ตอนที่ 67 เหตุระทึกกลางดึก
ขณะเดียวกัน โต้วโต้วที่เล่นสนุกจนหนำใจแล้วก็กลับมาที่บ้าน เมื่อเห็นหลินม่ายกำลังขนย้ายถุงถ่านเข้ามาในบ้าน ก็รีบเข้าไปช่วยผู้เป็นแม่ในทันที ถึงแม้ในแต่ละครั้งจะช่วยได้แค่ทีละนิด
พวกเธอย้ายถุงถ่านทั้งหมดไปเก็บไว้ใต้ชายคาบ้าน ทั้งแม่และลูกสาวเหงื่อไหลท่วมตัว
หลินม่ายเติมน้ำลงในหม้อใบใหญ่ทั้งสองใบ กำชับให้โต้วโต้วคอยนั่งเฝ้าอยู่หน้าเตาจนกว่าน้ำจะอุ่นร้อนขึ้น เพื่อที่สองแม่ลูกจะใช้น้ำต้มดังกล่าวไว้อาบน้ำ
ระหว่างนั้นก็กลับไปเตรียมผักดองต่อ
เธอตั้งใจว่าจะดองผักกาดขาวให้เป็นกิมจิ ส่วนหัวไชเท้ากับกะหล่ำปลีจะดองเป็นซึงฉ่าย(1)
หลังจากจัดการหมักผักดองเสร็จ โต้วโต้วก็ไปอาบน้ำ
สองแม่ลูกชำระล้างร่างกายอย่างสะอาดหมดจด หอมกรุ่นตั้งแต่หัวจรดเท้า
หลินม่ายซักเสื้อผ้า ระหว่างนั้นก็ขอให้โต้วโต้วช่วยแกะกระเทียม เพื่อที่จะใช้เป็นวัตถุดิบในการทำเกี๊ยวคืนนี้
พอได้ยินว่าจะได้กินเกี๊ยวเป็นอาหารมื้อเย็น โต้วโต้วก็มีแรงฮึดในการทำงานขึ้นมาทันที รีบไปลากม้านั่งตัวเล็ก ๆ มานั่งกลางลานบ้าน แล้วเริ่มแกะเปลือกกระเทียมอย่างขยันขันแข็ง
บรรดาเพื่อนตัวน้อยของเธอมาชวนให้ออกไปเล่นด้วยกัน แต่คราวนี้เธอปฏิเสธ แถมยังประกาศอย่างภาคภูมิใจว่าเย็นวันนี้บ้านของเธอจะทำเกี๊ยวกินกัน ดังนั้นเธอจะต้องช่วยแม่แกะกระเทียมเสียก่อน
เด็กน้อยสองสามคนจึงจากไปด้วยความอิจฉา
กระเทียมในปริมาณมากกว่าหนึ่งชั่ง รวมกับเนื้อขาหลังหมูปริมาณครึ่งชั่ง ทำให้สองแม่ลูกสามารถห่อเกี๊ยวได้เกือบหนึ่งร้อยตัว แล้วแบ่งเกี๊ยวส่วนหนึ่งมาทำมื้อเย็นแสนอร่อยกินกัน
นอกจากนี้ หลินม่ายยังชงนมมอลต์ให้โต้วโต้วดื่มอีกด้วย
นี่ถือเป็นครั้งแรกที่โต้วโต้วได้ดื่มนมมอลต์ ดังนั้นเธอจึงชื่นชอบมันมากถึงขั้นกระโดดโลดเต้น
หลินม่ายนำเกี๋ยวอีกหลายตัวที่เหลือไปน็อกน้ำเย็นแล้วเรียบร้อย พรุ่งนี้เช้าเธอกะจะทำเกี๊ยวทอดขาย
ในเมื่อวันพรุ่งนี้ต้องตื่นขึ้นมาตั้งแผงขายเกี๊ยวตั้งแต่เช้าตรู่ พวกเธอจึงต้องรีบเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ
หลินม่ายตั้งเตาเพื่อเคี่ยวซุปกระดูกหมู เมนูเกี๊ยวจะขาดซุปกระดูกไปไม่ได้ ถ้าขาดไปก็เหมือนขาดจิตวิญญาณ
ก่อนเข้านอน หลินม่ายร้อยเชือกใส่รูลูกกุญแจแล้วสวมให้กับโต้วโต้ว ให้เธอคล้องคอไว้ในระหว่างวันจะได้ไม่หล่นหาย อีกหน่อยถ้าเธออยากกลับบ้านเมื่อไหร่จะได้ไขเปิดประตูเข้าไปเองโดยไม่ต้องรอ
