บทที่ 54 เทศกาลไหว้พระจันทร์ · พี่สาวและน้องสาว

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 54 เทศกาลไหว้พระจันทร์ · พี่สาวและน้องสาว
cw // มีการกล่าวถึงการฆ่าตัวตาย

บทที่ 54 เทศกาลไหว้พระจันทร์ · พี่สาวและน้องสาว

เหลียงซิ่วเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อน และเดินออกจากห้องครัวไปเปิดประตู

น้องเจ็ดกำลังเล่นอยู่ในลานบ้าน ครั้นได้ยินเสียงคนเคาะจึงกุลีกุจอไปเปิดประตูให้

เหลียงซิ่วยืนอยู่ตรงลานแล้วคอยเฝ้าดู

คนที่มาหาคือซูหม่านซิ่ว ลูกสาวคนโตของตระกูลซูที่ไม่ได้กลับบ้านมาเป็นเวลานาน

เธอยืนอยู่ตรงนั้นอย่างงุ่มง่ามอยู่ตรงนั้น เอ่ยเรียกเสียงเบา

“สะใภ้สาม!”

พอเหลียงซิ่วเห็นว่าเป็นน้องสามีมาหาก็ยิ้มทันที “ไม่แปลกใจเลยที่มีนกสาลิการ้องอยู่บนต้นไม้ตั้งแต่เช้า เป็นซิ่วเอ๋อร์ของพวกเรากลับมานี่เอง”

ถึงตามกฎของท้องถิ่นจะบอกว่าลูกสาวที่แต่งงานออกไปแล้วต้องกลับบ้านมาเฉลิมฉลองในวันเทศกาล แต่ซูหม่านซิ่วไม่ค่อยได้กลับมาเท่าไรนัก

เพราะเวลาอยู่บ้านสามีเธอไม่ค่อยมีความสุข

ครั้นเพิ่งแต่งงานออกเรือนใหม่ ๆ ซูหม่านซิ่วสบายดี ทว่าหนึ่งปีต่อมาท้องของซูหม่านซิ่วไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ และชีวิตที่บ้านสามีก็ยากลำบากขึ้น

ไม่กี่ปีที่ผ่านมาชีวิตของซูหม่านซิ่วที่บ้านตระกูลหวังไม่ต่างจากคนใช้นัก

ในทุก ๆ วันจะตื่นนอนแต่เช้าแล้วก็คอยรับใช้คนในตระกูลหวัง ทั้งยังทำงานในไร่เพื่อเก็บคะแนนอีกด้วย

พอเป็นเช่นนี้เธอเลยกินไม่ค่อยอิ่ม และถูกสามีทุบตีอยู่เสมอ

คนในตระกูลซูคิดจะสนับสนุนให้ แต่เจ้าตัวปฏิเสธไม่อยากลากพ่อกับแม่มาเกี่ยวข้องด้วย

พวกพี่ ๆ ก็อยากช่วยซูหม่านซิ่วระบายความโกรธเช่นกัน แต่น้องมักจะบอกว่าเธอมีลูกไม่ได้และเป็นหนี้ตระกูลหวังด้วย ทนทุกข์สักหน่อยจะเป็นอะไรไปล่ะ

พอเวลาผ่านไป ทุกคนดูเหมือนจะยอมรับสภาพที่เป็นอย่างนี้ไปเสียแล้ว

แต่เหลียงซิ่วมองซูหม่านซิ่วที่ยืนอยู่ข้างหน้าด้วยความรู้สึกขมขื่น

ตอนที่ซูหม่านซิ่วแต่งงาน เธออายุยี่สิบเอ็ดปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตวัยนี้เลย

เป็นเด็กสาววัยแรกแย้มหน้าตางดงาม แต่ต้องถูกสามีซ้อมไม่รู้กี่ปี

ปีนี้เธออายุเพิ่งอายุยี่สิบแปดปี แต่ใบหน้าดูแก่กว่าพี่สะใภ้ใหญ่ที่อายุสามสิบหกปีเสียอีก

เสื้อผ้าที่สวมก็มองแทบไม่เห็นเค้าเดิมแล้ว เย็บปะไม่รู้กี่จุดต่อกี่จุด รองเท้าที่ใส่ก็มีรูโหว่จนนิ้วโผล่ออกมา

