ตอนที่ 95 ตบหน้าครั้งที่สอง (3)
ไป๋อวิ๋นเซียนกัดริมฝีปากของตนเองแน่น แม้ไม่อยากจะยอมรับ แต่ทว่าไพ่ลับของจวินอู๋เสียในครั้งนี้ ก็ยากจะตอบโต้และปฏิเสธไม่ได้ว่าพวกมันคือเม็ดยาน้ำค้างหยกของจริง
แต่ว่า…เรื่องแบบนี้จะเป็นไปได้อย่างไร
จวินอู๋เสียก็แค่คุณหนูจากจวนหลินอ๋องคนหนึ่งเท่านั้น นางไม่มีทางมีโอกาสเข้าใกล้สูตรหลอมเม็ดยาน้ำค้างหยกเลย แล้วเหตุใดนางถึงสามารถปรุงเม็ดยาน้ำค้างหยกพวกนั้นออกมาได้!
มิหนำซ้ำนางยังใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งวันเท่านั้น! ไป๋อวิ๋นเซียนจินตนาการไม่ออกเลยว่าด้วยเวลาสั้นๆ แค่นั้น นางใช้วิธีไหนถึงสามารถหลอมเม็ดยาน้ำค้างหยกออกมาได้มากถึงสองขวด!
“จะว่าไปแล้ว ห้องปรุงยาของเจ้าก็เก่าและทรุดโทรมมากเกินไปแล้ว ทำเอาข้าเสียเวลาไปตั้งมาก” จวินอู๋เสียบ่นกระปอดกระแปดใส่มั่วเฉี่ยนยวนอย่างไม่พอใจ
เนื่องจากห้องปรุงยานั้นไม่ได้ถูกเปิดใช้งานมาเป็นเวลานานพอสมควร อุปกรณ์หลายอย่างในห้องนั้นจึงเสียใช้การไม่ได้ ไม่อย่างนั้น อย่าว่าแต่สองขวดเลย ต่อให้ต้องหลอมออกมาห้าขวดจวินอู๋เสียก็ไม่มีปัญหา
มั่วเฉี่ยนยวนเวลานี้อยากแผดเสียงหัวเราะออกไปยิ่งนัก เขาพยายามกลั้นเสียงหัวเราะของตนเองอย่างเต็มที่ หลังจากนึกถึงคำพูดของไป๋อวิ๋นเซียนที่ว่าการหลอมเม็ดยาน้ำค้างหยกนั้นต้องใช้เวลาสามถึงห้าวัน ทว่าจวินอู่เสียใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งวันก็สามารถหลอมเม็ดยาน้ำค้างหยกออกมาได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังหลอมได้มากถึงสองขวดอีกด้วย!
ครั้นพอได้ยินนางเอ่ยปากติเตียนห้องปรุงยาของเขาว่าทั้งเก่าทั้งโทรมทรุดโทรม เครื่องมือหรือก็ไม่ดีมีหลายอย่างที่ใช้การไม่ได้ จนทำให้นางหลอมยาเสร็จช้า นี่ไม่ใช่เป็นการบอกไป๋อวิ๋นเซียนกลายๆ ว่าหากอยู่ในสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์กว่านี้ นางก็จะสามารถหลอมเม็ดยาได้มากกว่านี้อีกหรือ
คำพูดนี้ฟังดูคล้ายไม่แยแสใส่ใจเท่าไหร่ แต่กระนั้นมันกลับเสมือนฝ่ามือที่ตบลงบนหน้าของไป๋อวิ๋นเซียนหนักๆ เป็นครั้งที่สอง
ตบเลย! ให้ตายสิช่างเบิกบานหัวใจยิ่งนัก!