โต้วโต้วพลิกลูกกุญแจในมือเล่นไปมาอยู่พักหนึ่ง ไม่นานก็ผล็อยหลับไปบนเตียง
หลินม่ายหยิบผ้านวมขึ้นมาห่มคลุมตัวเธอ ก่อนจะเข้าไปในครัวอีกครั้งเพื่อคว้ามีดทำครัวมาวางไว้ในลิ้นชักโต๊ะข้างเตียง
ก่อนหน้านี้ พวกเธอสองแม่ลูกมีครอบครัวสามคนของเถียหนิวอาศัยอยู่ร่วมชายคา
เถียหนิวเป็นผู้ชายที่ซื่อสัตย์และแข็งแรงพอสมควร ดังนั้นเมื่อมีเขาอยู่ด้วย หลินม่ายจึงไม่ต้องกังวลว่าคนร้ายจะปีนเข้าบ้านในยามวิกาลเมื่อไหร่
ต่างจากตอนนี้ที่ในบ้านมีแค่เธอสองแม่ลูกเท่านั้น ผู้หญิงกับเด็กอาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่ตามลำพัง ถึงยังไงก็ไม่ปลอดภัยนัก
หลินม่ายจึงวางมีดทำครัวลงบนโต๊ะข้างเตียงเตรียมไว้เผื่อได้ใช้ป้องกันตัว ถึงแม้ว่าเวลาเกิดเหตุจวนตัวมันจะไม่ค่อยมีประโยชน์ แต่อย่างน้อยก็ช่วยให้เธออุ่นใจมากขึ้น
หลังจากทำงานหนักมาตลอดทั้งวัน พอหลินม่ายหัวถึงหมอนได้ไม่นานก็ผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว
ดึกดื่นค่อนคืน เมืองที่เคยพลุกพล่านไปด้วยผู้คนที่ใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบก็เหมือนหยุดนิ่ง ทั้งหมู่บ้านยิ่งเงียบสงัด
ท่ามกลางความเงียบงันในยามค่ำคืน จู่ ๆ เสียงผู้ชายคนหนึ่งที่ร้องโหยหวนอย่างน่าสังเวชก็ดังขึ้น
หลินม่ายลืมตาโพลงทันที เมื่อตั้งสติก็ได้ยินอย่างชัดเจนว่าเสียงโหยหวนนั้นดังมาจากทางห้องโถงในบ้าน
เธอรีบตะโกนขอความช่วยเหลือ “โจร มีโจรอยู่ในบ้านฉัน!”
ว่าแล้วก็หันไปหยิบมีดทำครัวบนโต๊ะข้างเตียงขึ้นมา แล้วเดินไปจ่ออยู่หน้าประตูห้องที่ปิดอยู่ ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่กล้าพรวดพราดออกไปซะทีเดียว
เธอกลัวว่าโจรที่อยู่ด้านนอกอาจโหดเหี้ยมเกินรับมือ ถ้ารีบร้อนออกไปอย่างไม่ทันระวังคงโดนมันฆ่าตาย
แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่โจรงัดเข้ามาในห้อง เธอกล้าเอามีดฟันมันหัวแบะแน่! ดังนั้นสิ่งที่เธอทำอยู่ในตอนนี้คือรอจังหวะอยู่เงียบ ๆ
โต้วโต้วสะดุ้งตื่น พอได้ยินเสียงแม่ร้องตะโกนว่ามีโจรขึ้นบ้านก็ตกใจกลัว
ไม่นานหลังจากนั้น พอเพื่อนบ้านได้ยินเสียงเธอร้องขอความช่วยเหลือก็รีบวิ่งเข้ามากระแทกประตูลานบ้านของหลินม่ายทันที ขณะนั้นก็ตะโกนถามว่าเธอกับลูกสาวเป็นอะไรไหม
หลินม่ายตะโกนตอบเสียงดัง “เราสองคนยังปลอดภัยดีค่ะ!”