คงเพราะรู้สึกถึงการจ้องมอง นิ้วเท้าของซูหม่านซิ่วจึงหดกลับเข้าไปราวกับว่าละอายใจ

ไม่ใช่ว่าเธอขี้เกียจ ไม่ใช่ไม่อยากแต่งหน้า แต่แม่สามีบอกว่าเธอเหมาะกับรองเท้าที่ไม่มีใครอยากใส่

“ไปกันจ้ะ ไปห้องโถงก่อนแล้วกันนะ” เหลียงซิ่วจับมือน้องสามีอย่างสนิทสนม ร่างกายซูหม่านซิ่วแข็งทื่อเล็กน้อยก่อนจะค่อย ๆ ผ่อนคลายลง

“พ่อคะ แม่คะ น้องใหญ่กลับมาแล้วค่ะ!” เหลียงซิ่วตะโกนเสียงดังด้วยรอยยิ้ม

พอคุณย่าซูได้ยินว่าลูกสาวคนโตกลับมาแล้วก็ไม่สนใจซาลาเปาอีกครึ่งที่ใส่ไว้ในหม้อเลย สองเท้าก้าวฉับไวออกจากครัว

“ซิ่วเอ๋อร์ ในที่สุดลูกก็กลับมา” คุณย่าซูรีบออกไปหารีบพูดกับเธอก่อนจะไม่ได้พูดอีก

แล้วเธอก็เห็นรูปลักษณ์ที่น่าสังเวชของลูกสาว

เธอเป็นเด็กดีนัก แล้วทำไมถึงมีชีวิตแบบนี้?

“คุณแม่คะ วันนี้เป็นวันเทศกาล ฉันแค่อยากมาเจอแม่กับคนที่บ้าน” เธอหยุดชะงักไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อ “แต่…แต่…หนูไม่ได้เอาอะไรมาด้วยเลย”

ตอนที่พูด ซูหม่านซิ่วก็ก้มหน้าลงให้มองเห็นแค่เท้าตัวเอง

เหลียงซิ่วเห็นก่อนแล้วว่าในมือน้องสามีว่างเปล่า ใครที่ไหนจะไม่รู้ว่าตระกูลหวังเป็นแบบนั้นล่ะ แค่ยอมให้นางเตรียมของขวัญวันเทศกาลมาก็แปลกแล้ว

“เธอกลับบ้านนะ จะเอามาหรือไม่เอามาสำคัญด้วยหรือไง? มาหาทั้งที พ่อแม่แล้วก็พวกพี่ ๆ ต้องดีใจอยู่แล้ว” เหลียงซิ่วรีบพูด

เธอเป็นพี่สะใภ้ และการพูดแบบนี้จะทำให้น้องสามีสบายใจกว่าแม่สามีพูดเอง

คุณย่าซูเหลือบมองลูกสะใภ้สามอย่างซาบซึ้ง

แน่นอนว่าสีหน้าของซูหม่านซิ่วดีขึ้นเล็กน้อย

แต่เหลียงซิ่วรู้สึกว่าน้องสามีคนนี้ดูไม่เหมือนเดิม เหมือนจะได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม

ไม่ว่าเรื่องอะไรน้องสะใภ้คนนี้ทำได้ดีหมด แต่ถ่อมตัวเกินไป ตอนอยู่บ้านสามีก็ไม่เคยปริปากบ่นต่อให้ถูกกระทำอย่างไม่เป็นธรรมก็ตาม

แต่หลายปีมานี้เธอไม่ได้กลับบ้านพ่อแม่เลย และมักจะเกลี้ยกล่อมไม่ให้ไปหาด้วย

หาได้ยากมากที่มักจะเป็นฝ่ายมาหาก่อน

ซูเสี่ยวเถียนกำลังอ่านหนังสืออย่างสบายใจอยู่ในห้อง พอได้ยินเสียงพูดคุยด้านนอกก็นึกขึ้นได้ว่าลืมอะไรไป

อาใหญ่นั่นเอง

ชาติก่อนสามีอาใหญ่ต้องการจะหย่า แต่เธอไม่อยากเสียศักดิ์ศรี และไม่ยินยอมจะเป็นหญิงที่แยกทางกับสามีจึงฆ่าตัวตายในที่สุด

