว่าเป็นเรื่องส่วนตัวเลยก็ว่าได้ ซึ่งนากาก็ไม่รู้ว่าถ้าเกิดเขาทำให้รีซาน่ารู้ไม่พอใจขึ้นมาหญิงสาวร่างยักษ์คนนี้จะคว้าขวานศึกของเธอมาจามหัวเขาเข้าให้หรือเปล่า

 

“ฉันอุตส่าห์ไปเรียกรีซาน่าเขามาให้แล้วนะ มีอะไรก็รีบๆ ถามไปสินากา”

 

“นั่นสิๆ พี่นากาไปเรียกคนอื่นเขามาแล้วไม่ยอมพูดด้วยสักทีนี่มันเสียมารยาทนะ~”

 

โมโกะที่เห็นว่านากามัวแต่อ้ำอึงไม่กล้าพูดถามรีซาน่าออกไปสักทีนั้นได้พูดเร่งรัดเขาขึ้นมา ซึ่งนั่นก็ทำให้พรีมูล่าที่เหมือนจะเห็นความลำบากใจของพี่ชายตัวเองเป็นเรื่องสนุกได้พูดสนับสนุนโมโกะขึ้นมาอีกคนด้วยท่าทางรื่นเริงจนทำให้นากาได้แต่ตัดสินใจที่จะพูดถามออกไปแต่โดยดี

 

“เฮ้อ… เอาจริงๆ ก็ไม่มีอะไรมากหรอก ฉันก็แค่อยากจะลองถามเธอดูว่าเธอมาจากหมู่บ้านนอกเมืองหรือว่าพอจะรู้จักหมู่บ้านที่มีคนมีเขาอยู่เยอะๆ บ้างหรือเปล่าน่ะ พอดีว่ามีคนรู้จักของฉันกำลังตามหาหมู่บ้านเล็กๆ หมู่บ้านหนึ่งอยู่น่ะ”

 

“อ่ะ… จะว่าไปก่อนหน้านี้เธอก็พูดเหมือนกับว่าเธอมาจากหมู่บ้านนอกเมืองเหมือนกันไม่ใช่หรอรีซาน่า?”

 

“ไหนๆ ที่นี่มีคนที่มาจากหมู่บ้านเหมือนกันกับพวกหนูด้วยหรอ~”

 

“อ—เอ๋ะ— เอ่อ— ก็แบบว่า…”

 

รีซาน่าที่ถูกโมโกะและพรีมูล่ามุงเข้าใส่แบบนั้นได้แต่อ้ำอึ้งเหมือนกับไม่รู้ว่าจะตอบทั้งสองคนกลับไปยังไงดีจนทำให้นากาที่เห็นแบบนั้นต้องรีบยื่นมือไปดึงแก้มของทั้งโมโกะและพรีมูล่าเอาไว้เพื่อให้พวกเธอเก็บอาการกันบ้างสักหน่อย

 

“โอ๊ยยย พี่นากาปล่อยแก้มหนูนะะะะ!”

 

“โอ๊ยๆๆๆ อะไรกันล่ะนากา!? ฉันอุตส่าห์ช่วยนายถามแล้วนะ”

 

“ให้ตายสิ… ฉันขอโทษแทนสองคนนี้เขาด้วยละกัน แต่เอาเป็นว่าถ้าเกิดเธอไม่สะดวกที่จะตอบก็ไม่เป็นอะไรนะรีซาน่าฉันก็แค่ลองถามดูเฉยๆ น่ะ”

 

“ม—ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ยังไงเรื่องของฉันมันก็ไม่ใช่ความลับอะไรอยู่แล้วเพราะงั้นไม่ต้องไปลงโทษทั้งสองคนหรอกค่ะ”

 

รีซาน่าที่ได้ยินโมโกะและพรีมูล่าร้องโวยวายขึ้นมานั้นได้พยายามที่จะพูดให้นากาปล่อยแก้มของพวกเธอที่ถูกดึงจนยืดไปก่อนที่เธอจะลองพูดสอบถามนากาขึ้นมาเพื่อที่จะได้ใช้ในการตัดสินใจว่าจะพูดตอบคำถามเขาออกไปดีหรือไม่

 

“เอ่อ… แต่ถ้ายังไงก่อนที่ฉันจะตอบคำถามของนากาคุงขอฉันถามก่อนสักหน่อยได้หรือเปล่าคะว่าคนรู้จักของนากาคุงที่อยากรู้เรื่องหมู่บ้านของฉันนั่นคือใครกันหรอคะ?”