ทันทีที่พูดจบ เธอก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังตึกตักดังมาจากทางห้องโถง ดูเหมือนว่าโจรคนนั้นคงกำลังหาทางหลบหนี
ขณะเดียวกันนั้น ผู้คนด้านนอกก็ตะโกนขึ้นทันที “มีคนปีนกำแพงหลังบ้านแล้วกระโดดออกไป!”
“ต้องเป็นไอ้โจรชั่วนั่นแน่ ๆ!” ชาวบ้านบางคนตั้งท่าจะไล่ตามไป
ชายชราคนหนึ่งรีบห้ามปราม “อย่าไล่ตามมันเลย มืด ๆ แบบนี้ เราไม่รู้ว่าโจรคนนั้นพกมีดมาด้วยหรือเปล่า เดี๋ยวเราจะโดนดักทำร้ายเอาได้!”
ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังกลัวว่าจะมีโจรอีกคนหลบอยู่ในบ้านของหลินม่าย ชายชราจึงตะโกนเข้าไปในบ้านของหลินม่ายว่า “โจรที่อยู่ข้างใน ฟังให้ดี อย่าคิดทำร้ายร่างกายใครเด็ดขาด ถ้าแกกล้าทำร้ายคน ก็อย่าหวังว่าคืนนี้จะรอดออกไปได้! เร็วเข้า รีบปีนกำแพงด้านซ้ายมือออกไปซะ พวกเราจะไม่จับแก!”
เขายังตะโกนประโยคเดิมติดต่อกันหลายครั้ง แต่ทั้งในบ้านและลานบ้านกลับไม่มีเสียงเคลื่อนไหวใด ๆ
ชาวบ้านคาดเดาไปในทางเดียวกันว่าในบ้านคงไม่มีโจรเหลืออยู่แล้ว ชายชราจึงร้องบอกให้หลินม่ายเปิดประตู
หลินม่ายรีบออกจากห้องนอน ไม่ลืมปิดล็อกประตูอย่างแน่นหนา
ถ้ายังมีโจรซ่อนตัวอยู่ในบ้าน อย่างน้อยโต้วโต้วจะต้องปลอดภัย
เธอค่อย ๆ เดินไปเปิดไฟห้องโถง
ในห้องโถงไม่มีใครหลบอยู่ มีแค่เตากับหม้อที่ล้มระเนระนาด และซุปกระดูกหมูที่หกเลอะเทอะไปทั่ว
ด้วยเหตุนี้บรรยากาศภายในบ้านจึงตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นของซุปกระดูกหมู
หลินม่ายวิ่งไปเปิดประตูบ้านก่อน เพื่อให้ชาวบ้านทั้งหมดเข้ามาตรวจสอบสถานการณ์
ในที่สุดก็ได้รู้ว่าชายชราที่มีภาวะผู้นำสูงสุดในเหตุการณ์เมื่อกี้นี้ ก็คือหัวหน้าหมู่บ้านซานหยาง
เมื่อเห็นว่าหลินม่ายยังคงถือมีดทำครัวไว้แน่น หัวหน้าหมู่บ้านก็อดหัวเราะไม่ได้ “ตอนนี้เธอปลอดภัยแล้วล่ะ ยังต้องพกมีดทำครัวอีกหรือ?”