แต่ตอนที่กระโดดลงไปในแม่น้ำก็ได้คนช่วยเอาไว้

การแต่งงานสิ้นสุดลงในที่สุด อาใหญ่จึงแบกร่างกายอันเจ็บปวดรวดร้าวกลับมาหาครอบครัวที่ชุมชนการผลิตหงซิน

หลังจากกลับมา คนในชุมชนก็วิพากษ์วิจารณ์ไปเรื่อย และข่าวลือเหล่านั้นทำให้เธอทนไม่ไหว และในที่สุดก็กระโดดลงไปในแม่น้ำอันเย็นเยือก

น่าจะเป็นปีนี้กระมังที่อาใหญ่กลับมาอย่างกะทันหัน เธอตั้งใจจะมาตายใช่ไหม?

ไม่ ไม่ใช่แน่นอน อาใหญ่ก็แค่มาเยี่ยมเฉย ๆ ล่ะเนอะ?

พอคิดถึงตรงนี้ซูเสี่ยวเถียนก็รีบออกจากห้อง อย่างที่คิดไว้สีหน้าของเธอไม่ดีเลย

ดวงตาของเด็กหญิงกวาดมองก่อนจะวิ่งไปหาซูหม่านซิ่ว

“อาใหญ่มาหรือคะ? เถียนเถียนคิดถึงมากเลย!”

รอยยิ้มของซูเสี่ยวเถียนมีพลังคอยเยียวยา ทำจิตใจซูหม่านซิ่วรู้สึกอบอุ่น

แต่ความอบอุ่นนี้คงอยู่เพียงครู่หนึ่งก็คิดได้ว่าตนเองไม่มีลูก แต่ผู้หญิงคนนั้นกลับท้องโย้ เธอจึงอดร้องไห้ไม่ได้อีกครั้ง

เธอถามตัวเองว่าเธอไม่เคยทำอะไรไม่ดีเลย แล้วทำไมสวรรค์ถึงได้โหดร้ายต่อกันเช่นนี้?

แต่ที่แม่สามีด่าก็ถูก เธอไม่มีลูกแล้วจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร?

รอยยิ้มหายวับไปจากใบหน้าซูหม่านซิ่ว และซูเสี่ยวเถียนก็เห็นพอดี หัวใจพลันหล่นวูบ

ชาติที่แล้วสามีของอาใหญ่ได้กับหญิงม่ายในหมู่บ้านคนหนึ่ง

ผู้หญิงคนนั้นตั้งครรภ์และสามีของอาใหญ่ก็อยากแต่งงานด้วย เขาจึงบังคับให้หย่า แต่เธอเป็นหญิงสาวหัวโบราณ และไม่อยากเป็นหญิงที่แยกทางกับสามีจึงอ้อนวอนอย่างขมขื่น

แต่ว่าชายคนั้นก็ตั้งใจจะหย่า ถ้าอาใหญ่ไม่ยอม เขาก็จะทุบตีเธอ

ชีวิตรอบนี้คงจะเป็นเช่นนี้เหมือนกัน

เธอนี่มันสมองหมูจริง ๆ ทำไมถึงลืมเรื่องแบบนี้ไปได้?

ซูเสี่ยวเถียนคิดว่าตนเองไม่สามารถแก้ไขเรื่องนี้ได้

เพราะตอนนี้เธออายุเท่านี้ พูดอะไรไปก็ผิดแล้ว

ซูเสี่ยวเถียนรู้สึกลำบากใจนัก

แต่จู่ ๆ ก็คิดว่าถึงจะไม่มีทางแก้ไขได้ แต่หลังจากที่อาใหญ่กลับมาที่หมู่บ้านแล้ว ควรจะปล่อยให้ครอบครัวดูแลเธอมากขึ้นและคอยระวังเอาไว้ก็พอแล้ว

นี่เป็นเรื่องใหญ่แล้ว หากถึงเวลาเธอจะขอหยุดมาดูอาใหญ่ที่บ้าน

ส่วนเรื่องการหย่าร้าง ซูเสี่ยวเถียนไม่เห็นว่ามันจะมีอะไร กลับกันแล้วก็เป็นไอ้สารเลวคนหนึ่งเท่านั้น หย่าแล้วก็หย่าไปสิ

