ถูกขวาง
“ปัญญาอ่อน”
เมื่อโดนยั่วยุไม่เลิกราจากศิษย์ฝ่ายใน ต้วนหลิงเทียนก็คร้านจะทนสืบไป หันกลับมามองด่ามันด้วยสายตาเย็นชา
ปัญญาอ่อน!
ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนเปิดปากกล่าวคำนี้ออกมา ศิษย์ฝ่ายในคนนั้นก็ถึงกับยืนอึ้งเป็นตัวโง่งม
เจ้าหนุ่มนี่พึ่งด่ามันว่าปัญญาอ่อน?
แค่ศิษย์ฝ่ายนอกคนหนึ่ง…กลับกล้าด่ามันว่าปัญญาอ่อน!?
ทันใดนั้นใจศิษย์ฝ่ายในก็คล้ายมีเพลิงโทสะลุกโชนขึ้นมาอย่างแรงกล้า!
อย่างไรก็ตามก่อนที่มันจะได้ตอบสนองอะไร ต้วนหลิงเทียนก็หยิบป้ายหยก 2-3 ป้ายแล้วเดินไปยังทางออกห้องโถงศาลาอุทิศชั้น 4 ไม่แยแสมันอีกรอบ
ด้านศิษย์ฝ่ายในถึงกับชี้มือชี้ไม้ที่สั่นระริกทั้งเหวี่ยงฮึดฮัดพูดไม่ออกอยู่พักหนึ่ง ค่อยสูดลมหายใจเข้าลึกๆระงับเพลิงโทสะในใจ แล้วตามต้วนหลิงเทียนไป
ไม่นานมันก็เดินแซงหน้าต้วนหลิงเทียนทั้งหันกลับมาถลึงตามองเขาอย่างอาฆาต ก่อนที่จะหยิบแหวนพื้นที่ของตัวเองแล้วเดินจากไปทันที ดูท่าวันนี้มันคงไม่คิดจะหยิบยืมป้ายวรยุทธ์เซียนเผิงทองถาโถมแล้ว…
ชายชราในชุดคลุมสีขาวก็ไม่ได้หยุดมันไว้แต่อย่างไร
เหตุผลที่ชายชราไม่หยุดอีกฝ่าย เพราะศิษย์ฝ่ายในคนนี้ไม่ได้แตะต้องหรือหยิบของในโถงศาลาอุทิศชั้น 4 มาเลย ไม่ว่าจะป้ายเซียนหรืออะไรก็แล้วแต่
“ผู้อาวุโส”
ด้านต้วนหลิงเทียนพอมาถึงโต๊ะรับรองก็หยิบป้ายวรยุทธ์เซียนเผิงทองถาโถมกับป้ายหยกที่เขาเลือก 2-3 ป้ายออกมา ทว่าพริบตานี้เอง เขาสัมผัสได้ถึงสายตาเย็นเยียบเปี่ยมจิตฆ่าฟัน จากศิษย์ฝ่ายในวูบหนึ่ง เป็นอีกฝ่ายหันกลับมามองเขาด้วยอาฆาตอีกรอบก่อนจะเดินลงบันไดไป
ทว่าเรื่องนี้เขาไม่ได้แยแสแม้แต่น้อย
เขาต้วนหลิงเทียน ไม่ใช่คนขลาดเขลาที่จะหวั่นเกรงอะไรมัน!
“วรยุทธ์เซียนเผิงทองถาโถม? นับเป็นวรยุทธ์เซียนระดับมนุษย์โดดเด่นที่ดี!”
