บทที่ 64 ร้านเป่าชิงเก๋อ

ตอนนี้เถียนซื่อมองข้ามหัวเฉียนกุ้ยอิงไปแล้ว ผู้หญิงคนนี้เป็นพวกนกสองหัว เถียนซื่อมองนางอย่างเพ่งเล็ง

“เฉียนกุ้ยอิง! ข้าซื้อเสื้อผ้าจากร้านของเจ้ามา ตอนเช้าข้าซักผ้าแล้วพบว่าผ้าเป็นรูมีตำหนิอยู่หลายที่ คุณภาพแย่มาก! ต่อไปข้ากับเพื่อนจะไม่ไปช่วยอุดหนุนร้านของสามีเจ้าอีกแล้ว ส่วนงานปักผ้าที่ข้าส่งให้เจ้าทำครั้งก่อน ข้าคงไม่รบกวนเจ้าแล้ว ข้าเจอคนที่ทำได้ดีกว่าแล้ว เจ้าไม่ต้องทำที่เหลือแล้วนะ เงินค่าแรงที่เสียไปข้าจะจ่ายให้เจ้าวันหลัง”

สามีของเฉียนกุ้ยอิงเป็นเจ้าของร้านขายเสื้อผ้าและเถียนซื่อมีเพื่อนอีกทั้งคนรู้จักมากมาย ดังนั้นการคบหากับเถียนซื่อจึงทำให้เฉียนกุ้ยอิงได้รับงานและผลประโยชน์จากเถียนซื่ออย่างมากมาย รวมถึงเครื่องประดับที่เถียนซื่อมอบให้ หากสามีรู้ว่านางไม่สามารถรักษาความสัมพันธ์ฉันมิตรกับเพื่อนบ้านผู้นี้เอาไว้ได้แล้ว เขาคงจะไม่สบอารมณ์อย่างแน่นอน

และงานปักผ้าเหล่านั้น…

สามีของนางเข้มงวดในเรื่องการใช้จ่ายมาก เฉียนกุ้ยอิงมีรายได้เสริมมาจากการปักงานเหล่านี้ จนทำให้นางพอมีเงินใช้จ่ายส่วนตัวได้บ้าง ไม่เช่นนั้นแล้วแม้แต่ชาดนางก็ไม่อาจจะตัดใจซื้อได้เลยด้วยซ้ำ ใบหน้าของหญิงสาวซีดเผือด ก่อนจะยิ้มฝืดเฝื่อนออกมา

“พี่สาวเถียน…”

เถียนซื่อไม่สนใจเฉียนกุ้ยอิงอีกต่อไป นางเดินไปเคาะประตูบ้านถังหลี่ หลังจากที่ประตูถูกเปิดออก นางก็ยื่นของให้หญิงสาวก่อนจากไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ

ในใจของนางคิดถึงสิ่งที่นางเคยคิดดูถูกถังหลี่ มันสะท้อนให้เห็นว่าเถียนซื่อนั้นเป็นหญิงที่โง่เง่าและไร้ยางอายมากเพียงใด

……

ถังหลี่ไม่ได้ทำงานมาสักพักใหญ่แล้ว นางกำลังให้ความสนใจกับกิจการใหม่ เดิมทีถังหลี่ไม่ได้รู้จักเมืองนี้ดีเท่าเถ้าแก่จาง ดังนั้นนางถึงถามเขาหลายอย่างเกี่ยวกับสถานการณ์ในเมืองเหยาสุ่ย

จากข้อมูลที่ได้รับมาจากเถ้าแก่จาง ถังหลี่พบว่าเป็นไปได้ยากมากที่จะเปิดร้านอาหารในเมืองนี้ เนื่องจากภัตตาคารต่าง ๆ ดำเนินกิจการโดยตระกูลใหญ่ ๆ จนยากที่บุคคลภายนอกจะเติบโตในวงการค้านี้ได้ ดังนั้นธุรกิจเครื่องสำอางหรือแป้งชาดน่าจะมีโอกาสมากกว่า