ซูหม่านซิ่วสัมผัสได้ถึงความรักอันลึกซึ้งจากคนในครอบครัว หัวใจพลันรู้สึกขมขื่นมากขึ้น หากแต่ไม่ยอมปริปากพูดถึงความรู้สึกอันเจ็บปวดของตนเองเลย

“คุณแม่คะ เดี๋ยวฉันไปทำของอร่อย ๆ ให้น้องใหญ่นะคะ” เหลียงซิ่วคิดว่าถ้าพี่สะใภ้ของตนอยู่ ซูหม่านซิ่วคงอายที่จะพูดแน่ แล้วก็หาเหตุผลเพื่อจากไป

พอมาถึงห้องครัว เหลียงซิ่วจึงกระซิบคุยกับพี่สะใภ้อีกสองคน

หวังเซียงฮวาอดพูดจาเหยียดหยามไม่ได้ “ไอ้หมาหวังมันไม่ใช่คนมาตั้งนานแล้ว น้องสามีทำเพื่อมันตั้งแยะ แล้วเปลี่ยนอะไรมันได้ไหม?”

“พวกเราทำของดี ๆ เพื่อชดเชยเธอกัน ถ้าน้องใหญ่เหมือนกับน้องเล็กกลับมาร้องไห้ที่บ้านบ้างชีวิตก็คงไม่ยากลำบากแบบนี้” ฉีเหลียงอิงว่า

เห็นได้ชัดว่าชีวิตน้องสามีคนเล็กดีกว่านัก แต่นางกลับหาเหตุผลต่าง ๆ นานาเพื่อมาขอกินที่บ้านพ่อแม่ ส่วนน้องสามีคนโตกินไม่อิ่มสวมไม่อุ่น และไม่เคยมาขอความช่วยเหลือเลย

“ฉันยอมเอาอาหารพวกนี้กับเนื้อให้น้องใหญ่กินยังดีกว่า!” เหลียงซิ่วถอนหายใจ

ซูหม่านเซียงเป็นหมาป่าตาขาวที่เลี้ยงไม่เชื่อง มากินข้าวบ้านเขาแล้วยังใส่ร้ายลูกสาวเธออีก

หวังเซียงฮวาพ่นลมหายใจ “ถึงทำให้น้องใหญ่ก็เป็นการเสียผลประโยชน์ให้ไอ้หมาหวังบ้านนั้นอยู่ดีนะ แต่วันนี้เธอมาหาแล้ว พวกเรามาทำของดี ๆ ให้เธอกินกัน”

ทั้งเหลียงซิ่วและฉีเหลียงอิงเห็นด้วย

สะใภ้ทั้งสามหยิบเส้นหมี่ขาวที่เฉินจื่ออันเอามาให้ต้มใส่น้ำ ไม่ลืมใส่ไข่ไปอีกสองฟองพร้อมเนื้อขลุกขลิกอีกช้อนหนึ่งให้ซูหม่านซิ่ว

เดิมที่เป็นแค่บะหมี่ธรรมดา ๆ แต่พอใส่ของดี ๆ ลงไปก็เปลี่ยนไปทันที

พอเหลียงซิ่วเดินเข้าไปในห้องหลักพร้อมกับชามบะหมี่ บรรยากาศกลับเงียบงัน สมาชิกทั้งสามคนในครอบครัวไม่ได้พูดอะไรเลย

“คุณแม่คะ ข้าวเสร็จแล้วค่ะ ให้น้องใหญ่กินก่อนแล้วกัน รออีกสักครู่ซาลาเปาก็นึ่งสุกพอดี” เหลียงซิ่วบอกคุณย่าซูด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“ซิ่วเอ๋อร์มาสิ มากินบะหมี่ก่อนแล้วค่อยกินซาลาเปานะ ซาลาเปาฟักทองกากหมูของโปรดลูกไง” คุณย่าซูพูดอย่างปวดใจ

แต่ซูหม่านซิ่วกลับพึมพำ “แม่คะหนูกินไม่ได้หรอก บะหมี่น่ากินจริง ๆ แต่ให้เด็ก ๆ กินเถอะจ้ะ!” ซูหม่านซิ่วมองไปด้านข้าง แต่ท้องพลันร้องโครกครากด้วยความหิวโหย เธอส่ายหน้า “ฉันมาเยี่ยมพ่อกับแม่ เยี่ยมเสร็จก็ไปแล้วค่ะ!”