ชายชราหยิบป้ายเซียนขึ้นมาดูก่อนที่จะพยักหน้า ค่อยตรวจสอบป้ายหยกอื่นๆ “ป้ายหยกพวกนี้ แม้มันมีแค่พวกข้อมูลธรรมดาทั่วๆไป แต่ปริมาณข้อมูลก็นับว่ามากมายไม่น้อย เช่นนั้นจึงมีค่าใช้จ่ายป้ายละ 1,000 คะแนนอุทิศ…”
“ส่วนป้ายวรยุทธ์เซียนเผิงทองถาโถมนี่ อ่านครั้งหนึ่งเสียค่าใช้จ่าย 30,000 คะแนนอุทิศ…และเจ้าสามารถอ่านได้ที่นี่เท่านั้น หลังจากเจ้าจ่ายคะแนนอุทิศแล้วก็เริ่มอ่านมันได้เลย”
ชายชรากล่าวบอกต้วนหลิงเทียน
“ท่านรับคะแนนอุทิศเถอะ”
ต้วนหลิงเทียนหยิบบัตรแก้วออกมาก่อนที่จะถ่ายโอนคะแนนอุทิศ 30,000 กว่าแต้มไปยังบัตรแก้วของชายชรา หลังจากนั้นเขาก็เก็บป้ายหยกไม่กี่ป้ายที่ว่า ค่อยเริ่มต้นศึกษาวรยุทธ์เซียนเผิงทองถาโถม
เพียงครู่เดียวต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงปริมาณข้อมูลมหาศาลหลั่งไหลเข้ามาในหัว และมันก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของใจเขาทันที
ตอนนี้เขาสลักเคล็ดความของวรยุทธ์เซียนเผิงทองถาโถมทั้งหมดไว้ในดวงจิตเรียบร้อย
นี่คือความสามารถพิเศษของเขา
โดยปกติแล้วผู้ฝึกตนหากคิดฝึกฝนวรยุทธ์เซียนก็ทำได้เพียงแค่อ่านเคล็ดความจากป้ายไปทีละบท ทั้งหมดต้องอ่านถึง 5 บทกว่าจะบรรลุขั้นตอนไร้ตำหนิ
หากทว่าต้วนหลิงเทียนนั้นขอเพียงเปิดอ่านครั้งเดียว เขาก็จะดูดข้อมูลทั้งหมดของมันมาเก็บไว้ในดวงจิตเขาทันทีในชั่วพริบตา!
เดิมทีต้วนหลิงเทียนก็คิดจะประวิงเวลาในการอ่านป้ายออกไปสัก 1 เค่อ ทว่าพอเขานึกถึงวาจาจากชายชราที่กล่าวก่อนหน้าได้ดี จึงอดไม่ได้ที่จะอมยิ้มบางๆ ‘ในฐานะคนหนุ่มสาว ต้องมีจิตวิญญาณอันฮึกเหิมบ้างอะไรบ้างงั้นเหรอ’
เพราะวาจานี้ทำให้ต้วนหลิงเทียน ตัดสินใจอะไรได้
ทันใดนั้นภายใต้สายตาที่มองมาของชายชรา ต้วนหลิงเทียนพลันแย้มยิ้ม ก่อนที่จะยื่นส่งป้ายเซียนคืนไป “อาวุโสข้าอ่านเสร็จแล้ว”
“หะ…หา เจ้าอ่านเสร็จแล้ว?”
ทันทีที่ชายชราชุดขาวได้ยินวาจาประโยคนี้ มันก็อึ้งไปพักหนึ่งใบหน้าเผยความงุนงง “เจ้าเริ่มอ่านมาตั้งแต่ตอนที่อยู่ข้างในแล้วงั้นรึ”
หลายคนที่มายืมป้ายวรยุทธ์เซียนเพื่อศึกษานั้น โดยมากแล้วจะอ่านมันทันทีในโถง
เพราะตราบใดที่เอื้อมมือไปแตะป้ายเซียนแล้ว ไม่ว่าท่านจะอ่านหรือไม่อ่านท่านก็จำต้องชำระคะแนนอุทิศอยู่ดี นี่เพื่อป้องกันไม่ให้ใครแอบอ่านวรยุทธ์เซียนและคิดจะเบี้ยวการจ่ายคะแนนอุทิศ
ในฐานะของผู้ดูแลศาลาอุทิศชั้น 4 ชายชราในชุดขาวไม่เพียงแต่รับหน้าที่เฝ้าโต๊ะรับรองคอยรับคะแนนอุทิศแล้ว มันยังต้องตรวจสอบเรื่องราวภายในโถงชั้น 4 ของศาลาอุทิศอีกด้วย จับตาดูความเคลื่อนไหวของทุกคนที่เข้าไป
ก็เหมือนศิษย์ฝ่ายในก่อนหน้า
ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้แตะป้ายเซียนหรือป้ายหยกอะไรในนั้น มันจึงปล่อยให้อีกฝ่ายจากไปทันที
หากอีกฝ่ายแตะป้ายเซียนแม้แต่ปลายนิ้ว ชายชราจะหยุดมันเอาไว้ทันทีและให้มันจ่ายคะแนนอุทิศออกมาตามราคาป้ายที่มันแตะ
เผชิญกับคำถามไถ่ของอาวุโสเบื้องหน้า ต้วนหลิงเทียนเพียงยิ้มแล้วถามกลับ “ท่านคิดว่าอย่างไรเล่า?”