ในที่สุดมั่วเฉี่ยนยวนก็เข้าใจแล้วว่าทำไมจวินอู๋เสียถึงได้ดูถูกเม็ดยาน้ำค้างหยกพวกนั้นนักหนา
ไป๋อวิ๋นเซียนยกยอสรรพคุณเม็ดยาน้ำค้างหยกพวกนั้นเสียล้ำเลิศ ประหนึ่งว่ามันเป็นโอสถที่ยากจะหาที่ใดเทียม แต่ทว่าในช่วงเวลาไม่กี่ชั่วยามสั้นๆ มันกลับถูกจวินอู๋เสียบดขยี้ทำลายชื่อเสียงเสียจนสิ้นซาก กลายเป็นประหนึ่งก้อนหินไร้ค่าที่ขว้างใส่ใบหน้างามๆ นั้นของไป๋อวิ๋นเซียน
“จวินอู๋เสีย เจ้ารู้สูตรยาของสำนักชิงอวิ๋นได้อย่างไร!” ไป๋อวิ๋นเซียนเดือดจัด นางกัดฟันจ้องไปที่จวินอู๋เสียด้วยแววตาแข็งกร้าว นางไม่เคยได้รับความอัปยศอดสูเช่นนี้มาก่อนเลย
จวินอู๋เสียเพียงตอบกลับไปอย่างเฉยเมย “กับของแค่นี้ยังต้องใช้สูตรอีกหรือ เพียงแค่ดมกลิ่นข้าก็รู้แล้ว”
“…” ไป๋อวิ๋นเซียนแทบจะลมจับไปในวินาทีนั้น น้ำเสียงที่เหมือนไม่แยแสอะไรของนางทำเอาไป๋อวิ๋นเซียนโกรธจนแทบคลั่ง
เมื่อมั่วเซวี่ยนเฝ่ยสัมผัสได้ว่าสถานการณ์เริ่มควบคุมไม่อยู่แล้ว เขาจึงรีบคว้าไหล่ของไป๋อวิ๋นเซียนไว้
“เรื่องในวันนี้ให้ถือเสียว่าเป็นแค่เรื่องล้อเล่นขำขันระหว่างพวกเราเถิด นี่ก็เย็นมากแล้ว พวกเราเองก็สมควรกลับไปเสียที” มั่วเซวี่ยนเฝ่ยพูดแทรกออกไปอย่างเด็ดขาด ไหนๆ ก็ขายขี้หน้าไปแล้ว หากยังรั้งอยู่ที่นี่ต่อก็รังแต่จะยิ่งทำให้พวกเขาดูน่าหัวร่อมากขึ้นเท่านั้น
“น้องรองไยรีบร้อนเช่นนี้เล่า คุณหนูไป๋ยังไม่ได้ประกาศผลเลยว่าตัวยาที่อู๋เสียหลอมออกมานั้นเป็นของจริงหรือเปล่า” มั่วเฉี่ยนยวนอย่างไรก็ยังต้องสร้างความอึดอัดใจให้กับมั่วเซวี่ยนเฝ่ยเพิ่มขึ้นอีกสักหน่อย
ไป๋อวิ๋นเซียนถลึงตาจ้องใส่จวินอู๋เสีย ดวงตาของนางเต็มไปด้วยรังสีฆ่าฟัน
หลังจากยื้อยุดฉุดกระชากกับตัวเองเป็นเวลานาน ในที่สุดนางก็กัดฟันพูดออกไปด้วยใบหน้าเผือดสีว่า “เม็ดยาพวกนั้นที่เจ้าหลอม…คือเม็ดยาน้ำค้างหยก”
กล่าวจบ ไป๋อวิ๋นเซียนก็คล้ายกับคนหมดเรี่ยวแรง การจะเค้นคำพูดนี้ออกไปได้นั้นสำหรับนางแล้วแทบสูบพลังกายให้เหือดหายออกไปหมดในคราวเดียว นางเสียหลักล้มลง ขาทั้งสองข้างแทบประคองร่างไว้ไม่อยู่ด้วยซ้ำ
“อวิ๋นเซียน!” มั่วเซวี่ยนเฝ่ยถลาขึ้นไปประคองนางไว้ จากนั้นก็กัดฟันพูดกับมั่วเฉี่ยนยวนว่า “วันนี้พวกข้ามารบกวนแล้ว อวิ๋นเซียนดูอาการไม่ค่อยดีนัก เอาไว้วันหลังพวกเราพี่น้องค่อยนัดพบกันใหม่”
มั่วเซวี่ยนเฝ่ยรีบพยุงไป๋อวิ๋นเซียนจากไปอย่างรวดเร็ว ไม่รอให้มั่วเฉี่ยนยวนตอบรับด้วยซ้ำ
เหล่าขันทีที่นำของกำนัลมาส่งต่างก็มึนงงสับสนไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ แต่เมื่อเห็นองค์ชายรองและไป๋อวิ๋นเซียนจากไปอย่างโกรธเคือง พวกเขาก็เร่งรีบตามหลังทั้งสองคนไปเพื่อที่จะได้นำของกำนัลพวกนี้ไปให้
คล้อยหลังจากที่ทุกคนกลับออกไปจนหมดแล้ว มั่วเฉี่ยนยวนก็ไม่สามารถระงับความสุขภายในใจของเขาได้อีกต่อไป เขาหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น
“จวินอู๋เสียหนอจวินอู๋เสีย เจ้าช่างทำให้ข้าประหลาดใจมากจริงๆ ภาพที่เจ้าตบหน้ามั่วเซวี่ยนเฝ่ยและไป๋อวิ๋นเซียนในวันนี้นั้นช่างเป็นบุญตาข้ายิ่งนัก! พูดตามตรงเลยนะ ตอนแรกข้าก็นึกสงสัยอยู่ว่าเหตุใดเจ้าถึงได้นิ่งเงียบไม่ตอบสนองปานนั้น ที่แท้ก็กำลังรอตะครุบเหยื่ออยู่นี่เอง ยิ่งพวกนั้นคุยโวโอ้อวดมากเท่าไหร่ หลังจากความจริงถูกเปิดเผยออกมาก็จะยิ่งอับอายขายขี้หน้ามากขึ้นเท่านั้น เจ้านี่โหดเหี้ยมโดยแท้! ฮ่าๆๆๆ”
จวินอู๋เสียเหลือบมองยังมั่วเฉี่ยนยวนที่หัวเราะจนน้ำตาเล็ดอย่างสงบ
โหดเหี้ยมหรือ ข้าไม่คิดอย่างนั้น
คำพูดเหล่านั้นมั่วเซวี่ยนเฝ่ยและไป๋อวิ๋นเซียนล้วนพูดออกมาด้วยตัวเองไม่ใช่เหรอ นี่เรียกว่าทำชั่วได้ชั่ว กรรมตามสนองต่างหาก
“อย่างไรก็ตาม การกระทำของเจ้าในวันนี้คงจุดไฟแค้นของทั้งสองคนนั้นขึ้นมาแล้ว” มั่วเฉี่ยนยวนเอ่ยเตือน
“ไม่ช้าก็เร็วต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว” จวินอู๋เสียหลุบตาลงต่ำ พยายามปิดซ่อนเจตนาฆ่าที่ราวกับหยดน้ำค้างกลางฤดูใบไม้ร่วงในแววตาที่สะท้อนวาบขึ้นอย่างอันตราย
……….