ไม่ได้เอาอะไรมาแล้วจะมากินของบ้านเขาได้อย่างไร?

ครอบครัวบ้านพ่อแม่ใหญ่ขนาดนี้ แถมไม่ได้ร่ำรวยอะไรด้วย เธอเห็นแก่ตัวไม่ได้หรอก

“น้องใหญ่ บะหมี่ทำมาเสร็จแล้วจะปล่อยทิ้งได้อย่างไรเล่า? ถ้าวันนี้กลับไปแบบท้องว่าง ๆ พ่อแม่จะสบายใจได้อย่างไรกัน” เหลียงซิ่วรีบรั้งซูหม่านซิ่วเอาไว้

“แต่ว่า…”

“ไม่เป็นไรหรอกน่า ลูกกลับบ้านมาทั้งทีก็ควรกินอะไรดี ๆ สักหน่อยสิ พี่สะใภ้ยังใส่ไข่ให้ทั้งฟองเลยนะ!”

ในที่สุดซูหม่านซิ่วก็ยอมกินบะหมี่ชามนี้ แต่เธอกินมันทั้งน้ำตา

หลังจากกินเสร็จแล้ว หวังเซียงฮวาก็เดินเข้ามาพร้อมกับซาลาเปานึ่งจานหนึ่ง แล้ววางลงบนเตียงเตา “คุณแม่คะ ซาลาเปาได้ที่แล้วค่ะ ให้น้องใหญ่ช่วยชิมหน่อยสิคะ”

ซูหม่านซิ่วกินบะหมี่ที่มีทั้งไข่และเนื้อขลุกขลิกเพียงเท่านี้ก็พอใจแล้ว ยิ่งเห็นซาลาเปาลูกใหญ่กว่ากำปั้นผู้ใหญ่จะเต็มใจกินได้อย่างไรกัน

“มาเร็วซิ่วเอ๋อร์ ลูกชอบรสชาตินี้นี่นา” คุณย่าซูหยิบซาลาเปานึ่งร้อน ๆ มาแล้วยัดใส่มือลูกสาวตรง ๆ

ตอนที่ซูหม่านซิ่วยังไม่ได้แต่งงาน เธอชอบกินซาลาเปาฟักทองมาก แต่พอแต่งงานไปหลายปีมานี้ไม่ต้องพูดถึงว่าอยากกินอะไรเลย แค่ได้กินอิ่มก็พอใจมากแล้ว

“คุณแม่คะ เอาซาลาเปาให้พวกเด็ก ๆ กินเถอะ!” ซูหม่านซิ่วอยากจะวางซาลาเปากลับที่เดิม แต่ซูเสี่ยวเถียนห้ามเอาไว้

“อาใหญ่ขา พวกเรามากินด้วยกันเถอะ คุณย่าทำไว้เยอะมากเลยค่ะ”

ซูเสี่ยวเถียนพูดก่อนจะหยิบซาลาเปาใส่มือคุณปู่ซูแล้วตามด้วยคุณย่าซู…

ในไม่ช้าคนในห้องก็มีซาลาเปาอยู่ในมือกัน

“หม่านซิ่วเอ๋ย มากินด้วยกัน มา ๆ ที่บ้านเรายังมีอีกพอให้พวกเด็ก ๆ แน่นอน” คุณปู่ซูว่าแล้วเป็นฝ่ายเริ่มกินก่อน หากแต่ไม่ได้กลืนลงไป

เขารู้ว่าลูกสาวมีชีวิตที่ย่ำแย่อยู่ที่บ้านสามี แต่เธอบอกว่าตนเองไม่มีลูกจะโดนโกรธก็ไม่เป็นไร คุณปู่ซูเองก็คิดว่าลูกสาวคนโตไม่มีลูกจะโดนตระกูลผู้เฒ่าหวังโกรธก็สมควร

แต่คราวนี้ไม่ได้เจอกันเกินครึ่งปีแล้ว ทำไมลูกสาวถึงเป็นแบบนี้?

หัวใจของคนเป็นพ่อเจ็บปวดยิ่งนัก!