ในเมืองนี้แต่เดิมเคยมีร้านที่มีชื่อเสียงร้านหนึ่งชื่อว่า ‘เป่าชิงเก๋อ’ แต่เนื่องจากหัวหน้าครอบครัวเสียชีวิตลง ทำให้ลูกสาวคนเดียวต้องรับช่วงต่อแต่ชาดที่ผลิตออกมาก็ไม่สามารถรักษาคุณภาพไว้ได้ จนมีปัญหานี้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง

ในปัจจุบันจึงมีพ่อค้าหลายคนพยายามจะทำร้านขายชาด เพื่อจะเปิดตลาดให้ได้ แต่ก็ไม่มีผู้ใดทำสำเร็จ เป็นเพราะยังไม่มีสูตรที่ดีพอ ทำให้ตลาดขายชาดในเมืองซบเซาลง

ถังหลี่เป็นพวกมีหัวการค้า นางจึงมองเห็นโอกาสนี้ ดังนั้นในวันรุ่งขึ้นถังหลี่จึงพาเด็กทั้งสองไปตลาด นางไปเยี่ยมชมร้านขายชาดอยู่สองแห่ง แต่ดูเงียบเหงาขายไม่ค่อยดีนัก ในขณะที่นางกำลังเดินอยู่นั้น ก็มีคนเข้ามาขวางทางนางไว้ เป็นชายแก่แต่งกายหรูหราฟันเป็นคราบสีเหลือง อยู่ในสภาพเมาสุรา เขามองถังหลี่เขม็ง

“คนสวย!!” ชายแก่วิ่งตรงมาหาถังหลี่ หญิงสาวเบี่ยงไปด้านข้างหลบการจู่โจมจากเขา

“นี่ สาวน้อย อย่าหนีเลย!”

“แม่นาง เจ้ารู้ไหมว่านายท่านของข้าคือใคร? มากับนายข้าดีกว่า เจ้าจะได้มีเงินมีทองจับจ่ายหรูหราฟู่ฟ่าอย่างไรเล่า?

ถังหลี่ไม่สงวนท่าทีอีกต่อไป นางเตะชายแก่จนล้มลงไปกองที่พื้นก่อนที่จะถุยน้ำลายใส่หน้าอย่างจัง…ชายแก่โกรธจัดตะโกนขึ้นว่า

“พวกเจ้า! ไปจับนังบ้านี่มาให้ข้าเดี๋ยวนี้!”

บ่าวรับใช้ตัวใหญ่ของเขาพุ่งตรงเข้ามาเพื่อจะจับถังหลี่ หญิงสาวเค้นหัวเราะอย่างโกรธจัด กลางวันแสก ๆ พวกเขากล้ายังทำการจาบจ้วงฉุดคร่าคนอย่างโจ่งแจ้ง ชายแก่คนนี้เป็นชาวเมืองเหยาสุ่ยหรือ?

หากเมื่อถังหลี่กวาดตามองไปรอบ ๆ นางเห็นผู้คนค่อย ๆ ถอยห่างออกไป ไม่มีใครกล้ายื่นมือมาช่วยนางแม้แต่คนเดียว พวกเขาได้แต่มองถังหลี่ด้วยแววตาเห็นใจ เห็นได้ชัดว่าตาแก่ผู้นี้เป็นมีอิทธิพลจนชาวบ้านต่างพากันกลัวเกรง

แต่ถังหลี่ไม่ใช่คนที่จะมารังแกกันง่าย ๆ

หญิงสาวกำหมัดตั้งท่าเตรียมรับ นางหรี่ตามองอย่างระแวดระวัง จากนั้นก็เตรียมใช้กำปั้นเหล็กของนางสั่งสอนบ่าวสุนัขรับใช้พวกนั้น

เอ้อร์เป่าที่หลบอยู่ด้านหลังมารดา รีบออกมาเอาตัวบังนางเอาไว้

“อย่ามารังแกแม่ข้านะ! ”