 

“เอ๋ะ? อ๋อ… ถ้าจะให้อธิบายง่ายๆ ก็เป็นคุณหมอที่เปิดคลินิกอยู่ในเขตตัวเมืองชั้นนอกแล้วก็คอยแวะไปตรวจสุขภาพให้กับคนในหมู่บ้านของพวกฉันอยู่บ่อยๆ น่ะ ฉันบังเอิญไปได้ยินมาว่าเขากำลังตามหาหมู่บ้านเล็กๆ ที่ประชากรส่วนมากเป็นคนมีเขาอยู่ก็เลยอาสาจะช่วยเขาลองหาข้อมูลดูน่ะ แล้วพอดีฉันเห็นว่าเธอดูบ้านนอ— เอ๊ย ดูไม่ค่อยจะเหมือนคนเมืองสักเท่าไหร่นักก็เลยลองคิดจะลองถามเธอดูสักหน่อย”

 

“อ๋อออออ ที่แท้ก็พี่—-อุ๊บ”

 

พรีมูล่าที่ได้ยินคำอธิบายของนากาไปนั้นสามารถรู้ได้ทันทีว่าคนที่พี่ชายของเธอกำลังพูดถึงอยู่คือใครกันแน่ แต่ว่ายังไม่ทันที่พรีมูล่าจะได้หลุดชื่อของคนรู้จักที่พี่ชายของเธอพยายามปิดเอาไว้ออกมาเธอก็ถูกโมโกะพุ่งมือมาอุดปากเอาไว้ก่อน

 

“เป็นคุณหมองั้นหรอคะ… ถึงที่หมู่บ้านของฉันจะไม่ชอบคนนอกกันสักเท่าไหร่ก็เถอะแต่ถ้าเกิดว่าเป็นคุณหมอล่ะก็คงจะไม่มีปัญหาอะไรหรอกล่ะมั้งคะ…”

 

“หมู่บ้านของเธอเขาเคร่งเรื่องคนนอกหรอ? งั้นถ้าเกิดว่ามันจะเป็นปัญหาก็ไม่จำเป็นต้องบอกฉันก็ได้นะ”

 

“ถ้างั้นเอาเป็นว่านากาคุงลองบอกเรื่องเกี่ยวกับหมู่บ้านที่คุณหมอคนนั้นกำลังตามหาอยู่ให้ฉันฟังหน่อยสิคะว่าเป็นหมู่บ้านแบบไหนน่ะ แล้วถ้าเป็นไปได้ฉันก็อยากจะรู้เหตุผลที่เขากำลังตามหาหมู่บ้านแบบนั้นอยู่ด้วยก็ดีนะคะฉันจะได้ตัดสินใจถูกน่ะค่ะ”

 

“อ่าหะ… ก็เรื่องมันมีอยู่ว่า…”

 

นากาได้ใช้เวลาเล็กน้อยในการพูดอธิบายให้รีซาน่าที่มีท่าทางเหมือนกับว่าไม่อยากจะเล่าเรื่องของหมู่บ้านตัวเองสักไหร่นักแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธที่จะเล่าออกมาสักทีเดียวเกี่ยวกับสาเหตุที่คุณหมอที่เขารู้จักน่าจะอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับหมู่บ้านนั้นและเรื่องเกี่ยวกับลักษณะเฉพาะของหมู่บ้านที่เขากำลังตามหาอยู่อย่างเช่นเรื่องที่ว่าเป็นหมู่บ้านในป่าลึกที่ไม่ต้อนรับคนนอก ประชากรส่วนใหญ่เป็นคนมีเขา แล้วก็เรื่องที่ว่าชาวบ้านนับถือเทพเจ้ามังกรเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจกันให้กับรีซาน่าฟังไป

 

“อื้ม… ก็ถือว่าใกล้เคียงกับหมู่บ้านของฉันอยู่เหมือนกันนะคะเรื่องที่ว่าเป็นหมู่บ้านในป่าลึกทางทิศเหนือ ชาวบ้านเป็นคนมีเขาแล้วก็ไม่ต้อนรับคนนอกน่ะค่ะ แต่ว่าฉันไม่รู้เรื่องเทพเจ้ามังกรอะไรนั่นหรอกนะคะ… ถึงเอาจริงๆ จะต้องบอกว่าฉันไม่รู้ว่าชาวบ้านของหมู่บ้านฉันนับถือเทพเจ้าองค์เดียวกับที่นากาว่ามาหรือเปล่าก็เถอะค่ะ”

 

“แต่ว่าลักษณะของหมู่บ้านของเธอก็ตรงกับหมู่บ้านที่ฉันพูดมาตั้งสามในสี่อย่างแล้วล่ะนะแบบนี้ก็อาจจะใช่ก็ได้ล่ะมั้ง”

 

“ค่ะ ถ้างั้นนากาคุงพอจะมีแผนที่หรืออะไรจำพวกนั้นมั้ยล่ะคะ ฉันจะได้เขียนตำแหน่งคร่าวๆ ของหมู่บ้านของฉันให้น่ะค่ะ”

 

“เอ๋ะ? จะดีหรอรีซาน่า? ถ้าเกิดว่าคนในหมู่บ้านของเธอรู้ว่าเธอเอาเรื่องของหมู่บ้านมาบอกให้พวกฉันฟังแบบนี้พวกเขาจะไม่ว่าเธอเอาหรอ?”