“ฉันว่าคืนนี้อย่าเพิ่งกลับไปเลย อยู่คุยกับด้วยกันเถอะนะ แต่งงานออกไปนานไม่ได้มาค้างที่บ้านเลย” คุณย่าซูไม่ได้กินซาลาเปา แค่เอ่ยออกมาเฉย ๆ

เดิมทีซูหม่านซิ่วไม่เห็นด้วย แต่พอคิดถึงสามีคนนั้นก็ตัดสินใจจะพักอยู่คืนหนึ่ง บางทีนี่อาจเป็นโอกาสสุดท้ายก็ได้

ตอนนั้นเองที่ซูหม่านเซียงมาพอดีพร้อมกับครอบครัวรวมเป็นห้าคน ไม่ได้ขาดเหลืออะไรทั้งยังสมบูรณ์มาก แม้แต่คังเหรินเต๋อที่ไม่เคยเข้าบ้านยังมีรอยยิ้มบนใบหน้า

มากันทั้งครอบครัวแต่ของขวัญในวันเทศกาลกลับเป็นขนมไข่ครึ่งห่อ

คุณย่าซูขมวดคิ้ว ใครกันแน่ที่ตัวสั่น?

เสียเปล่านักที่เอาแต่พูดว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของตำบล เจ้าหน้าที่ที่ไหนทำแบบนี้กัน?

“คุณแม่คะ วันนี้เป็นวันเฉลิมฉลองเทศกาล ฉันพาลูก ๆ มาหาพ่อกับแม่ค่ะ!” ซูหม่านเซียงยิ้มและพูดอย่างเป็นกันเอง

แต่ใบหน้าของเหลียงซิ่วเปลี่ยนไปทันที หากคังเหรินเต๋อไม่มา เธอคงลงมือใส่ซูหม่านเซียงทันทีแน่

“แม่ครับ ผมอยากกินซาลาเปา” ลูกคังคนเล็กเห็นซาลาเปาใบใหญ่บนโต๊ะจึงพูดทันที

ซูหม่านเซียงพูดเองเออเอง “อยู่บ้านตาบ้านยายไม่เหมือนบ้านเราเอง พวกลูกอยากกินอะไรก็หยิบเลยนะ”

เธอเพิ่งกลับมาบ้านครั้งสองครั้งเมื่อไม่นานมานี้ และไม่ได้ของอะไรดี ๆ กลับไปเลย วันนี้เลยพาลูกมาด้วย

ถึงจะไม่ได้ให้เธอมา แต่ไม่ให้กินก็ไม่ได้ใช่ไหมล่ะ? กินกันให้อิ่มไปเลยเพราะจะกินได้เยอะ ๆ ด้วย

ตอนยากจนก็ยังดีอยู่แต่ตอนนี้มีเงินแล้ว แถมไม่ให้เงินสนับสนุนเธอด้วย พอยิ่งรวยก็ยิ่งใช้เงินเยอะ

ซูหม่านเซียงคิดด้วยความไม่พอใจ รู้สึกว่าคนในครอบครัวแย่นัก ไม่สนใจเธอสักนิด

พอลูกคังคนเล็กได้ยินคำพูดแม่ก็เอื้อมมือไปหยิบซาลาเปาทันที ทว่าเขากลับพบความว่างเปล่า

ซูเสี่ยวเถียนถือซาลาเปาที่เหลืออยู่ในมือ จ้องมองอุ้งเท้าของลูกคังคนเล็กที่ยื่นออกไปอย่างเย็นชา

“คุณแม่คะ แม่ดูซิ ยัยเด็กนี้ถูกตามใจจนเคยตัวแล้วหรือไง? ทำไมกินอยู่คนเดียวเลย? ซาลาเปาตั้งมากแบ่งให้จงฮวาหน่อยไม่ได้หรือไง? เหม่ยฮวา ถ้าพวกลูกอยากกินก็หยิบให้แม่สักลูกนะ”

พอเห็นท่าทางของซูหม่านเซียง หวังเซียงฮวาไม่อยากเสวนาให้มากความ จึงหมุนตัวออกไป

พอมาถึงห้องครัวก็รีบลงมือกับฉีเหลียงอิงกันสองคน เอาขนมไหว้พระจันทร์และซาลาเปาที่นึ่งในวันนี้ใส่ตู้ ไม่ลืมลงกลอนล็อกไว้ด้วย