หลินม่ายรีบอธิบาย “ฉันเปล่าหยิบมีดทำครัวมาต้อนรับพวกคุณนะคะ ก่อนเข้านอนฉันวางมันไว้บนโต๊ะข้างเตียง เผื่อจะได้ใช้มันเป็นเครื่องป้องกันตัว เมื่อกี้นี้ที่รู้ตัวว่าโจรขึ้นบ้าน ก็หยิบติดมือไว้ตั้งแต่ตอนนั้นค่ะ”
กลุ่มคนเดินเข้าไปในบ้านของหลินม่ายเพื่อตรวจสอบความเสียหายของที่เกิดเหตุ พวกเขาทั้งหมดเห็นพ้องตรงกันว่าโจรที่บุกเข้ามาในบ้านท่ามกลางความมืดคงเดินสะดุดถุงถ่านเข้า ทำให้เสียหลักล้มจนโดนหม้อต้มซุปที่ตั้งอยู่บนเตาลวกเอา ถึงได้กรีดร้องโหยหวนแบบนั้น
หัวหน้าหมู่บ้านพูดอย่างโล่งใจ “โชคยังดีที่โจรถูกน้ำร้อนลวกเสียก่อน ไม่อย่างนั้นแล้วผลที่ตามมาอาจเลวร้ายกว่านี้”
หลังจากนั้นทุกคนก็เข้ามาปลอบขวัญหลินม่าย แล้วแยกย้ายกันกลับไป
หลินม่ายปิดประตูลานบ้านตามเดิมแล้วหมุนตัวเดินกลับเข้าบ้าน เห็นว่าโต้วโต้วเปิดประตูออกมารอเธอที่ห้องโถง จึงบอกเธอให้กลับเข้าไปในห้องแล้วห่มผ้าให้มิดชิด
ถึงเทศกาลโคมไฟจะผ่านพ้นไปแล้ว แต่ตอนนี้ก็ยังอยู่ในช่วงปลายฤดูหนาว โดยเฉพาะในตอนกลางคืน อุณหภูมิยิ่งลดต่ำกว่าเดิมจนเหลือแค่ไม่กี่องศา แน่นอนว่าอากาศหนาวเย็นมาก
โต้วโต้วสวมแค่ชุดนอนชั้นเดียว หลินม่ายจึงกลัวว่าเธอจะนอนหนาว
ถ้าเจ้าตัวเล็กเกิดป่วยหรือเป็นหวัดขึ้นมา เธอคงไม่สามารถออกไปตั้งแผงลอยได้ และต้องอยู่บ้านเพื่อคอยดูแลอีกฝ่าย
โต้วโต้ววิ่งกลับไปที่ห้องอย่างเชื่อฟัง พร้อมกับมุดตัวเข้าไปอยู่ใต้ผ้าห่ม
หลินม่ายจัดการทำความสะอาดห้องโถง พอเสร็จแล้วก็กลับเข้าห้องเพื่อนอนต่อ
ในขณะที่เธอกำลังจะเคลิ้มหลับ ก็ได้ยินเสียงเด็กหญิงตัวน้อยที่นอนอยู่ข้าง ๆ ครวญครางเล็ดลอดออกมา ราวกับรู้สึกอึดอัดไม่สบายตัว
หลินม่ายดันตัวเองให้ลุกขึ้น ยื่นมือไปทาบหน้าผากของโต้วโต้วเพื่อวัดอุณหภูมิเบื้องต้น ปรากฏว่าเธอมีไข้ต่ำ ๆ
ที่บ้านไม่มียาลดไข้ หลินม่ายจึงต้องลุกจากเตียงแล้วเข้าครัวอีกครั้ง เพื่อต้มน้ำขิงผสมน้ำตาลทรายแดงให้เธอ ก่อนจะปลุกโต้วโต้วให้ตื่นขึ้นมาจิบในขณะที่ยังร้อน ๆ
หลังจากดื่มน้ำขิงผสมน้ำตาลทรายแดงแล้ว เด็กหญิงตัวน้อยก็มีเหงื่อออกท่วมตัว ไข้ลดลงบ้างแล้ว ในที่สุดก็หลับสบาย
ถึงแม้หลินม่ายจะตกใจตื่นเพราะเหตุระทึกขวัญในตอนเที่ยงคืน และต้องลุกมาดูแลโต้วโต้วที่ไข้ขึ้นกลางดึก แต่เธอก็ตื่นนอนก่อนตีห้าของวันรุ่งขึ้น
เธอเริ่มนวดแป้ง ผสมไส้ ปรุงรส หั่นหอมแดงเตรียมไว้… ใช้เวลาไม่นานทุกอย่างก็พร้อมสำหรับการตั้งแผงขาย
ก่อนออกไปข้างนอก เธออดคิดกังวลไม่ได้ว่าควรปล่อยให้โต้วโต้วอยู่บ้านตามลำพังดีไหม
เธอกลัวว่าถ้าตัวเองออกจากบ้านไปแล้ว เกิดโจรที่ซุ่มอยู่ฉวยโอกาสนี้ปีนขึ้นบ้านอีกครั้ง จะเกิดอันตรายขึ้นกับโต้วโต้วหรือเปล่า?