 

นากาที่ได้ยินรีซาน่าพูดขึ้นมาแบบนั้นได้พูดถามกลับไปด้วยความเกรงใจเพราะถึงแม้ว่าเขาจะอยากได้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องของหมู่บ้านนี้ไปให้อารอนแต่ว่าเขาก็ไม่อยากให้รีซาน่าต้องเกิดความลำบากขึ้นมาถ้าเกิดว่าเธอเอาข้อมูลเกี่ยวกับหมู่บ้านของตนมาบอกกับคนนอกอย่างเขาแบบนี้ด้วยเช่นกัน

 

“ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ แต่ถ้าเกิดว่ามันเป็นเรื่องที่ครอบครัวของคุณประธานนักเรียนคนนั้นพูดถึงก็น่าจะเป็นเรื่องสำคัญจริงมั้ยล่ะคะ… พอดีว่าฉันเคยได้คุณประธานนักเรียนช่วยเหลือเรื่องอะไรหลายๆ อย่างเอาไว้ฉันก็เลยอยากจะตอบแทนอะไรเขาบ้างน่ะค่ะ อีกอย่างนึงถึงฉันจะบอกไปจริงๆ ก็เถอะแต่พวกเขาก็คงไม่เกลียดฉันไปมากกว่านี้แล้วล่ะค่ะ”

 

“เห…ไดเอน่าเคยช่วยเธอเอาไว้ด้วยงั้นหรอเนี่ย สุดยอดไปเลยนะคุณประธานนักเรียนคนนั้นน่ะ… แต่ว่าตอนนี้ฉันเองก็ไม่มีแผนที่ซะด้วยสิ ถ้าเกิดว่าจำเป็นจะต้องใช้จริงๆ เดี๋ยวเอาไว้ฉันจะลองไปขอเอริกะเขาดูก่อนละกัน”

 

“ค่ะ ถ้างั้นเดี๋ยวเอาไว้นากาคุงหาแผนที่มาได้แล้วก็ค่อยมาหาฉันอีกทีละกันนะคะ”

 

ครืดดดดด–

 

“ปิ๊งป่อง ปิ๊งป่อง~ ทุกคนกลับที่นั่งได้จ้า~”

 

ในขณะที่เหล่าเด็กๆ ในห้องกำลังจับกลุ่มกันคุยเล่นหรือว่ากำลังทำความรู้จักกันอยู่นั้นอยู่ๆ ประตูหน้าห้องก็ได้ถูกเลื่อนเปิดออกก่อนที่เอริซาเบธที่ติดพาร์ทส่วนบนสำหรับบันทึกภาพเอาไว้จะเดินเข้ามาในห้องและพูดสั่งเหล่าเด็กนักเรียนของเธอขึ้นมาด้วยความอารมณ์ดีที่จะได้เป็นคนสาธิตการใช้งานยูนิตของคุณเอริกะของเธอด้วยตัวเอง

 

“เฮ้ย— ยัยจิ้—-อาจารย์เอริซาเบธกับอาจารย์อายะมาแล้ว ทุกคนกลับที่นั่งกันเร็ว! ยัยยักษ์กลับมานั่งที่ได้แล้ว!”

 

“อ่ะ— ถ้างั้นฉันขอตัวก่อนนะคะนากาคุง”

 

อัลเบิร์ตที่เห็นเอริซาเบธเดินเข้ามาในห้องนั้นได้ช่วยพูดดึงความสนใจของทุกคนขึ้นมาก่อนที่เขาจะรีบเปลี่ยนคำพูดของตัวเองในทันทีที่เห็นอาจารย์อายะเดินตามหลังเอริซาเบธเข้ามาด้วยซึ่งนั่นก็ทำให้รีซาน่าต้องรีบเอ่ยปากขอตัวและเดินกลับที่นั่งของตัวเองไปในทันที

 

ซึ่งเอริซาเบธก็ได้ยืนส่ายหางไปมารอจนกระทั่งเหล่าเด็กนักเรียนของเธอกลับไปนั่งประจำที่กันจนเป็นที่เรียบร้อยแล้วจึงได้เริ่มต้นพูดอธิบายขึ้นมา

 

“เอาล่ะ~ เนื่องจากว่าอาจารย์อลิซเขาโดนท่านผู้อำนวยการเรียกไปเฉ่งเรื่องการสอบเมื่อกี้นี้ไปแล้วเพราะงั้นอาจารย์เอริกับอาจารย์อายะก็เลยจะมาเป็นคนแนะนำเรื่องเกี่ยวกับยูนิตให้พวกเธอฟังกันแทนอาจารย์อลิซเองจ้ะ~”

 

“ก็แบบที่อาจารย์เอริพูดนั่นแหล่ะจ้ะ เพราะงั้นพวกเธอรีบกลับไปนั่งที่ของตัวเองกันให้เรียบร้อยได้แล้วนะจ๊ะ”

 

อาจารย์อายะที่เดินตามหลังเอริซาเบธมานั้นได้พูดเสริมขึ้นมาพร้อมกับพูดเตือนเด็กนักเรียนบางส่วนที่ยังคงหันไปคุยกันอยู่ให้ตั้งใจฟังแต่โดยดีและเมื่อเอริซาเบธได้เห็นว่าเหล่าเด็กนักเรียนของเธออยู่ในความสงบกันแล้วเธอจึงได้พูดขึ้นมาพร้อมกับสั่งให้พาร์ทส่วนบนที่เธอสวมใส่อยู่ขยับไปมาเพื่อเป็นการแสดงตัวอย่างให้กับเหล่าเด็กนักเรียนดู

 

“ในเมื่อทุกคนพร้อมกันแล้วถ้างั้นพวกเราก็มาเริ่มทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ในปีการศึกษานี้กันเลยดีกว่า”

 

แกร๊ก— วี๊ด—วี๊ด—-

 

“—-!?”