ซานเป่าก็ถลันออกมาเช่นกัน

“อย่ารังแกท่านแม่ของข้า! “ถังหลี่มองหัวไชเท้าน้อย ๆ ที่กระโดดเข้ามาปกป้องนางอย่างกล้าหาญพาลให้หญิงสาวเกิดความอบอุ่นขึ้นในหัวใจอย่างบอกไม่ถูก หญิงสาวดันเด็กน้อยออกไปให้พ้นทาง ก่อนจะพูดว่า

“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแม่เถอะ พวกเจ้าทำได้ดีมากแล้ว! ”

จากนั้นนางจึงปรายตามองบ่าวรับใช้ทั้งสองด้วยแววตาที่เย็นชา พวกบ่าวไม่ได้ให้ความสนใจกับสายตาของถังหลี่เพราะเห็นว่านางเป็นแค่ผู้หญิงบอบบางผู้หนึ่งเท่านั้น ในขณะที่พวกเขากำลังจะเดินเข้าหาถังหลี่นั่นเอง เสียงของหญิงสาวผู้หนึ่งก็ดังขึ้น…

“มีอะไรเกิดขึ้นหรือ? นายท่านสามไป๋ ..พี่สาวผู้นี้ทำให้ท่านขุ่นเคืองหรือ? ”

ว่าแล้วนางก็เดินไปยืนที่หน้าชายแก่ผู้นั้น

“นายท่านสามไป๋ ท่านเห็นแก่หน้าข้าปล่อยพี่สาวผู้นี้ไปได้หรือไม่?”

นายท่านสามไป๋?

ชายแก่ผู้นี้คือคนที่แต่งงานกับเฉินเสี่ยวชุ่ยหรือ?

ช่างน่าขยะแขยงเสียจริง

นายท่านสามไป๋ได้สติเล็กน้อยเขามองไปที่หญิงสาวตรงหน้าเขา

“เป็นแม่นางน้อยจากสกุลหลู่หรือ? คุณหนูหลู่ข้าไม่ได้ขุ่นเคืองอะไรหญิงสาวผู้นี้ เพียงแต่ข้าต้องการผูกไมตรีจึงอยากชวนนางไปดื่มด้วยกันเท่านั้นเอง”

ดวงตาของไป๋ซานกวาดมองไปทั่วเรือนร่างของถังหลี่ ตาของเขาหรี่ลง ทรวดทรงที่อวบอิ่มประกอบกับใบหน้าที่งดงามอ่อนโยนและน่าทะนุถนอมของนาง ช่างน่าดึงดูดใจเสียจริงๆ

“นายท่านสามไป๋ ท่านเป็นมีชื่อเสียง มีคนนับหน้าถือตามากมาย หากเรื่องนี้แพร่กระจายไปถึงหูคนในแวดวงการค้าแล้วล่ะก็ …คงไม่ใช่เรื่องดีนัก” ใบหน้าของนางเย็นชามากขึ้น

นายท่านสามไป๋ก็เป็นคนค้าขายผู้หนึ่ง ในเมืองเหยาสุ่ยนี้ย่อมมีคนทำการค้าอยู่มากมายเช่นกัน หากเรื่องนี้แพร่ไปถึงหูคนเหล่านั้นล่ะก็ เขาอาจจะถูกหัวเราะเยาะก็เป็นได้ แน่นอนว่าเขาย่อมไม่อยากเสี่ยงที่จะทำให้ชื่อเสียงของตัวเองอื้อฉาว

คราวนี้เขาคงต้องถอยก่อน แต่ตราบใดที่หญิงสาวผู้นี้ยังอยู่ในเมืองเหยาสุ่ย เขาย่อมมีโอกาสอีกครั้ง!

“คุณหนูหลู่ ดูท่าเจ้าจะเก่งกว่าบิดาเสียอีกนะ” นายท่านสามไป๋พ่นลมหายใจออกอย่างเย็นชาก่อนจะเดินฝ่าฝูงชนออกไป

ทันทีที่ชายชราจากไปแล้วหญิงสาวผู้นั้นก็มองถังหลี่ทันที

“นายหญิง ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”

ถังหลี่อุ้มเด็กทั้งคู่เอาไว้และส่ายหน้า

“ไม่เป็นไรแล้ว ขอบคุณเจ้ามาก…เจ้า… หลู่.. หลู่ชิง?”