“เจ้าหนูตัวแสบ เจ้าคิดทำให้ข้าตกใจตายหรือไร! เมื่อครู่ข้าก็นึกว่าเจ้าจะสามารถอ่านป้ายเซียนได้ในเวลาหนึ่งลมหายใจเสียอีก…ที่แท้เจ้าลอบอ่านมันตั้งแต่ด้านในแล้ว!”
ชายชราส่ายหัวกล่าว
เห็นได้ชัดว่ามันไม่คิดว่าต้วนหลิงเทียนจะสามารถอ่านเคล็ดความวรยุทธ์เซียนเผิงทองถาโถมได้ในเวลาแค่หนึ่งลมหายใจ
หากให้มันรู้ว่าต้วนหลิงเทียนไม่ใช่แค่อ่านได้ในหนึ่งลมหายใจ เขายังไม่ได้อ่านแค่บทเดียวแต่เป็นทั้งหมด 5 ขั้นตอน ไม่รู้มันจะทำสีหน้ายังไง!
เรื่องนี้นับว่าต้วนหลิงเทียนแปลกประหลาดต่างจากผู้อื่นจริงๆ
เขากลับดูดซับเคล็ดความทั้งหมดของวรยุทธ์เซียนได้ในพริบตาเดียว
เรื่องนี้มันทำให้เขาได้เปรียบผู้อื่นมากมาย และคงยากที่จะมีใครทำอย่างเขาได้
อย่างเช่นตอนนี้ วรยุทธ์เซียนเผิงทองถาโถม…เขาจ่ายเพียงแค่ 30,000 คะแนนอุทิศเท่านั้น และไม่จำเป็นต้องกลับมาหยิบยืมเพื่ออ่านบทที่เหลืออีกสืบไป!
หากเทียบกับผู้อื่นที่คิดหยิบยืมอ่านป้ายวรยุทธ์เซียนจนบรรลุขั้นตอนไร้ตำหนิ เขาประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้ถึง 120,000 คะแนนอุทิศ!
เพราะสุดท้ายแล้วคนอื่นๆ ก็จำต้องยืมป้ายเซียนนี้อ่านอย่างน้อย 5 ครั้ง ถึงจะล่วงรู้เคล็ดความไว้ฝึกถึงขั้นตอนไร้ตำหนิ
ยืมอ่าน 5 ครั้งๆละ 30,000 คะแนนอุทิศ เช่นนั้นจึงเท่ากับ 150,000 คะแนนอุทิศ!
ได้ยินวาจานี้ของชายชราต้วนหลิงเทียนเพียงยิ้มบางๆ แต่ไม่กล่าวอะไรออกไป
เขาจะพูดอะไรได้อีก
หรือจะให้เขาบอกว่า อาวุโสพอดีข้าจดจำเคล็ดความทั้ง 5 ขั้นตอนของวรยุทธ์เวียนเผิงทองถาโถมได้หมดสิ้นแล้ว วันหน้าข้าคงไม่มายืมอ่านมันอีกแล้วล่ะ!?
ถึงแม้จะเป็นเรื่องจริง แต่เกรงว่าชายชราคงไม่มีทางเชื่อ!
“อาวุโส เช่นนั้นข้าขอตัวลา”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวคำอำลาชายชรา และเตรียมจะจากไป
“เจ้าหนูศิษย์ฝ่ายในผู้นั้น มันอยู่ในขอบเขตสู่เซียนขั้นต้น…ระวังด้วย”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังจะจากไป ชายชราปริปากออกมาอีกครั้งเพื่อกล่าวเตือน ยากนักที่มันจะกระทำเช่นนี้ใคร
และนี่ทำให้เห็นได้ชัดว่า ‘ความบาดหมาง’ ระหว่างศิษย์ฝ่ายในกับต้วนหลิงเทียนนั้น อยู่ในสายตาของอาวุโสผู้นี้ตลอด!
“ถึงเรื่องนี้จะไม่ได้สำคัญกับข้าเท่าไร แต่ข้าต้องขอขอบคุณท่านผู้อาวุโสอีกครั้งสำหรับความหวังดี”
ได้ยินคำกล่าวเตือนของชายชรา ต้วนหลิงเทียนประสานมือเขย่าเบาๆ พร้อมยิ้มกล่าวแสดงความขอบคุณ
“ไม่สำคัญรึ?”
