บทที่ 84 ตระหนักรู้ท้องทะเล

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 84 ตระหนักรู้ท้องทะเล

สวี่ชิงมองเห็นอย่างชัดเจนว่าตัวตนที่น่ากลัวใต้ทะเลเวลานี้ยังไม่ได้จากไปไหนผ่านวาฬบรรพกาลในทะเล

ส่วนร่างกายบิดงอที่ห่างออกไปก็หยุดลงทันที คอยาวอสูรส่ายไหว ศีรษะที่เหมือนมังกรเหมือนจระเข้หันมาทางพวกเขา

สายตาเย็นชาแผ่จิตสังหารออกมา เพ่งเล็งไปที่เรือสวี่ชิงรวมไปถึงวาฬบรรพกาลอยู่ข้างใต้ด้วย ราวกับกำลังชั่งน้ำหนักความแข็งแกร่งของเหยื่อ พร้อมโจมตีตลอดเวลา

ร่างของมันราวกับเป็นเพนกวินตัวมหึมาขนาดประมาณสองร้อยจั้ง ครีบมังกรใหญ่โตทั้งสี่สั่นไหวเล็กน้อย ด้านบนมีเพรียงเกาะแผ่หนวดเล็กออกมานับไม่ถ้วนอยู่เต็มไปหมด ที่น่าตกตะลึงก็คือลำคอเล็กที่ยาวเกินจริงของมันมีหนามแหลมสีดำเรียงรายอยู่

เป็นอสูรคอยาวบรรพกาลจริงๆ!

นี่เป็นสิ่งที่บันทึกท้องสมุทรเอ่ยถึง หนึ่งในนักล่าที่พบได้บ่อยในทะเลต้องห้าม

สวี่ชิงหายใจหอบถี่แต่ยังคงรักษาความสงบ ประสบการณ์ในป่าพื้นที่ต้องห้ามทำให้เขารู้ว่าเมื่อเผชิญหน้ากับอสูรร้ายที่แข็งแกร่ง ต่อให้มีความเป็นไปได้ที่อาจไม่มีการต่อสู้เกิดขึ้น ก็ห้ามแสดงท่าทางขลาดเขลาออกมาโดยเด็ดขาด

โดยเฉพาะอสูรคอยาวบรรพกาลที่บันทึกท้องสมุทรบรรยายไว้ มีนิสัยรอบคอบ ดังนั้นถ้ามันรู้สึกว่าศัตรูไม่ควรไปยั่วยุ ส่วนใหญ่ก็จะหนีไปก่อน

พอคิดถึงจุดนี้ ดวงตาสวี่ชิงก็เปล่งประกายเย็นเยียบ

“พวกเจ้าทั้งสองคน แผ่พลังบำเพ็ญทั้งหมดออก สร้างพลานุภาพขึ้นมา!”

ศิษย์พี่ติงก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ทำตามทันที พลังบำเพ็ญระเบิดออกมาอย่างรุนแรง ก่อคลื่นขึ้นมา เจ้าจงเหิงแม้จะโง่เขลา แต่ก็ไม่ได้โง่จนกู่ไม่กลับ รีบร้อนแผ่พลังบำเพ็ญ และควบคุมเรือวิหคหงส์อยู่ในสภาพพร้อมโจมตี

ทั้งหมดนี้ ทำให้อสูรคอยาวบรรพกาลใต้ทะเลกระสับกระส่ายขึ้นมา ร่างกายเคลื่อนที่เชื่องช้า แต่เห็นได้ชัดว่าไม่คิดจะยอมแพ้

สวี่ชิงหรี่ตาลง ร้องเชอะเย็นชา ทำปางมือด้วยมือข้างเดียว ใบเรือทั้งแปดของเรือเวทหุบลงทันที ขณะที่การป้องกันรอบด้านเปิดขึ้น พลังบำเพ็ญในร่างกายเขาก็โคจรสุดกำลังในเวลานี้