มีของดี ๆ เยอะขนาดนี้ ถ้าซูหม่านเซียงเห็นคงไม่เหลืออะไรให้บ้านเธอกินแน่

คราวหน้าจะไม่เสียทีให้กินอีกแล้ว

ที่ห้องโถง คุณย่าซูเหลือบมองลูกสาวคนเล็ก ตอนแรกอยากจะพบหน้าเด็ก ๆ จึงไม่พูดอะไร แต่พอมองไปที่ซูหม่านเซียง แกบังเอิญเห็นดวงตาราวกับพิษร้ายของคังเหม่ยฮวาพอดี

ทันใดนั้นเธอก็ตื่นขึ้น ทุกคนในครอบครัวนี้เธอไม่เชื่อใจเลยสักนิด

“หม่านซิ่วเอ๋ย ลูกกินต่อเถอะ กลับมาบ้านคราวนี้ไม่ง่ายเลย ลูกต้องกินอะไรดี ๆ หน่อยนะ!” คุณย่าซูกดดันลูกสาวคนโต

“คุณแม่คะ ทำไมแม่ลำเอียงแบบนี้ล่ะ?” ซูหม่านเซียงรู้สึกยอมไม่ได้ แม่ทำแบบนี้หมายความว่าอย่างไร?

แม้แต่ยัยซูหม่านซิ่ว แม่ไก่ที่ออกไข่ไม่ได้ก็ยังสมควรได้กินซาลาเปาลูกโตหรือ?

“ฉันลำเอียงเพราะหลายปีมานี้ให้แกกินแกดื่มไปตั้งมากเท่าไร? แล้วพี่สาวแกเป็นเด็กดีมาก ไม่เคยพูดถึงความขมขื่นอะไรสักอย่าง ฉันก็เลยไม่เคยเห็นเลยแถมยังปฏิบัติต่อพี่แกไม่ดีอีก ให้ซาลาเปาเขากินหน่อยแกก็ไม่พอใจแล้ว?”

ดูเหมือนจะพูดไม่พอ คุณย่าซูจึงพูดอีกว่า “ถ้าไม่ชอบนักก็กลับบ้านไปซะ!”

แม่เอ่ยปากไล่และมันทำให้เหลียงซิ่วรู้สึกว่าความโกรธของเธอมันน้อยนิดมาก เธอกลัวว่าแม่จะถูกน้องสามีคนเล็กพูดอะไรใส่แล้วแกก็จะเอาของดี ๆ ไปประเคนให้

“คุณแม่คะ สองปีมานี้ไม่ใช่ว่าหนูไม่ลำบากเสียหน่อย รอพ้นไปก็จะดีขึ้นแล้วถึงตอนนั้นจะเอาของมาให้แม่อีกเยอะด้วยนะ!” ซูหม่านเซียงไม่รู้สึกละอายใจเลย กลับกลายเป็นว่าตอกกลับเสียงดัง “พี่เขาเป็นนี้แม่ก็ยังหวังให้เขาเป็นลูกกตัญญูต่อแม่กับพ่อหรือคะ?”

“ฉันคาดหวังจากแกฉันก็ไม่ได้เหมือนกัน กะอีแค่ขนมไข่ครึ่งก้อนเนี่ยนะ?”

“คุณแม่ มันคือขนมไข่เลยนะ ใส่ทั้งน้ำตาลใส่ทั้งน้ำมัน นุ่ม ๆ กินแล้วหอมมาก คุณแม่อย่ามาดูว่ามันครึ่งก้อนสิ มันทำไม่ง่ายเลยด้วย เหรินเต๋อได้มาหนึ่งจินเอง ให้แม่สามีครึ่งจินอีกครึ่งจินก็เอามาให้แม่นี่ไง อายุพ่อกับแม่ก็ตั้งมาก กินขนมไข่สักหน่อยจะได้ย่อยง่าย ๆ”

แต่ไหนแต่ไรมา ซูหม่านเซียงเป็นนักพูดที่ดีเสมอ คนที่รู้จักก็จะพูดว่าเป็นขนมไข่ ส่วนคนที่ไม่รู้จักก็คิดว่าเป็นขนมคุณภาพดีสักอย่าง

คังเหรินเต๋อทำงานที่สหกรณ์จำหน่ายเครื่องอุปโภคบริโภค ปกติแค่หาขนมไข่ก็ไม่ได้ยากอะไร แต่นี่เป็นเทศกาลไหว้พระจันทร์ คังเหรินเต๋อได้มาสี่จิน ได้มาแบบที่ไม่ต้องใช้ตั๋วด้วย

