ตอนที่ 31 เจออีกแล้วหรือ ต้องหนีสิ

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 31 เจออีกแล้วหรือ ? ต้องหนีสิ !

ลูกถีบของหลินเว่ยเว่ยสามารถสกัดกั้นหมีควายไว้ได้จนมันเซถอยหลังไปหลายก้าวกว่าจะกลับมายืนได้มั่นคงดังเดิม เจ้าหมีควายร้องคำรามด้วยความโมโห จากนั้นก็หันหลังมาอย่างรวดเร็วพร้อมเผยสีหน้าดุร้ายและตั้งท่าเตรียมพร้อมโจมตี

เมื่อเห็นท่าหมัดและลูกถีบที่แสนคุ้นเคยของสัตว์สองเท้าตรงหน้าอย่างชัดเจน สีหน้าของเจ้าหมีควายก็เปลี่ยนจากดุร้ายเป็นสยองขวัญทันที มันส่งเสียงร้องคำรามโหยหวนราวกับโดนใครเหยียบหาง ก่อนจะกระโดดหนีหายไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางสีหน้าแปลกใจของหลินเว่ยเว่ย

สวรรค์ ! เหตุใดจึงมาพบกับสัตว์สองเท้าที่ดุร้ายตัวนั้นอีก ? ปีนี้มันดวงตกจริง ๆ ศีรษะของมันก็มิได้แข็งเท่าหมัดของเจ้าสัตว์สองเท้าตัวนั้นเสียหน่อย หากไม่ให้หนีแล้วให้อยู่รอโดนทุบโดนตีหรือไร ?

สาเหตุที่หลินเว่ยเว่ยกล้ากระโดดออกมานั้นก็เพราะว่านางจำเจ้าหมีควายตัวนี้ได้เป็นอย่างดี มันคือตัวเดียวกับที่นางใช้หมัดทุบจนมันวิ่งหนีกระเจิดกระเจิงไป นางมั่นใจว่าสามารถเอาชนะมันได้ แต่คาดมิถึงเลยว่าเจ้าหมีควายกลับวิ่งหนีไปโดยไม่กล้าสู้กับนาง เช่นนี้ทำให้นางประหยัดแรงไปตั้งเยอะ

นางก้มไปเก็บรังผึ้งที่ถูกหมีควายโยนทิ้งไว้ขึ้นมา ว้าว ! ช่างเป็นรังที่ใหญ่มาก มีขนาดเท่าลูกบาสเกตบอลลูกใหญ่สองลูกรวมกันเลย แถมภายในรังยังเต็มไปด้วยน้ำผึ้งหวานเยิ้ม คงเป็นรังผึ้งที่เจ้าหมีควายตัวนั้นขโมยมาเป็นแน่ แต่มันยังไม่ทันได้เพลิดเพลินไปกับการกินรังผึ้งก็ดันมาถูกพวกเขาสร้างความรำคาญให้เสียก่อน จนสุดท้ายกลายเป็นว่าต้องมาเสียรังผึ้งให้นาง !

หลินเว่ยเว่ยใช้เท้าเขี่ยหลิวว่ายจื่อ เขาหมดสติไปโดยไร้ความเคลื่อนไหวใดอีก นางจึงดึงที่หูเข็มขัดของเขาขึ้นมาแล้วหิ้วไปราวกับหิ้วสุนัขที่ตายแล้ว จากนั้นนางก็เดินกลับไปทางเดิมที่ขึ้นมาแต่ก็พบเพียงพงหญ้ารกร้างที่ถูกเหยียบย่ำไปตลอดทาง

พวกเขาวิ่งหนีกันอย่างอุตลุด ! เพราะอย่างไรก็ไม่มีวันถูกทิ้งรั้งท้ายอย่างแน่นอน ! ชายชาตรีสิบกว่าคนวิ่งกรูออกไปจากป่าราวกับฝูงผึ้งแตกรัง ทำให้บรรดานกน้อยที่อยู่บนต้นไม้แตกตื่นและบินโฉบขึ้นไปบนท้องฟ้าเพราะตกใจเสียงตะโกนและเสียงวิ่งของพวกเขา