ชายชราอึ้งค้างไปทันใด ยังมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาสงสัย
“ในสำนักมิใช่มีกฏที่ว่าศิษย์ฝ่ายในไม่ได้รับอนุญาตให้ออกมารังแกศิษย์ฝ่ายนอกโดยเด็ดขาดมิใช่หรือไร…เช่นนั้นแล้วไม่ว่ามันจะเป็นสู่เซียนขั้นต้น ขั้นกลาง หรือกระทั่งขั้นเชี่ยวชาญก็เท่านั้น มันกล้าลงมือเล่นงานข้าหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนหัวเราะ
ชายชราอึ้งไปอีกรอบ “ที่แท้เจ้าคิดเช่นนี้นี่เอง…แต่หากเจ้าคิดเช่นนี้ เช่นนั้นเจ้าพลาดแล้ว!”
“หืม?”
ต้วนหลิงเทียนที่ได้ยินคำนี้อดไม่ได้ที่จะสงสัย
“ที่ตั้งของศาลาอุทิศนั้น ตั้งอยู่ระหว่างรอยต่อระหว่างฝ่ายในกับฝ่ายนอก กล่าวกันตรงๆมันมิได้ถือว่าเป็นเขตของฝ่ายในหรือฝ่ายนอก”
ชายชรากล่าวอธิบาย “ศิษย์ฝ่ายในสามารถลงมือสั่งสอนศิษย์ฝ่ายนอกที่นี่ได้เพราะมิถือว่าออกจากฝ่ายในไปรังแกคนที่ฝ่ายนอก…ทำให้ขอเพียงไม่ทำร้ายถึงขั้นพิการตายตก ก็ไม่นับว่าผิดกฏรังแกผู้อ่อนด้อยกว่าแต่อย่างใด…”
“อ้อ แบบนี้นี่เอง…ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ นับว่าข้อมูลนี้ของผู้อาวุโสสำคัญกับข้าแล้วจริงๆ”
ต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่คิดว่าจะมีเรื่องแบบนี้ด้วย แต่อย่างไรเขาก็ต้องขอบคุณชายชราอีกครั้ง
เดิมทีตอนที่เขามีเรื่องราวกับศิษย์ฝ่ายในผู้นั้น เขาก็เตรียมพร้อมรับมือการล้างแค้นจากอีกฝ่ายอยู่แล้ว
แต่ก็จริงที่ตอนแรกเขาคิดว่า อีกฝ่ายคงไม่กล้าลงมือทำอะไรเขา เพราะเขาเป็นศิษย์ฝ่ายนอกแต่มันเป็นศิษย์ฝ่ายใน
ตราบใดที่เขายังไม่เป็นศิษย์ฝ่ายใน เขาก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องที่อีกฝ่ายจะลงมือ
ตอนนี้พอได้ฟังวาจาที่ชายชรากล่าวบอก จึงได้รู้ว่าศาลาอุทิศแห่งนี้กลับมีข้อยกเว้นอะไรเรื่องสถานที่ตั้งแบบนี้ ทำให้ไม่ถือว่าเป็นเขตของฝ่ายในฝ่ายนอก จึงไม่ถูกกฏของสำนักคุ้มครอง นั่นทำให้เขากังวลขึ้นมาอยู่บ้าง
“สู่เซียนขั้นต้นงั้นเหรอ?”
แต่อย่างไรเสีย พอทราบว่าพลังฝึกปรือของศิษย์ฝ่ายในผู้นั้นเพียงบรรลุสู่เซียนขั้นต้น ความกังวลเล็กน้อยของต้วนหลิงเทียนก็มลายหายไปไม่มีเหลือ…
หลังจากออกจากชั้น 4 ของศาลาอุทิศแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เดินลงบันไดไปยังชั้น 3 ของศาลาอุทิศ
และในขณะที่เขากำลังจะผ่านลงไปยังชั้น 2 ชายวัยกลางคนที่โต๊ะรับรองชั้น 3 คนหนึ่งก็กล่าวถามหยุดเขาเอาไว้ก่อน “เฮ่! เจ้าหนุ่มเจ้าคือต้วนหลิงเทียนรึ?”