 

“ไอ้แท่งเหล็กนั่นมันคืออะไรกันน่ะ!?”

 

“เป็นอุปกรณ์จำพวกนั้นจริงๆ ด้วยสินะ…”

 

ในขณะที่เหล่าเด็กๆ ในห้องต่างพากันแสดงความประหลาดใจกับอุปกรณ์ที่พวกเขาไม่เคยเห็นกันมาก่อนนั้น ทางด้านเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำที่เป็นผู้พูดถามอลิซขึ้นมาก่อนหน้านี้กลับไม่ค่อยรู้สึกประหลาดใจอะไรสักเท่าไหร่นักเพราะว่าในช่วงปิดเทอมที่ผ่านมาเขากับซิลเวสเองนี่ล่ะที่เคยตกเป็นเป้าซ้อมมือของอลิซในตอนที่เอริกะนำพาร์ทไอพ่นส่วนล่างมานำเสนอให้กับทางโรงเรียนดูจนทำให้เขาพอจะคาดเดาได้ตั้งแต่ตอนที่เห็นท่านผู้อำนวยการพูดประกาศแนะนำตัวอลิซขึ้นมาในพิธีเปิดการศึกษาแล้ว

 

แต่ถึงแม้ว่าเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มคนนั้นกับอัลเบิร์ตและกลุ่มของพวกนากาจะไม่รู้สึกแปลกใจอะไรมากนัก ทางด้านเด็กนักเรียนคนอื่นกลับแสดงอาการตื่นเต้นกันอยู่อย่างเต็มที่โดยไม่ได้พยายามเก็บอาการของพวกเขาเลยแม้แต่น้อยจนทำให้เอริซาเบธต้องรีบพูดขึ้นมาเสียงดัง

 

“ทุกคนใจเย็นๆ กันก่อนสิ~ อุปกรณ์ที่อยู่บนหลังของอาจารย์เอรินี่มีชื่อเรียกว่า พาร์ท ซึ่งเจ้าพาร์ทเนี่ยมันเป็นส่วนหนึ่งของอุปกรณ์ที่มีชื่อเรียกว่า ยูนิต ที่พวกเธอจะได้เรียนรู้วิธีการใช้งานมันจากวิชาของอาจารย์อลิซกันในปีการศึกษานี้เนี่ยแหล่ะจ้ะ”

 

“งั้นก็หมายความว่าการสอบของอาจารย์อลิซเมื่อกี้นี้ก็เกี่ยวข้องกับอุปกรณ์ที่อาจารย์เอริใส่อยู่ด้วยงั้นหรอครับ?”

 

“ใช่แล้วจ้ะเนลคุง ที่อาจารย์อลิซจำเป็นต้องจัดการสอบโหดๆ แบบนั้นก็เพื่อที่จะได้จัดเตรียมยูนิตที่เหมาะสมกับวิธีการต่อสู้แล้วก็วิธีการใช้วิซของพวกเธอแต่ล่ะคนให้นั่นแหล่ะ~”

 

เอริซาเบธพูดตอบเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มที่ชื่อว่าเนลกลับไปพร้อมกับสั่งให้แขนกลที่เธอสวมใส่อยู่โบกไปมาให้เหล่าเด็กนักเรียนของเธอเห็นอีกครั้งและพูดอธิบายขึ้นมา

 

“เนี่ย~ ถึงพวกเธอจะเห็นอาจารย์เอริควบคุมมันได้ง่ายๆ แบบนี้ทั้งๆ ที่เพิ่งจะเคยใช้งานมันเป็นครั้งแรกก็เถอะนะ แต่ว่าถ้าพวกเธออยากจะใช้พวกมันในการต่อสู้ได้คล่องแคล่วเหมือนกับอาจารย์อลิซล่ะก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยนะ ไม่เชื่อก็ลองถามเนลคุงเขาดูสิว่าเมื่อตอนปิดเทอมเขาโดนอาจารย์อลิซใช้ยูนิตยำซะเละไปท่าไหนน่ะ~”

 

“เฮ้ยเนล! นี่แกเคยไปสู้กับอาจารย์อลิซเขามาแล้วงั้นเรอะ!? เจอเรื่องน่าสนุกแบบนี้ทำไมไม่มาเล่าให้ฟังกันบ้างเลยหะ!?”

 

“พูดมากน่าอัลเบิร์ต! ไม่ใช่ว่านายก็ได้มาเป็นคู่ต่อสู้ให้กับการสอบรอบพิเศษไปแล้วไม่ใช่หรือไง?”