ขณะที่ส่งเสียงครืนครัน กลิ่นอายเคล็ดคีรีสมุทรขั้นแปดก็ระเบิดออกฉับพลัน เงาป๋าปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของเขา

ผิวหนังที่แตกแห้ง ร่างกายสีดำ เขาเดี่ยวหมุนเกลียว และยังมีดวงตาสีชาดบ้าคลั่ง ทำให้พริบตาที่ป๋าปรากฏก็มีเสียงคำรามดุร้ายพุ่งลงไปใต้ท้องทะเล

ยิ่งมีอุณหภูมิสูงร้อนแรงที่น่าตกตะลึงแผ่กว้างออกไป

และอุณหภูมิสูงประหลาดนี้เหมือนใช้น้ำดับไม่ได้ ผิวทะเลรอบด้านปรากฏไอน้ำจากการถูกทำให้เดือดขึ้นบางส่วน ทำให้บนทะเลรอบๆ ดูเลือนราง อสูรคอยาวบรรพกาลเองก็กระสับกระส่ายขึ้นมา เหมือนรู้สึกหงุดหงิดกับการเปลี่ยนแปลงกะทันหันนี้ เริ่มถอยออกห่าง แต่ไม่มากนัก

ฉากนี้ทำให้ศิษย์พี่ติงถลึงตาโต ดวงตาเผยประกายแรงกล้า เจ้าจงเหิงทางนั้นเองก็สูดลมหายใจลึก สายตาที่มองไปทางสวี่ชิงก็ตกตะลึงขึ้นอีกครั้ง

สวี่ชิงไม่สนใจพวกเขาทั้งสองคน เวลานี้ความสนใจทั้งหมดล้วนตกอยู่บนอสูรคอยาวบรรพกาล ต่อจากเคล็ดคีรีสมุทร เขาก็กระตุ้นคัมภีร์แปรสมุทรสุดกำลังโดยไม่ลังเล น้ำทะเลรอบๆ เรือเวทกลายเป็นกระแสมืดหลั่งทะลัก และยังมีกลิ่นอายวาฬบรรพกาลระเบิดอย่างบ้าคลั่ง พุ่งเป้าไปที่อสูรคอยาวบรรพกาล

ไม่เพียงแค่นี้ เขาเดี่ยวของเรือเวทสวี่ชิงรวมไปถึงขาทั้งสี่ก็ล้วนแผ่แสงเจิดจ้า พร้อมด้วยพลานุภาพรุนแรงแผ่กว้างออกไป

การกลืนกินที่แฝงอยู่ในเขาเดี่ยว รวมไปถึงคมดาบสามพันกว่าเล่มในขาแต่ละข้าง เวลานี้เตรียมพร้อมจะระเบิดออกเรียบร้อย เย็นเยียบน่าตกตะลึง จนทำให้อสูรคอยาวบรรพกาลสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง หนามแหลมเป็นแผงที่คอกวัดแกว่งขึ้นอย่างรวดเร็ว สัมผัสได้ถึงพลานุภาพที่รุนแรงอย่างเห็นได้ชัด จึงเริ่มคุมเชิงกับสวี่ชิง

ดวงตาที่หลอมรวมกันของสวี่ชิงกับวาฬบรรพกาล จ้องเขม็งเย็นชา

ผ่านไปหนึ่งชั่วก้านธูปเช่นนี้

อสูรคอยาวบรรพกาลตัวนั้นว่ายวนรอบหนึ่ง เมื่อสังเกตเห็นว่าสวี่ชิงไม่ควรไปยั่วยุ จึงค่อยๆ ถอยหนี สุดท้ายร่างกายก็ไหววูบ ปล่อยวางเรื่องการล่าแล้วหายตัวห่างไป

สวี่ชิงไม่ได้ผ่อนความระแวดระวัง ยังรักษายุทโธปกรณ์เหล่านี้ไว้ ควบคุมเรือเวทเคลื่อนย้าย จนกระทั่งเรือเวทออกห่างจากเขตทะเลพื้นนี้ประมาณครึ่งวัน เขาจึงผ่อนลมหายใจลึกออกมา