บิดาเจ้าของอ้วนซานวิ่งนำหน้าก่อนใครและพอวิ่งออกมาจากป่าลึกจนถึงบริเวณละแวกหมู่บ้านแล้ว เจ้าตัวถึงได้หยุดพักหอบหายใจ เมื่อสงบสติอารมณ์ได้แล้ว พวกเขาจึงกล้าหันไปมองยังด้านหลังว่าเจ้าหมีควายยังตามมาอยู่หรือไม่ พอเห็นว่าเจ้าหมีควายมิได้ตามมาแล้ว พวกเขาจึงพากันถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอกแล้วทรุดตัวนั่งบนก้อนหินขนาดใหญ่ด้วยแข้งขาที่อ่อนแรง

บิดาของเจ้าอ้วนซานหอบหายใจด้วยความเหนื่อย ทันใดนั้นเขาก็นึกได้จึงเอ่ยถามว่า “พวกเราออกมาครบกันทุกคน ไม่มีผู้ใดหายไปใช่หรือไม่ ? ”

“หลิวว่ายจื่อไม่ได้วิ่งตามหลังพวกเรามา แล้วก็ลูกสาวคนรองของตระกูลหลินด้วย ตอนนี้ไม่รู้ว่านางหายไปที่ใดแล้ว ! ” ชายผอมสูงคนหนึ่งตอบกลับด้วยสีหน้าไม่สู้ดี หลิวว่ายจื่อถือเป็นน้องชายของภรรยา หากเกิดอันใดขึ้นกับเจ้านั่นละก็ มีหวังว่าภรรยาได้โวยวายไปแปดบ้านสิบบ้านแน่นอน

ทันใดนั้นบิดาของเจ้าอ้วนซานจึงเริ่มรู้สึกปวดหัวขึ้นมาเพราะว่ามารดาของหลิวว่ายจื่อขึ้นชื่อในเรื่องความโมโหร้าย เขาเป็นคนขอให้หลิวว่ายจื่อขึ้นไปบนภูเขาด้วยกันในครานี้ หากเจ้านั่นเป็นอันใดขึ้นมาก็อย่าหวังเลยว่าตนจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข !

“ต้องโทษเจ้าเด็กโง่ของตระกูลหลิน ! เหตุใดตอนที่นางขึ้นเขาไปครั้งก่อนยังไม่เป็นไร แต่พอให้นางพาพวกเราขึ้นไปก็พบหมีควายเข้าแล้ว นางต้องจงใจทำให้มันเป็นเช่นนี้แน่นอน ! ”

“ใช่แล้ว ! หากมารดาของเจ้าหลิวว่ายจื่อมาโวยวายกับพวกเรา เราก็ให้นางไปที่ตระกูลหลินนู่น ! ต้องโทษเจ้าเด็กโง่ผู้เดียว ! ”

“เฮอะ ! ” ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น ทุกคนที่ได้ยินจึงพากันเงียบเสียงทันที

ในส่วนลึกของป่าทึบ ร่างอ้วนค่อย ๆ เดินออกมาจากเงาของต้นไม้ใหญ่ แสงแดดที่สาดส่องไปยังใบหน้าขาวเนียนของนางได้เผยให้เห็นสีหน้าและแววตาเยาะเย้ยถากถางให้ทุกคนได้เห็นอย่างชัดเจน

หลินเว่ยเว่ยโยนหลิวว่ายจื่อลงพื้น จากนั้นก็หัวเราะเยาะแล้วกล่าวว่า “เมื่อวานนี้ตอนพวกท่านมาหาข้าแล้วบอกให้พาขึ้นภูเขา พวกเราคุยกันไว้อย่างไรบ้าง ? ตอนพลบค่ำพวกเราเพิ่งลงนามในสัญญากันมิใช่หรือ ? พอมาตอนนี้ก็คิดพลิกลิ้นไม่ยอมรับข้อตกลงแล้วหรือ ? กล้าพูดกันได้เช่นไรว่าข้าจงใจ พวกท่านคิดว่าข้าเป็นคนล่อหมีควายออกมาหรือไร ? คิดว่าข้าเป็นคนเลี้ยงหมีควายตัวนั้นแล้วสามารถสั่งให้มันทำอันใดก็ได้ตามอำเภอใจอย่างนั้นหรือ ? ”