 

“ที่เธอไม่รู้เรื่องนี้เป็นเพราะว่าท่านผู้อำนวยการเขาเป็นคนสั่งให้เนลกับซิลเวสเก็บเอาไว้เป็นความลับเพราะว่าตอนนั้นคุณเอริกะที่เป็นเจ้าของยูนิตพวกนี้เขายังต้องการที่จะปิดพวกมันเอาไว้เป็นความลับอยู่น่ะจ้ะ”

 

อาจารย์อายะที่เห็นว่าเด็กนักเรียนทั้งสองคนได้ตะโกนคุยกันเหมือนกับไม่สนใจว่ามีอาจารย์อย่างเธออยู่ในห้องแถมยังมีพูดถึงการสอบรอบพิเศษที่ควรจะถูกปิดเป็นความลับออกมานั้นก็ได้รีบพูดอธิบายขึ้นมาด้วยสีหน้ายิ้มๆ แต่ว่าในขณะเดียวกันนั้นเองนักเรียนผมสีน้ำตาลอ่อนเหมือนกับผืนทรายคนหนึ่งก็ได้ยกมือขึ้นมาขออนุญาตเอริซาเบธด้วยท่าทีสุภาพ

 

“อ่ะ— เธอคนนั้นที่ยกมืออยู่… เคนซากิที่เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนพิเศษจากแพนเทร่าสินะจ๊ะ มีคำถามอะไรหรือเปล่าเอ่ย?”

 

“ครับ ผมเคนซากิคนนั้นนั่นแหล่ะครับ ผมมีคำถามว่าในเมื่ออาจารย์เอริซาเบธพูดเหมือนกับว่าอุปกรณ์พวกนี้จะช่วยเสริมความสามารถในการต่อสู้ให้กับผู้สวมใส่ได้แบบนี้ แล้วทำไมมันถึงได้มาโผล่ในโรงเรียนให้พวกเด็กนักเรียนใช้กัน แทนที่จะไปโผล่ในกองทหารรักษาเมืองหรือว่าหน่วยอัศวินหลวงล่ะครับ? เพราะถ้าเกิดว่าเป็นที่แพนเทร่าของผมล่ะก็ไม่มีทางที่จะมีอะไรแบบนี้หลุดมาให้เด็กนักเรียนใช้งานกันหรอกนะครับ”

 

“นั่นสิคะอาจารย์เอริ ถ้าฉันดูจากการที่แขนกลทั้งสองข้างมันหน้าตาไม่เหมือนกันแล้วก็น่าจะแปลว่ามันสามารถปรับแต่งให้ติดอาวุธได้หลายรูปแบบด้วยสินะคะ เรื่องนี้ท่านผู้อำนวยการเองก็ไม่ได้พูดอธิบายเอาไว้ในที่ประชุมซะด้วยสิ”

 

อาจารย์อายะที่ได้ยินคำถามของเด็กนักเรียนที่ชื่อว่าเคนซากิเองก็ได้หันไปมองเอริซาเบธและพูดถามขึ้นมาด้วยเช่นกันเพราะถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้ท่านผู้อำนวยการจะได้อธิบายให้คณะอาจารย์ทราบเกี่ยวกับตัวคาบเรียนใหม่กันบ้างแล้วแต่ว่าท่านผู้อำนวยการก็ไม่ได้พูดลงลึกในรายละเอียดมากนัก ซึ่งเอริซาเบธที่ได้ยินคำถามของเด็กนักเรียนและเพื่อนร่วมงานเข้าไปนั้นก็ได้ส่ายหางจิ้งจอกฟูๆ ของเธอไปมาและยืดอกพูดอธิบายให้ทุกคนฟังด้วยความมั่นใจ

 

“ก็มันเป็นเพราะว่าคุณเอริกะเขารู้ดียังไงล่ะคะว่าจะต้องฝากความหวังเอาไว้ที่คนกลุ่มไหนกันแน่น่ะ อย่างถ้าเกิดว่าคุณเอริกะส่งของพวกนี้ไปให้ทางวังหลวงล่ะก็ พวกห่วยแตกในนั้—- อุ๊บ—”

 

“อาจารย์เอริอย่าพูดถึงเรื่องภายในวังหลวงต่อหน้าเด็กนักเรียนสิคะ!!”

 

เอริซาเบธที่กำลังจะบ่นเรื่องของวังหลวงออกมาต่อหน้าเหล่าเด็กนักเรียนนั้นได้ถูกอาจารย์อายะพุ่งมือไปอุดปากเอาไว้แทบจะในทันทีเนื่องจากว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ควรจะถูกพูดถึงต่อหน้าเด็กนักเรียนเลยแม้แต่น้อย

 

เพราะถึงแม้ว่าเหล่าเด็กนักเรียนในห้องสามนั้นจะประกอบไปด้วยเด็กนักเรียนมากความสามารถที่มาจากครอบครัวชาวบ้านธรรมดาเป็นส่วนใหญ่แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีลูกหลานขุนนางอย่างอัลเบิร์ตหลุดมาบ้างเช่นเดียวกัน แล้วนี่ยังไม่ต้องพูดถึงเด็กนักเรียนที่มาจากนอกเมืองอย่างรีซาน่าและพวกนากาหรือแม้แต่กระทั่งเด็กนักเรียนพิเศษจากต่างเมืองอย่างเคนซากิและเซซิลอีกด้วย

 

“อะไรกันล่ะคะ!? ไม่ใช่ว่าอาจารย์อายะเองก็อยากจะรู้เหมือนกันไม่ใช่หรอคะ?”