ศิษย์พี่ติงที่อยู่ข้างๆ กับเจ้าจงเหิงที่อยู่บนเรือวิหคหงส์ ก็ต่างพากันโล่งใจ

“บันทึกท้องสมุทรบอกว่าอสูรทะเลบางส่วนมีนิสัยไม่ชอบเสี่ยง จะลงมือตอนที่มั่นใจว่าจะชนะได้เท่านั้น และก็เป็นเช่นนี้จริงๆ”

สวี่ชิงเงยหน้าขึ้น มองไปยังมหาสมุทรเบื้องหน้า

เขารู้ว่าที่นี่อันที่จริงก็เป็นแค่ทะเลรรอบนอกเท่านั้น ยังห่างจากเขตพื้นที่ทะเลส่วนลึกอีกไกล

แต่ระยะแค่นี้ก็ยังอันตรายเสียถึงเพียงนี้ แค่คิดก็รู้แล้วว่าทั้งท้องทะเลนี้ จะต้องประหลาดและอันตรายอย่างมากแน่นอน

ดังนั้นสายตาของสวี่ชิงจึงมองไปยังท้องฟ้า ที่เสี้ยวหน้าเทพเจ้า

ทั้งหมดนี้ ล้วนเกิดจากการมาถึงขององค์ท่าน

การปรากฏตัวขององค์ท่าน เปลี่ยนแปลงสรรพชีวิต ทำให้ทั้งหมดกลายเป็นโหดเหี้ยมและน่ากลัวขึ้น

สวี่ชิงนิ่งงัน มองไปยังมหาสมุทร นานพอควร…สมองของเขาถึงค่อยๆ ปรากฏภาพของอสูรคอยาวบรรพกาลเมื่อครู่ ในสายตาเผยแววครุ่นคิดออกมา

‘รูปร่างของอีกฝ่าย ดูเหมือนจะเหมาะกับการใช้ชีวิตในทะเลต้องห้ามมาก’

สวี่ชิงครุ่นคิดในใจ หลังจากจึงนั่งลงขัดสมาธิสองมือประกบปาง วาฬบรรพกาลทะเลต้องห้ามใต้เรือ รูปร่างก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปตามการทดลองของเขาทันที

ขณะเดียวกัน ศิษย์พี่ติงกับเจ้าจงเหิงที่รอดพ้นจากอันตราย ตอนนี้นอกจากการผ่อนใจโล่งแล้ว ก็ล้วนมองไปทางสวี่ชิง คนแรกเปล่งประกายยิ่งกว่าเดิม ส่วนคนหลังในความขมขื่นยังคงมีความหวาดผวาหลงเหลืออยู่

ถึงแม้จะไม่เห็นสวี่ชิงลงมือ แต่พลังความแข็งแกร่งของเขารวมไปถึงความน่ากลัวของเงาป๋าเมื่อครู่ และยังมีตัวตนวาฬบรรพกาลทะเลต้องห้าม ที่ทำให้พวกเขาทั้งสองคนเข้าใจชัดเจนว่าสวี่ชิงตรงหน้านี้จึงแข็งแกร่งขึ้นกว่าก่อนหน้านี้เป็นแน่

“เลือดลมหลอมเป็นเงา สกุลสวี่นี้ไม่เพียงแต่คัมภีร์แปรสมุทรกลายเป็นวาฬบรรพกาลทะเลต้องห้ามเท่านั้น ฝึกกายาก็ยังไปจนถึงขั้นบริบูรณ์อีก ทำไมเขาถึงแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้!!”