หลินเว่ยเว่ยก้มหน้ามองยังหลิวว่ายจื่อที่เพิ่งฟื้นได้สติเมื่อครู่นี้แล้วกล่าวต่อ “อาว่ายจื่อวิ่งได้ช้ายิ่งนัก ในบรรดาพวกท่านมีผู้ใดบ้างที่คิดดึงเขาให้วิ่งไปด้วยกัน ? หากมิใช่เพราะข้ายอมเสี่ยงชีวิตเข้าไปดึงตัวเขามาจากหมีควายตัวนั้น คิดว่าเขาจะรอดจนถึงตอนนี้หรือ ? เจ้าหมีควายตัวนั้นแอบนั่งกินรังผึ้งอยู่ในพุ่มไม้ของมันดี ๆ หากมิใช่เพราะพวกท่านส่งเสียงดังโวยวายจนไปกระตุ้นให้มันเกิดความรำคาญ คิดหรือว่ามันจะมาจัดการพวกท่าน ? ลุงหวังก็เคยพูดไว้ตั้งหลายครั้งว่าสัตว์ป่าจะไม่เป็นฝ่ายโจมตีมนุษย์ก่อนเมื่อมันกินอิ่มแล้ว ! ตอนที่พวกท่านเข้าไปในป่าไม่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยเลยสักนิด แต่พอเกิดเรื่องขึ้นมาหน่อยก็โยนให้เป็นความผิดของข้า พวกท่านช่างกลับกลอกเสียจริง ! ต่อไปนี้จะมีผู้ใดบ้างที่กล้าพาพวกท่านขึ้นไปบนภูเขาอีก ? พวกเราสิ้นสุดสัญญาไว้เพียงเท่านี้เถิด แยกย้ายตัวใครตัวมันไปเลย ! ”

หลังกล่าวจบ นางก็ไม่ชายตามองพวกเขาเลยแม้แต่น้อย นางหันหลังแล้วเดินตรงปรี่กลับบ้านของตนทันที หลังจากพักผ่อนที่บ้านได้สักพัก ตกบ่ายนางก็ออกไปตรวจบ่วงดักสัตว์กับพรานหวัง !

คนกลุ่มนี้มองหน้ากันอย่างเลิ่กลั่ก ต่างคนต่างอึดอัดใจอยู่มิน้อย พวกเขาไม่ควรทำให้บุตรสาวคนรองตระกูลหลินขุ่นเคืองเพียงนี้เลย แล้วต่อไปนี้ผู้ใดจะพาพวกตนขึ้นไปบนภูเขา ?

หลิวว่ายจื่อเห็นท่าทีเช่นนั้นก็เบ้ปาก “พวกเจ้ายังกล้าขึ้นไปบนภูเขาอีกหรือ ? ข้าเกือบจบชีวิตในปากของหมีควายตัวนั้นไปแล้ว ! พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าปากของหมีควายตัวนั้นอยู่ห่างจากใบหน้าของข้าแค่นี้เอง…” เขาใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วก้อยเทียบระยะให้ดู

“ปากของมันใหญ่กว่าศีรษะของข้าเสียอีก แค่มันอ้าปากก็สามารถกัดศีรษะของข้าจนหลุดจากบ่าได้แล้ว แถมมันยังตะปบหลังข้าอีกด้วย โชคดีที่มันตะปบโดนชายเสื้อมิได้ตะปบโดนเนื้อของข้า เช่นนั้นข้าคงถูกหมีควายฉีกร่างเป็นสองส่วนแน่ ! ไม่ว่าอย่างไร…ต่อให้ผู้ใดกล่าวถ้อยคำที่ดีลื่นหูมากแค่ไหน ข้าก็ไม่มีวันขึ้นไปบนภูเขาอีกแล้ว เพราะข้ามันขี้ขลาด ข้าไม่เอาด้วยหรอก ! ” เวลานี้หลิวว่ายจื่อยังขวัญเสียอยู่ !

“ว่ายจื่อ ว่าแต่ลูกสาวคนรองของตระกูลหลินช่วยเจ้าไว้จริงหรือ ? ” พี่เขยของเขาเอ่ยถาม

หลิวว่ายจื่อมุ่ยปากแล้วตอบอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก “หากไม่ใช่นางแล้วจะให้เป็นท่านหรือ ? ”

ต่อให้ตีเขาจนตาย เขาก็ไม่มีวันพูดว่าตนหมดสติไปเพราะความหวาดกลัว ทำให้เขาไม่รู้เรื่องรู้ราวเลยสักอย่าง กระนั้นเขาก็เข้าใจดีว่าถ้าบุตรสาวคนรองของตระกูลหลินไม่ช่วยเอาไว้ มีหรือที่เขาจะมีชีวิตรอดมาจนถึงตอนนี้ ?