 

“เรื่องนั้นมันก็ใช่นั่นแหล่ะค่ะ แต่ว่าอาจารย์เอริเองก็เลือกคำพูดที่มันดีๆ หน่อยสิคะ! อีกอย่างนึงคำพูดต่อท้ายนั่นไม่ต้องพูดก็ได้ค่ะ แค่บอกไปว่าเพราะคุณเอริกะเห็นว่าเด็กๆ พวกนี้เป็นความหวังก็พอแล้วไม่ใช่หรือไงกันคะ!?”

 

“ถ้าจะพูดทั้งทีก็ต้องพูดให้มันครบสิคะ! ในเมื่อมันเป็นเรื่องจริงที่ทุกคนก็รู้ๆ กันอยู่แล้วจะปิดบังมันเอาไว้ทำไ—-”

 

ฟู่ววววววว—

 

“เอ๋ะ— เสียงนั่นมัน— อาจารย์อายะปล่อยฉันก่อนค่ะ ฉันขอออกไปดูอะไรแป๊บนึง!!”

 

“อ่ะ— เดี๋ยวก่อนสิคะอาจารย์เอริ!!”

 

เอริซาเบธที่กำลังดิ้นรนเอามือของอาจารย์อายะออกจากปากของเธออยู่อย่างสนุกสนานนั้นได้ชะงักไปในทันทีที่เธอได้ยินเสียงปริศนาที่เธอรู้ดีว่ามันคือเสียงของไอพ่นจากยูนิตฝีมือเอริกะดังแว่วๆ มาจากทางสนามหญ้าจนทำให้เธอต้องรีบสลัดตัวให้หลุดออกจากอาจารย์อายะและรีบวิ่งตรงไปดูต้นเสียงที่ระเบียงหน้าห้องในทันที

 

ซึ่งเอริซาเบธนั้นก็ได้เห็นอลิซที่สวมใส่ยูนิตเต็มรูปแบบที่มีแขนกลติดปืนกลเบาสองกระบอกและพาร์ทส่วนล่างที่เป็นโครงเหล็กกำลังยืนพูดอะไรสักอย่างอยู่คนเดียวอยู่ที่ริมสนามหญ้าที่ไหม้ดำเป็นวงเล็กๆ

 

“นั่นมันยูนิตเชสเชียร์นี่? ไม่ใช่ว่าวันนี้คุณเอริกะเดินมาตัวเปล่าหรอกหรอ…”

 

ซู่มมมมมมมม!!

 

ในขณะที่เอริซาเบธกำลังพูดขึ้นมาด้วยความสงสัยอยู่นั้น อลิซที่ดูเหมือนว่าจะพูดคุยกับเอริกะผ่านเครื่องสื่อสารขนาดเล็กเสร็จแล้วก็ได้ดีดล้อที่ซ่อนอยู่ใต้พื้นรองเท้าออกมาและใช้ไอพ่นที่เอวดันตัวเองพุ่งตัวออกไปทางประตูหน้าของโรงเรียนและหายลับไปจากสายตาของเธออย่างรวดเร็ว

 

“พวกนายเห็นนั่นรึเปล่า? ดูเจ๋งกว่าที่อาจารย์เอริใส่อยู่อีกนะนั่น”

 

“นั่นสิถ้าฉันดูไม่ผิดเหมือนว่าจะติดปืนหน้าตาประหลาดๆ เอาไว้ตั้งสองกระบอกด้วยนี่ สรุปแล้วยูนิตที่ว่านี่เป็นอาวุธจริงๆ งั้นสินะ”

 

“ไม่เอาแบบนั้นสิ… ฉันไม่ชอบเรื่องการต่อสู้เลยนะ”

 

ในขณะที่เหล่าเด็กนักเรียนที่รีบวิ่งตามอาจารย์ทั้งสองท่านออกมาดูต้นตอของเสียงปริศนานั้นได้หันไปพูดคุยกันด้วยท่าทีตื่นเต้น ทางด้านเอริซาเบธนั้นกลับมีสีหน้าที่เคร่งเครียดเพราะว่าในเมื่ออลิซที่ควรจะอยู่สอนในคาบเรียนนี้ได้สวมใส่ยูนิตเชสเชียร์เต็มรูปแบบพุ่งออกไปนอกโรงเรียนแบบนั้นก็น่าจะหมายความว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาในหมู่คนของเอริกะที่กำลังออกไปปฏิบัติภารกิจที่ด้านนอกเมืองจนทำให้เอริกะถึงกับต้องสั่งให้อลิซออกไปช่วยเหลืออย่างแน่นอน