“ศิษย์น้องสวี่คนนี้ไม่ใช่แค่หน้าตาดี แต่พลังบำเพ็ญก็ยังล้ำลึกยิ่งกว่าก่อนหน้าเสียอีก ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่แน่ว่ายังมีวิชาที่ซ่อนไว้ไม่ยอมใช้ออกมาอีก ภายภาคหน้าคนเช่นนี้มีความเป็นไปได้สูงที่จะไปถึงสร้างฐาน…”

ตอนที่อารมณ์ของพวกเขาแตกต่างกัน วาฬบรรพกาลใต้เรือเวทสวี่ชิง ก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงมากขึ้นเรื่อยๆ

คอของมันค่อยๆ เรียวยาว มีหนามแหลมแผงหนึ่งปรากฏขึ้น ร่างกายมีครีบสี่ครีบ ใกล้เคียงกับอสูรคอยาวบรรพกาลมากขึ้นเรื่อยๆ

ความรู้สึกก้าวข้ามอดีตเปลี่ยนเป็นความโหดร้ายยิ่งกว่า รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จากที่ตัวมันเกิดการเปลี่ยนแปลง

ก่อนหน้าจะได้เห็นกับอสูรคอยาวบรรพกาล สวี่ชิงไม่ได้ศึกษาละเอียดลึกซึ้ง แต่ตอนนี้เมื่อได้มาเห็น เขารู้สึกว่ารูปร่างอีกฝ่ายสามารถเร่งความเร็วได้รวดเร็วยิ่งกว่า ยิ่งไปกว่านั้นยังมีความคล่องแคล่วและพลังโจมตียิ่งกว่าในด้านการล่า

ขณะเดียวกัน รอบด้านของเขา ปลาดาบกำลังก่อตัวขึ้นมาทีละตัวๆ ใต้ทะเล นกทะเลบรรพกาลแต่ละตัวก็ปรากฏเป็นภาพมายาออกมา กระทั่งยังมีร่างของคนยักษ์ขนาดเล็กร่างหนึ่งปรากฏขึ้นลางๆ อีกด้วย และก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นมาจากการรวมตัวของหยดน้ำจากการไหลเวียนของคัมภีร์แปรสมุทร

จนพริบตาต่อมา วาฬบรรพกาลที่ถูกสวี่ชิงเปลี่ยนรูปร่างก็ลอยโผล่พ้นน้ำขึ้นมาท่ามกลางเสียงครืนครันของผิวทะเลเปล่งเสียงคำรามกลางอากาศ ปลาดาบหลายตัวลอยตามขึ้นมา กลายเป็นสายรุ้งใต้แสงตะวันหลายสาย

ฉากนี้ทำให้ศิษย์พี่ติงกับเจ้าจงเหิงถลึงตาโต เมื่อสัมผัสถึงคลื่นพลังวิญญาณคัมภีร์แปรสมุทรยอดเขาลำดับเจ็ดบนตัวเขาก็สติขาดห้วงไป

ใช่ว่าศิษย์ที่ฝึกคัมภีร์แปรสมุทรขั้นแปดทั้งหมดจะสามารถควบคุมถึงระดับสุดยอดจนสร้างวาฬบรรพกาลออกมาได้

และใช่ว่าศิษย์ทั้งหมดที่สร้างวาฬบรรพกาลขึ้นมาได้จะสามารถตระหนักรู้การควบคุมระดับสูงสุดจนเปลี่ยนแปลงสภาพของวาฬบรรพกาลได้

ทั้งหมดนี้ทำให้ศิษย์พี่ติงกับเจ้าจงเหิง แต่เดิมที่จิตใจตกตะลึงอยู่แล้วยิ่งสั่นสะท้านมากขึ้น

จะอสูรคอยาวบรรพกาลก็ดี หรือจะปลาดาบก็ช่าง สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่ใช่ภาพของวิชาเวทที่บันทึกไว้ในคัมภีร์แปรสมุทร แต่เป็นการตระหนักรู้จากการออกทะเลครั้งนี้ของสวี่ชิง

มหาสมุทร ก็ราวกับเป็นผู้รู้แจ้งท่านหนึ่ง

ขณะที่ลึกซึ้งและแปลกประหลาด ขณะเดียวกันก็สามารถเสี้ยมสอนได้โดยไม่ต้องเอ่ยกล่าว ทำให้คนฉลาดได้รับการชี้นำ ได้รับการสั่งสอน