หลังจากคิดอยู่หลายตลบ ท้ายที่สุดเธอก็ตัดสินใจปลุกโต้วโต้วให้ตื่น พาไปล้างหน้าให้สดชื่น แล้วจับเธอแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่ค่อนข้างหนา แล้วพาเธอเดินออกจากบ้านไปด้วยกัน
ยังไม่ทันที่สองแม่ลูกจะเดินออกไปจนพ้นเขตหมู่บ้าน ก็ได้พบเจอกับชาวบ้านหลายคนระหว่างทาง ซึ่งพวกเขาก็กำลังจะออกไปตั้งแผงขายของที่ท่าเรือเหมือนกัน หลินม่ายจึงเป็นฝ่ายทักทายพวกเขาก่อน
ในบรรดาชาวบ้านเหล่านี้ หนึ่งในนั้นคือแม่ของต้าเป่า
หลินม่ายริเริ่มทักทายหล่อนก็จริง แต่อีกฝ่ายกลับแสดงสีหน้าเฉยเมยกลับ ทำเหมือนกับว่าหลินม่ายเคยไปติดค้างยืมเงินหล่อนไว้แล้วไม่ยอมคืนอย่างไรอย่างนั้น
พอเห็นว่าอีกฝ่ายดูไม่อยากผูกมิตรด้วย หลินม่ายก็ไม่คิดจะพูดคุยกับหล่อนอีก
ชาวบ้านหลายคนต่างหันหน้าซุบซิบกัน บ้างก็ถามหลินม่ายเกี่ยวกับเรื่องที่โจรปีนขึ้นบ้านของเธอเมื่อคืนนี้
ในขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกันอย่างจริงจัง แม่ต้าเป่าก็พูดแทรกขึ้นมาพร้อมกับทำสีหน้ามืดมน “ฉันว่านะแม่โต้วโต้ว ถึงเมื่อวานนี้ต้าเป่าของฉันจะรังแกโต้วโต้วของเธอสองรอบก็จริง แต่นั่นก็แค่เรื่องทะเลาะกันตามประสาเด็กเท่านั้นเอง เธอไม่เห็นต้องทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่จนต้าเป่าถูกพ่อของเขาทุบตีเลย!”
หลินม่ายชักสีหน้าทันทีเมื่อเห็นว่าผู้หญิงคนนี้ไม่รู้จักแยกแยะดีชั่ว ทั้งที่ลูกของหล่อนเป็นฝ่ายผิดแท้ ๆ ยังคิดมากล่าวหาเธอเสียอย่างนั้น
……………………………………………………..
ซึงฉ่าย หรือเกี่ยมฉ่าย คือผักดองรสชาติเค็มปนเปรี้ยว นำผักไปดองกับเกลือและน้ำต้มสุก ประเภทผักดองที่คนไทยนิยมกินกับข้าวซอย ต่างจากกิมจิที่มีรสชาติเผ็ดปนเปรี้ยว
สารจากผู้แปล
จะมากล่าวหากันแบบนี้ไม่ได้นะคะ
ไหหม่า(海馬)