ในสายตาของผู้ดูแลคนนี้เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นไม่น้อย
สหายข้างกายของมัน ก็อยากรู้เรื่องนี้ไม่น้อยไปกว่ามัน
เห็นได้ชัดว่าพวกมันพอจะเดาตัวตนของต้วนหลิงเทียนได้บ้าง แต่ยังไม่กล้าปักใจเชื่อทั้งหมด
“ใช่”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าตอบคำ ก่อนที่จะเดินลงบันไดผ่านชั้น 3 ของศาลาอุทิศ ท่ามกลางสายตาเหม่อลอยของผู้ดูแลทั้ง 2
“ที่แท้เจ้านั่นคือต้วนหลิงเทียนนี่เอง…มิน่าแปลกใจเลยที่จับจ่ายมือเติบถึงเพียงนี้!”
“นั่นน่ะสิ สามารถหยิบจ่าย 700,000 คะแนนอุทิศในคราวเดียว…ข้าได้ยินมาว่าคะแนนอุทิศที่มันได้มาเมื่อวานมีถึง 3,000,000 ทั้งเจ้านั่นยังเลือกที่จะคืนคะแนนอุทิศให้ผู้คนที่มาเดิมพันไปครึ่งหนึ่ง”
หลังกล่าววาจาออกมา ผู้ดูแลทั้ง 2 ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งด้วยอารมณ์
“อาวุโสฟ่างเฉียน”
เมื่อลงมาถึงชั้น 2 ของศาลาอุทิศ เขาก็หยุดทักทายทั้งส่งยิ้มให้ชายชราที่จ้องมายังเขาด้วยความสนใจครู่หนึ่ง พออีกฝ่ายพยักหน้ารับคำ เขาค่อยเดินลงมายังชั้นแรกของศาลาอุทิศ
ที่ชั้นแรกของศาลาอุทิศยังคึกคักมีชีวิตชีวาเหมือนก่อนหน้า ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกเหมือนเดินอยู่ในตลาดนัดอยู่บ้าง
ศิษย์มากมายตะโกนหาซื้อหรือแลกของ บ้างก็โฆษณาสิ้นค้าของตัวเอง
“หืม? มีบางแผงที่ยังไม่ตั้งตอนข้ามานี่นา…”
ต้วนหลิงเทียนว่ายตามองไปทั่วชั้น 1 ไม่นานก็พบว่ามีแผงขายของหลายแผงที่พึ่งมาตั้งใหม่
เขาจึงเรียกหาผู้เฒ่าหั่วในเจดีย์อีกครั้ง แล้วเริ่มเดินไปทั่วๆชั้นแรกอีกรอบเพื่อตรวจสอบวัตถุดิบสิ่งของ
น่าเสียดายที่คราวนี้ไม่พบเจอวัตถุดิบที่สามารถซ่อมแซมเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติได้เลย
“ดูเหมือนว่าโชคข้าจะหมดแล้วสินะ…”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวพร้อมยิ้มฝืนๆ ก่อนจะก้าวออกจากศาลาอุทิศ
ทว่าเพียงเดินมาไม่กี่ก้าวเขาก็จำต้องหยุดลง เพราะสัมผัสได้ถึงสายตาประสงค์ร้ายสายตาหนึ่งที่เพ่งเล็งมายังเขาเขม็ง
ไม่ต้องมองต้วนหลิงเทียนก็บอกได้ทันทีว่าสมควรเป็นศิษย์ฝ่ายในที่มีเรื่องกับเขาบนชั้น 4 ของศาลาอุทิศ และพอหันไปมองเขาก็ได้เห็นหน้าตาหยิ่งผยองของมันอีกครั้ง…
หลังจากที่อีกฝ่ายออกจากศาลาอุทิศ มิแคล้วคงมาเฝ้ารอเขาอยู่ตรงนี้แน่นอน
“ข้าคิดว่าเจ้าคงกลัวจนไม่กล้าออกจากศาลาอุทิศแล้วเสียอีก!”
ศิษย์ฝ่ายในผู้นั้น แสยะยิ้มเย้ยหยัน มองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเอาเรื่อง!
พอพได้ยินคำนี้ ต้วนหลิงเทียนก็รู้ทันทีว่ามันมาเฝ้ารอเขาอยู่จริงๆ
“กลัวจนไม่กล้าออกมา? เจ้าคิดว่าอาศัยเจ้าจะทำให้ข้ากลัวจนไม่กล้าออกมางั้นเหรอ?”
เผชิญหน้ากับท่าทางถือดีเอาเรื่องของศิษย์ฝ่ายใน ต้วนหลิงเทียนไม่ได้ยำเกรงแม้แต่น้อย ยังกล่าวเย้ยออกมาพร้อมหัวเราะ!