เวลาที่ผ่านไปอย่างแช่มช้าเช่นนี้ ตลอดเส้นทางหลังจากนั้น เจ้าจงเหิงยิ่งขมขื่นขึ้น ก้มหน้าหมดอาลัยตายอยาก เขาตระหนักได้แล้วว่าสวี่ชิงคนนี้…ตนทำอะไรไม่ได้ ความเป็นไปได้ที่อีกฝ่ายจะไปยังระดับสร้างฐานในอนาคตสูงมาก และถ้าเข้าสู่ระดับสร้างฐาน เวลาเจอเขาตนเองก็จำเป็นต้องก้มหน้าแสดงความเคารพ

เขาเองก็ไม่อยากจะไปขอร้องกับท่านปู่ด้วยเรื่องนี้ เพราะเขาไม่กล้า ก่อนหน้านี้ก็ใช่ว่าไม่เคยพบกับเรื่องคล้ายกันนี้ ทว่าผลลัพธ์ที่ออกมาแม้อีกฝ่ายจะเจ็บหนัก แต่ตนเองก็น่าเวทนาเช่นเดียวกัน หลายครั้งที่เขาคิดว่าจะถูกท่านปู่ตีจนตายเสียแล้ว

ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงภาวนาให้การเดินทางจบลงโดยเร็ว ให้สวี่ชิงห่างออกไปไวๆ

หลายวันต่อมาคลื่นทะเลของมหาสมุทรก็เรียบสงบด้วยการภาวนาของเขา ทั้งสามคนก็ไม่พบกับอันตรายใดอีก เรือเวทค่อยๆ เข้าใกล้หมู่เกาะปะการังตะวันตก จนกระทั่งมองเห็นโครงร่างของหมู่เกาะอยู่ลิบๆ

ศิษย์พี่ติงก็ยังรักษาไมตรีจิตในระดับสูงลิบเอาไว้ตลอดการเดินทางตั้งแต่ที่เหยียบขึ้นเรือ วัตถุดิบที่จ่ายออกไปเพื่อความรู้ มูลค่าก็เหมือนจะอยู่ที่สามร้อยหินวิญญาณแล้ว

สิ่งนี้ทำให้สวี่ชิงมองออกถึงความปรารถนาและความเคารพต่อความรู้ของศิษย์พี่ติง เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายก็ไม่ได้เลวร้ายนัก ถึงอย่างไรที่ตนเองออกมาล่าในทะเลครั้งนี้ ถ้าหากไม่ราบรื่นล่ะก็บางทีอาจจะยังไม่ได้รับมามากขนาดนี้…

ทว่าเมื่อนึกถึงตอนที่ตนเองต้องเสียเวลาการบำเพ็ญไปมหาศาลเพื่อมาอธิบายความรู้ด้านสมุนไพรแก่อีกฝ่าย ยิ่งไปกว่านั้นตลอดทางก็ยังมีหน้าที่คอยปกป้องอีกด้วย ดังนั้นหลังจากสวี่ชิงชั่งน้ำหนักในใจ ก็รู้สึกว่าการแลกเปลี่ยนระหว่างกันครั้งนี้สมเหตุสมผลดี

แต่ในช่วงครึ่งวันสุดท้าย สวี่ชิงก็ยังคงตอบกลับการสอบถามของศิษย์พี่ติงอย่างอดทน แต่ไม่ได้เก็บวัตถุดิบจากอีกฝ่ายแล้ว เขารู้สึกชื่นชมการใฝ่เรียนของศิษย์พี่ติงมาก

ส่วนเจ้าจงเหิงเมื่อเห็นภาพนี้ ในใจกลับทอดถอนอย่างสิ้นหวัง เขารู้สึกว่าเมื่อเจ้าหนุ่มสำอางนั่นเริ่มไม่เก็บเงิน ก็แสดงว่ากำลังจะลงมือแล้ว…

จึงเงยหน้ามองไปยังหมู่เกาะปะการังตะวันตกที่ห่างออกไป อยากจะไปให้ถึงที่นั่นเสียเดี๋ยวนี้ สิ้นสุดการเดินทางเสียที แล้วให้สวี่ชิงออกไปไกลๆ