“นายหญิง..ยังจำข้าได้ เชิญมาที่ร้านของข้าและดื่มชาสักถ้วยเถิด” หลู่ชิงยิ้ม

ถังหลี่หันไปมองตามคำเชื้อเชิญ นางสังเกตเห็นคำว่า “เป่าชิงเก๋อ” บนป้ายเหนือประตู กลายเป็นว่านางกำลังยืนอยู่หน้าประตูร้านเป่าชิงเก๋อ

เป่าชิงเก๋อ…เป่าชิงเก๋อ! หรือว่านี่คือร้านที่เถ้าแก่จางพูดถึง..

นางพาลูกทั้งสองคนเดินเข้าไปในเป่าชิงเก๋อ หลู่ชิงรินชาใส่ถ้วยให้นางถึงสามถ้วย ถ้วยแรกนางยื่นให้ถังหลี่

“นายหญิง นี่เป็นชาที่มีกลิ่นหอมมาก ช่วยเรื่องความงามของสตรี” หลังจากนั้นนางจึงยื่นถ้วยชาให้เด็กทั้งสองคน

“เด็กน้อยดื่มชาผลไม้นี่สิ รสชาติเปรี้ยวหวานอร่อยดีนะ”

เด็กทั้งสองรับไว้ก่อนจะเอ่ยขอบคุณแม่นางหลู่ด้วยน้ำเสียงน่าเอ็นดู

ถังหลี่ดื่มชาและมองไปรอบ ๆ บริเวณร้านของเป๋าชิงเก๋อ ที่นี่มีขนาดใหญ่และตกแต่งไว้อย่างงดงาม เห็นได้ชัดว่ากว้างขวางมาก แต่ก็ไร้ผู้คนแทบไม่มีลูกค้าเข้าร้านเลย

“ข้าจำได้ว่าเมื่อคราวก่อนแม่นางหลู่ชิงกล่าวว่าก่อนหน้านี้เป่าชิงเก๋อแห่งนี้เคยเป็นร้านขายชาดที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเหยาสุ่ย” ถังหลี่กล่าวอย่างระมัดระวัง

“นั่นเป็นเพียงอดีตแล้วเจ้าค่ะ นายหญิง ช่วงที่ผ่านมาข้ามีลูกค้าเป็นท่านเพียงคนเดียว” หลู่ชิงดูเศร้าสร้อย

“ข้าลองใช้ชาดของเจ้าดูแล้วมันละเอียด ประณีตมาก อีกทั้งหีบห่อก็คุณภาพดี เหตุใดจึงขายไม่ได้เล่า?” ถังหลี่ไม่เข้าใจ

“ก่อนหน้านี้มีลูกค้าสองถึงสามรายซื้อไปใช้ แล้วพวกเขามีจุดแดง ๆ ขึ้นตามบริเวณใบหน้า ผู้คนจึงพากันพูดว่าชาดของร้านข้ามีคุณภาพด้อยลง ทั้ง ๆ ที่ข้าผลิตตามสูตรเดิมทุกอย่าง ช่างไม่สมเหตุสมผลเลยจริง ๆ” หลู่ชิงได้แต่ครุ่นคิดเกี่ยวกับสาเหตุแต่อย่างไรก็คิดไม่ออก

เมื่อเห็นว่าชื่อเสียงของร้านเป่าชิงเก๋อแทบจะหดหายไปในมือของนาง หลู่ชิงก็รู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก นางทนไม่ไหวจนเกือบจะยอมแพ้หลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่เมื่อตระหนักได้ว่าร้านแห่งนี้เป็นสิ่งที่บิดาทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจสร้างมันขึ้นมา นางจึงได้แต่ประคับประคองเอาไว้เท่านั้นเอง

…………….