แต่ซูหม่านเซียงคิดมาตลอดว่าไม่สามารถให้พ่อแม่รู้ว่าครอบครัวเธออยู่ดีกินดีได้ จึงมักจะร้องห่มร้องไห้มาหา

พอมาคราวนี้ตั้งใจว่าจะไม่เอาอะไรมาเลย แต่พอคิดได้ว่าครั้งสองครั้งก่อนก็ไม่ได้เอาอะไรมาเหมือนกัน เลยจำใจเอาขนมไข่ครึ่งก้อนมาให้

เพราะงั้นคังเหรินเต๋อเลยไม่มีความสุขมาก

ซูหม่านเซียงบอกว่ารอพ่อกับแม่มีความสุขเมื่อไร จะให้แกเข้ามณฑลเพื่อไปพูดกับข้าราชการระดับสูงสักสองสามประโยค ไม่แน่ว่าอาจทำให้เขาไปทำงานในอำเภอได้ มันจึงทำให้เขาดีใจมาก

“พ่อครับ แม่ครับ นี่เป็นความคิดของผมกับหม่านเซียงเองครับ อย่ารังเกียจไปเลย ตอนนี้ชีวิตก็ไม่ง่ายนัก อยู่ในเมืองก็ไม่เหมือนที่ชนบทของท่านหรอก” แม้แต่ตอนนี้คังเหรินเต๋อก็ยังปล่อยวางทัศนคติอันสูงส่งของตัวเองไม่ได้

ตระกูลซูเป็นพวกทำไร่ทำนาที่เขาดูถูก ถ้าซูหม่านเซียงไม่โตขึ้นมาเหมือนดอกไม้ และไม่ทำให้เขาหลงใหล ตัวเขาก็คงไม่หลงมาแต่งงานกับคนบ้านนอกหรอก

“ก็เลยมาบ้านเราเพื่อมาสัมผัสความรู้สึกหรือไง? ไม่ใช่คนเมืองสักหน่อยเอาแต่พูดว่าเป็นคนเมืองอยู่ได้ เขาไม่รู้เลยมั้งว่าพวกคุณมาจากเมืองหลวงกันน่ะ” เหลียงซิ่วเหน็บแนม

คังเหรินเต๋อเสียหน้า ตระกูลซูไร้กฎเกณฑ์ยิ่งนัก เขามาในฐานะแขก พวกลูก ๆ ก็เป็นแขกด้วย ไม่ทักทายกันดี ๆ ไม่พอ ยังพูดจาเหน็บแนมอีก

ถ้าไม่คิดจะพึ่งพ่อตาแม่ยายให้ไปฝากตัวเขาเข้าทำงานในเมือง คังเหรินเต๋อก็คงจะสะบัดหน้ากลับไปตั้งนานนมแล้ว

เดิมทีเหลียงซิ่วคิดว่าพออีกฝ่ายได้ยินที่เธอพูดจะออกไปทันที แต่ใครจะไปรู้เล่าว่านอกจากจะไม่ไปแล้วทำปั้นหน้าน่าเกลียดอีก

พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศไหนเนี่ย?

“สะใภ้สามพูดให้เพราะหน่อยเถอะ สามีฉันมานะ นั่นคือแขกผู้มีเกียรติ์เลยนะ!” ซูหม่านเซียงสูงส่ง “พวกเราหิวกันตลอดทางเลย ถ้ามีซาลาเปาให้หน่อยจะไม่บ่นเลย แล้วก็ทำซุปไข่ไก่ให้เราก็พอแล้ว”

ท่าทางเหมือนพวกเหนือกว่าทำเหลียงซิ่วหัวเราะโกรธ ๆ จึงอดไม่ได้ที่จะมองไปที่ซูหม่านซิ่วซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ เหมือนนกกระทาตัวหนึ่ง

เกิดจากแม่เดียวกันแท้ ๆ ทำไมแตกต่างกันขนาดนี้?

ซูหม่านซิ่วมองไปที่น้องสาวที่แสนทะเยอทะยานแล้วเงียบมากขึ้นเรื่อย ๆ เธอก้มศีรษะ ไม่กล้าพูดอะไรสักคำ