 

ซึ่งเอริซาเบธนั้นก็ได้หันกลับไปมองเหล่าเด็กนักเรียนด้วยท่าทีสองจิตสองใจก่อนที่เธอจะตัดสินใจที่จะเดินกลับเข้าไปในห้องเรียนเพื่อเริ่มสอนต่อด้วยสีหน้าลำบากใจจนทำให้อาจารย์อายะที่เห็นแบบนั้นต้องเอ่ยปากพูดกับเพื่อนร่วมงานของเธอขึ้นมาเบาๆ

 

“ถ้าเป็นคุณเอริกะล่ะก็น่าจะยังอยู่ที่ห้องของท่านผู้อำนวยการนะคะ อาจารย์เอริรีบไปสอบถามดูเถอะค่ะเพราะว่าดูจากสีหน้าของอาจารย์เอริแล้วการที่อาจารย์อลิซใช้ยูนิตพุ่งออกไปนอกโรงเรียนนี่น่าจะเป็นเรื่องสำคัญสินะคะ”

 

“อ—เอ๋ะ จะดีหรอคะอาจารย์อายะ…”

 

“ไม่เห็นเป็นอะไรเลยนี่คะ เพราะยังไงอาจารย์เอริก็แนะนำเรื่องของยูนิตให้พวกเด็กๆ ได้เห็นกันไปแล้วแถมชั่วโมงเรียนต่อไปก็เป็นวิชาของฉันยาวๆ จนถึงช่วงพักเที่ยงอยู่แล้วด้วย เอาเป็นว่าพอถึงช่วงพักกลางวันแล้วก็อย่าลืมมาเลี้ยงข้าวฉันด้วยละกันนะคะ~”

 

“อื้อ! ถ้าอย่างงั้นก็ฝากด้วยนะอายะจัง~”

 

เอริซาเบธที่ได้รับอนุญาตจากเพื่อนร่วมงานนั้นได้ยื่นมือไปกอดอาจารย์อายะด้วยความดีใจก่อนที่เธอจะรีบออกวิ่งขึ้นบันไดไปยังห้องของท่านผู้อำนวยการที่อยู่บนชั้นห้าด้วยความรีบร้อน ในขณะที่อาจารย์อายะนั้นก็ได้ถอนหายใจออกมาและหันกลับไปไล่ต้อนเหล่าเด็กนักเรียนที่เริ่มจับกลุ่มคุยกันอีกครั้งหนึ่งแล้วให้กลับเข้าไปด้านในห้องเรียนกัน

 

“เฮ้อ… ผ่านไปอีกปีนึงแล้วก็ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไปเลยนะเนี่ย… เอาล่ะ พวกเธอกลับเข้าห้องเรียนไปกันได้แล้วจ้ะ แล้วไหนๆ ก็ใกล้จะหมดเวลาคาบหนึ่งแล้ว เดี๋ยวอาจารย์จะได้เริ่มสอนวิชาการใช้วิซขั้นพื้นฐานกันเลยละกันเนอะ~”

 

“เอ๋? ยังเป็นขั้นพื้นฐานอยู่อีกหรอคะอาจารย์? นี่พวกหนูเรียนขั้นพื้นฐานมากันตั้งหลายปีแล้วนะคะ”

 

“ก็พื้นฐานของเธอยังไม่แน่นพอแบบนี้พวกเราก็เลยเปลี่ยนไปเรียนขั้นอื่นไม่ได้กันสักทีน่ะสิจ๊ะ~ เอาล่ะไปนั่งที่แล้วก็หยิบหนังสือเรียนขึ้นมาเตรียมพร้อมกันได้แล้วจ้ะ~”

 

อาจารย์อายะอมยิ้มพูดตอบเด็กนักเรียนหญิงคนหนึ่งที่ร้องโอดโอยขึ้นมาเมื่อได้ยินว่าปีนี้เธอก็ยังจะสอนวิชาขั้นพื้นฐานอยู่อีกเช่นเดิมก่อนจะดันหลังเด็กนักเรียนหญิงคนนั้นเบาๆ เป็นสัญญาณบอกว่าให้เธอกลับเข้าไปในห้องได้แล้ว

 

“หว๋าย… ตัวหนังสือเต็มไปหมดไม่เหมือนกับหนังสือเรียนที่หมู่บ้านเลยแฮะ…”

 

ทางด้านนากาที่เดินกลับเข้ามาในห้องนั้นได้หยิบเอาหนังสือเรียนที่เขาไม่ได้แตะต้องมันเลยตั้งแต่ตอนที่ได้รับมันมาขึ้นมาเปิดดูเนื้อหาคร่าวๆ ก่อนจะพบว่าหนังสือเรียนของโรงเรียนรีมินัสนั้นอัดแน่นไปด้วยเนื้อหาและคำอธิบายต่างๆ นาๆ โดยมีรูปภาพประกอบอยู่เพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้นแตกต่างจากหนังสือเรียนของหมู่บ้านโมริโกะที่เต็มไปด้วยรูปภาพต่างๆ มากมายเพื่อสื่อความหมายให้เด็กๆ เข้าใจได้ง่าย

 

“แอ๋…?”