และตะวันยามเย็นก็ค่อยๆ ลับฟ้าจากการเดินทางของทั้งสามคน ถึงแม้ศิษย์พี่ติงจะดูอาลัยอาวรณ์ แต่หมู่เกาะปะการังตะวันตกก็ยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ในดวงตาพวกเขา

จนพอมาถึงเป้าหมายของศิษย์พี่ติง ในใจเจ้าจงเหิงก็ตื่นเต้นถึงขีดสุด มองไปยังศิษย์พี่ติงที่อยู่บนเรือของสวี่ชิงอย่างคาดหวัง

“ศิษย์น้องสวี่ เจ้าจะไม่ไปกับพวกข้าจริงหรือ ข้าจะไปคารวะผู้อาวุโสคนหนึ่ง เป็นน้าเล็กของข้า พลังบำเพ็ญนางลึกซึ้งสูงส่ง ชอบให้คำแนะนำกับคนรุ่นหลัง ถ้าเจ้ามาด้วยจะได้ประโยชน์ไม่น้อยแน่นอน” ก่อนศิษย์พี่ติงลงจากเรือ หันหลังไปมองสวี่ชิงเอ่ยชักชวน

เจ้าจงเหิงในใจเต้นตึกตึกขึ้นมาฉับพลัน หัวใจจุกขึ้นมาบนคอหอย จ้องเขม็งที่สวี่ชิง กลัวว่าสวี่ชิงจะพยักหน้า

“ไม่ไปหรอก ข้ายังมีเรื่องต้องไปจัดการ ศิษย์พี่ติงดูแลตัวเองด้วย”

ใบหน้าสวี่ชิงเผยรอยยิ้มอย่างมีมารยาทออกมา เมื่อศิษย์พี่เดินเหลียวหลังหลายครั้งและลงจากเรือเวทจนขึ้นฝั่ง เรือเวทสวี่ชิงจึงส่งเสียงอู้อี้ ค่อยๆ แล่นถอยออกมา หมุนเปลี่ยนทิศทางเพื่อขับห่างออกไป

บนฝั่งของเกาะด้านหลังเขา ชุดนักพรตของศิษย์พี่ติงโบกสะบัดเส้นผมดำปลิวสยายท่ามกลางลมทะเล ใบหน้างามเงยขึ้น ดวงตาสุกสกาวจ้องมองสวี่ชิงบนเรือเวทที่ห่างออกไป จู่ๆ ก็ตะโกนขึ้นเสียงดัง

“ศิษย์น้องสวี่ชิงรักษาตัวด้วย รอจบการเดินทางครั้งนี้ หลังจากกลับสำนักแล้ว ข้าจะไปหาเจ้าขอคำชี้แนะต่อ”

เจ้าจงเหิงฟังถึงจุดนี้ ในใจก็เต้นตึกตักอีกครั้ง ใบหน้าเศร้าสลดเหมือนจะร้องไห้ออกมา

สวี่ชิงบนเรือเวทพอได้ยินก็พยักหน้าเล็กน้อย โบกมือ ควบคุมเรือเวทให้ค่อยๆ เคลื่อนสู่มหาสมุทร

จากการออกห่างตัวเกาะ จากที่เรือเวทกลับมาสงบเงียบ สีหน้าของสวี่ชิงก็เรียบนิ่งลงมาเช่นกัน มีความเฉียบคมปรากฏขึ้น

เขาที่ยืนอยู่บนเรือเวทดูคล้ายกับกระบี่คมเล่มหนึ่งที่ชักออกจากฝัก สายตาที่เปลี่ยนไปเย็นชา จับจ้องไปยังทะเลต้องห้ามด้านหลังหมู่เกาะไกลๆ