แม้หลิวว่ายจื่อไม่ค่อยชอบนาง แต่เขาก็มิใช่คนที่หลงลืมบุญคุณคน ดังนั้นเมื่อเขากลับถึงบ้านแล้วจึงไปบอกกับมารดาซึ่งได้ตัดแบ่งผ้าที่นางทอไปมอบให้ตระกูลหลินในฐานะของขวัญแทนคำขอบคุณ

นางหวงเกรงใจจนไม่กล้ารับไว้อยู่นาน แต่สุดท้ายก็ต้องยอมรับผ้าทอที่มารดาของว่ายจื่อนำมามอบให้ เมื่อกลับเข้ามาในบ้าน นางจึงเรียกหลินเว่ยเว่ยมาที่ห้อง จากนั้นก็กุมมือของบุตรีแล้วถามว่า “เจ้าลูกคนนี้ เหตุใดไม่บอกแม่เรื่องที่เจ้าขึ้นไปบนภูเขาแล้วพบหมีควาย ? เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่ ? ”

“ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ! เรื่องเป็นเช่นนี้ท่านแม่ คืออาว่ายจื่อล้มระหว่างวิ่งหนี ในตอนนั้นข้าวิ่งผ่านตัวเขาพอดี ท่านแม่ก็รู้ว่าข้าเป็นคนมีพละกำลังเหลือล้น ข้าจึงหิ้วหูเข็มขัดของเขาขึ้นมาแล้วออกแรงวิ่งหนีสุดชีวิต หมีควายที่พวกข้าเจอก็เป็นหมีควายที่กินอิ่มแล้ว ดังนั้นหลังจากที่มันวิ่งไล่ได้มินาน มันก็หยุดไล่ไปเอง” หลินเว่ยเว่ยพยายามอธิบายให้สถานการณ์ดูไม่รุนแรงที่สุดเพราะกลัวว่านางหวงจะไม่ยอมให้ขึ้นไปบนภูเขาอีก

นางหวงเห็นลูกสาวพูดออกมาเช่นนี้ก็รู้ว่าห้ามไปก็ไร้ประโยชน์ นางจึงทำได้เพียงลอบถอนหายใจออกมา แต่ก็มิวายกำชับบุตรสาวว่า “ต่อไปนี้อย่าขึ้นไปบนภูเขาบ่อยนักเลย ยังดีที่เจ้าไปเจอหมีควาย เพราะถ้าวิ่งเร็วเข้าหน่อยมันก็ตามไม่ทันแล้ว แต่ถ้าไปเจอฝูงหมาป่าแล้วพวกมันนับสิบตัวล้อมเจ้าเอาไว้ เช่นนั้นเจ้าจะหนีไปได้เช่นไร”

“ท่านแม่เจ้าคะ ข้าเชื่อฟังท่าน ข้าจะไม่ขึ้นไปบนภูเขาแล้ว” หลินเว่ยเว่ยตอบรับอย่างว่าง่าย จากนั้นนางก็ถามมารดาด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ ประเดี๋ยวข้าจะไปเอากระต่ายตัวนั้นมา ท่านอยากทานแบบตุ๋นน้ำแดงหรือว่าซุปใสเจ้าคะ ? ”

นางหวงลูบหลังปลอบใจเจ้าหนูน้อยที่กำลังหวาดกลัวพร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “สองวันมานี้ที่บ้านเรามีอาหารเพียงพอแล้ว เรายังไม่จำเป็นต้องทานกระต่ายตัวนี้หรอก เจ้าเก็บไว้เลี้ยงเถิด”

เจ้าหนูน้อยพยักหน้าอย่างแรงราวไก่จิกข้าวเปลือก “พี่รอง กระต่ายป่าเป็นสัตว์ที่เชื่อฟังและเลี้ยงง่าย พอเราเลี้ยงมันจนเติบโตมันก็จะให้ลูกกระต่ายตัวน้อยอีกหลายตัว แล้วลูกกระต่ายก็จะให้ลูกหลานกระต่ายอีกมากมาย…เช่นนี้พี่รองก็ไม่ต้องขึ้นเขาไปเสี่ยงอันตรายแล้ว ! ”

ตอนต่อไป