 

เสียงของพรีมูล่าที่ดังขึ้นมาให้นากาได้ยินนั้นทำให้นากาต้องหันไปมองน้องสาวของตัวเองและพบว่าพรีมูล่านั้นเหมือนจะเจอตัวหนังสือจำนวนมากเข้าไปตีกันในหัวจนสมองหยุดทำงานไปซะแล้ว ในขณะที่โมโกะที่นั่งเยื้องไปทางด้านหน้านั้นก็กำลังจ้องมองคริสตัลสีแดงของธาตุไฟกับคริสตัลสีเหลืองของธาตุดินที่เธอถือเอาไว้ในมือสลับไปมาอยู่เหมือนกำลังคิดไม่ตกว่าจะใช้อันไหนในคาบเรียนดี

 

ส่วนทางด้านอาจารย์อายะที่ไล่ต้อนเหล่าเด็กนักเรียนกลับมาในห้องจนครบทุกคนแล้วนั้นก็ไม่รอช้าที่จะเดินไปที่หน้ากระดานดำเพื่อเริ่มต้นการสอนของเธอในทันที

 

“เอาล่ะ~ ในเมื่อปีนี้มีเด็กนักเรียนใหม่เข้ามาเพิ่มกันเยอะแยะแบบนี้ถ้างั้นอาจารย์ก็ขอเริ่มต้นด้วยการแนะนำตัวกันก่อนละกันนะจ๊ะ~ อาจารย์ชื่อว่าอาจารย์อายะ จะมาสอนพวกเธอเกี่ยวกับวิชาการควบคุมวิซและคริสตัลวิซขึ้นพื้นฐานจ้ะ เพราะงั้นพวกเธอก็หยิบเอาคริสตัลประจำตัวตามธาตุของตัวเองขึ้นมาเตรียมเอาไว้ได้เลยจ้ะ~”

 

“คริสตัลตามธาตุของตัวเองงั้นหรอ…”

 

นากาที่ได้ยินอาจารย์อายะพูดสั่งมาแบบนั้นได้แต่กระพริบตาปริบๆ และยิ้มเจือนๆ ออกมาเพราะจนถึงบัดนี้เขาเองก็ยังไม่รู้เลยซะด้วยซ้ำว่าเขามีวิซประจำตัวเป็นธาตุอะไรกันแน่เนื่องจากว่าเขาไม่สามารถใช้มันได้สักธาตุหนึ่ง แล้วในเมื่อเป็นแบบนั้นแล้วจะให้เขาเอาคริสตัลที่ไหนมาพกติดตัวกันล่ะ

 

ตุ๊บ

 

“เอ้านี่”

 

“โมโกะ…?”

 

ในขณะที่นากากำลังก้มหน้าด้วยความสมเพชในความพิกลพิการของตัวเองอยู่นั้นอยู่ๆ โมโกะที่นั่งเยื้องไปทางด้านหน้าก็ได้ยื่นมือที่ถือคริสตัลวิซสีแดงก้อนหนึ่งมาให้เขารับเอาไว้พร้อมกับพูดขึ้นมา

 

“นายไม่มีคริสตัลสักอันเลยใช่มั้ยล่ะ งั้นก็เอาของฉันไปใช้ก่อนแล้วเดี๋ยวเอาไว้จบคาบก็ค่อยเอามาคืนละกัน”

 

“เอาไปก็เท่านั้นนั่นแหล่ะ เพราะยังไงฉันก็—-”

 

“ชู่วๆ เรื่องนั้นฉันรู้อยู่แล้วน่า เอาเป็นว่านายไม่ต้องคิดมากแล้วก็ตั้งใจเรียนไปก่อนเถอะ…”

 

โมโกะพูดขัดนากาขึ้นมาเบาๆ ก่อนที่เธอจะหันกลับไปตั้งใจฟังอาจารย์อายะที่กำลังพูดอธิบายเกี่ยวกับสิ่งที่เธอจะสอนคร่าวๆ ในวิชาเรียนออกมา

 

“ตั้งใจเรียนไปก่อนงั้นหรอ…”

 

นากาที่ถูกทิ้งเอาไว้หลังห้องกับพรีมูล่าที่สมองหยุดทำงานไปตั้งแต่เปิดหนังสือนั้นได้พูดพึมพำขึ้นมาเบาๆ พร้อมกับทดลองส่งวิซเข้าใส่มันเหมือนกับที่อาจารย์ในหมู่บ้านและอารอนเคยให้คำแนะนำมา รวมไปถึงวิธีการใหม่ๆ ที่ถูกระบุเอาไว้ในหนังสือเรียนเบื้องหน้าด้วยเช่นกัน แต่ถึงแบบนั้นตัวคริสตัลสีแดงในมือของนากาก็ไม่ได้ตอบสนองอะไรกับสิ่งที่เขาทำเลยแม้แต่น้อยจนทำให้นากาได้แต่เค้นเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ

 

“หึ…”