ทิศทางนั้น ก็คือเป้าหมายของเขา ตำแหน่งของเกาะกิ้งก่าทะเล

อย่างมากสองวันเขาก็จะถึงจุดหมายด้วยความเร็วของเขาในปัจจุบัน และในฐานะที่เกาะกิ้งก่าทะเลเป็นแหล่งต้นกำเนิดทรัพยากรสาธารณะของคราบกิ้งก่าทะเล ที่นี่จะต้องมีการต่อสู้เข่นฆ่ากันเป็นแน่

ดวงตาของสวี่ชิงมีประกายเย็นวาบ การเดินทางในมหาสมุทรหลายวันมานี้ ขณะที่ทำให้เขาคุ้นเคยกับทะเลต้องห้ามยิ่งขึ้น ก็ยัง…เตรียมพร้อมในการลงมือเรียบร้อยแล้วอีกด้วย

“ต้องระวังให้มากขึ้น…”

สวี่ชิงพึมพำ มือขวาพัดโบก เรือเวทส่วนล่างก็ระเบิดความเร็วขึ้นอีกครั้งทันที เดินหน้าหวีดหวิวไปบนผิวทะเล เข้าใกล้เกาะกิ้งก่าทะเลมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการนำทางของแผนที่ทะเล

ระหว่างทาง เขาเริ่มจัดการกริชของตนเอง สวมถุงมือ ลับคมเหล็กแหลมสีดำ จัดระเบียบยาพิษบนตัว

หนึ่งวัน สองวัน…

จนตอนที่ยามเย็นวันที่สามแผ่ซ่านไปยังท้องฟ้า แสงสีแดงยามเย็นลอดผ่านร่องเมฆสาดส่องลงบนผืนมหาสมุทร สายลมทั่วผืนทะเลบ้าคลั่งขึ้นมาอย่างชัดเจน ในที่สุดเกาะแห่งหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของสวี่ชิง

เกาะแห่งนี้สีดำสนิทราวกับอยู่ด้านในหมอกดำ ราวกับซ่อนอสูรร้ายกินคนไว้ กลิ่นเน่ากับความชื้นหมุนวนรอบฟ้าดิน ส่งความแห้งเหี่ยวและความตายออกมา

รอบด้านมีเศษซากเรือนับร้อยลอยกระจายอยู่ แต่ละลำมีลักษณะแตกต่างกัน และล้วนไม่ใช่เรือของยอดเขาลำดับเจ็ด

บนชายหาดยังมีซากศพของมนุษย์และสัตว์ที่ไม่รู้ว่าตายไปนานเท่าไรแล้วอยู่บางส่วน ให้ความรู้สึกเยือกเย็นมืดมนให้แก่คนที่พบเห็น

เมื่อมองขึ้นไปอีก ในตัวเกาะมีป่าภูเขาสีดำล้อมรอบ ทิวเขาสลับทับซ้อน บรรยากาศหนาวเหน็บ เต็มไปด้วยแรงกดดันเช่นเดียวกับเมฆดำยามเย็นเวลานี้ กดลึกลงมาทั่วสารทิศ

สายตาที่ซ่อนอยู่ในภูเขาและป่าหลายสายก็ราวกับเบิกโพลงขึ้นฉับพลัน จ้องเขม็งเย็นเยียบตามการเข้าใกล้ของเรือเวทสวี่ชิง

สวี่ชิงสัมผัสความไม่เป็นมิตรในสายตาได้อย่างชัดเจน เขาเงยหน้าขึ้น ดวงตาหรี่ลงช้าๆ สีหน้าเรียบสงบ แต่บนร่างกายกลับแผ่กลิ่นอายคมกริบดุจใบมีดออกมา ราวกับเป็นหมาป่าเดียวดาย จนทำให้สายตาเหล่านั้นทยอยแข็งค้าง พากันหดกลับไปหลังจากที่สัมผัสถึง

สวี่ชิงสีหน้าไร้อารมณ์ ร่างกายเหยียบลงบนหาดทราย โบกมือเก็บเรือเวท ปัดฝุ่นผงบนตัวออก เดินตรงไปยังป่า ตอนที่เดินผ่านศพที่อยู่รอบๆ เขาก้มหน้าชำเลืองมองผาดหนึ่ง