ตอนที่ 96 กองทัพรุ่ยหลิน (1)
ภายใต้การบำรุงอย่างต่อเนื่องของยอดสุราธาราหยก เมล็ดบัวที่จวินอู๋เสียปลูกไว้ก็เริ่มแตกหน่อและมีออกดอกตูมปรากฏขึ้นมา กลิ่นของดอกบัวและสุราผสมผสานกันคลุ้งไปทั่ว ส่งผลให้เรือนนอนของจวินอู๋เสียอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมเข้มข้นตลอดเวลา
แม้กระทั่งตอนที่จวินอู๋เสียกำลังนอนหลับอยู่ กลิ่นหอมนั้นก็จะแปรเปลี่ยนเป็นพลังวิญญาณและไหลซึมเข้าสู่ร่างกายของนางอย่างต่อเนื่อง
ภูติวิญญาณประเภทพฤกษานั้นอาจจะดูเหมือนไร้ประโยชน์ แต่ทว่าวิธีการฝึกฝนพลังนั้นกลับง่ายเสียจนชวนให้ผู้คนบ้าคลั่ง
ภายในเวลาสั้นๆ เพียงแค่ครึ่งเดือน จวินอู๋เสียก็สามารถรวบรวมพลังวิญญาณไว้ในร่างกายของนางได้แล้ว
เมื่อมองไปที่ไอพลังวิญญาณสีแดงบนฝ่ามือของนาง ในที่สุดดวงตาที่นิ่งสงบของจวินอู๋เสียก็ปรากฏร่องรอยของความพึงพอใจให้เห็น
พลังวิญญาณของโลกนี้แบ่งออกได้เป็นเจ็ดระดับ ไล่เรียงไปตามเฉดสีของสายรุ้ง
นั่นคือสีแดง สีส้ม สีเหลือง สีเขียว สีน้ำเงิน สีคราม และสีม่วง
จวินอู๋เสียเพิ่งจะก้าวเข้าสู่ระดับแรกของการบ่มเพาะ ดังนั้นพลังวิญญาณของนางจึงอยู่ในระดับสีแดง
พลังวิญญาณนั้นจะเริ่มบ่มเพาะได้ก็ต่อเมื่อภูติวิญญาณตื่นขึ้นมาแล้วเท่านั้น นั่นหมายความว่าผู้คนบนโลกนี้จะเริ่มการบ่มเพาะของพวกเขาอย่างจริงจังเมื่ออายุครบสิบสี่ปี แต่ก่อนหน้านั้นพวกเขาก็จะต้องพัฒนาร่างกาย เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับกระดูกและเส้นเอ็นก่อน เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการตื่นขึ้นของภูติวิญญาณ
เจ้าของร่างเดิมแม้ว่าจะมีอุปนิสัยเย่อหยิ่งจองหอง ค่อนข้างทำตัวไร้สาระ แต่ทว่านางก็ถูกจวินเสี่ยนฝึกสอนและบำรุงมาเป็นอย่างดีตั้งแต่นางยังเด็ก ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่ากายเนื้อนี้เหมาะสำหรับการบ่มเพาะพลังวิญญาณอย่างยิ่ง เนื่องจากมันสามารถดูดซับพลังวิญญาณได้อย่างสมบูรณ์
เริ่มตั้งแต่อายุสิบสี่ปีเป็นต้นไป ผู้คนก็จะเริ่มหันมาพึ่งพาพลังของภูติวิญญาณมากยิ่งขึ้น ดังนั้นการยกระดับพลังของตัวเองจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง และเพื่อให้พลังวิญญาณนั้นพัฒนาไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด การรวบรวมพลังวิญญาณเข้าสู่ร่างกายจึงเป็นขั้นตอนที่ไม่อาจละเลยได้เลย เพราะยิ่งพลังวิญญาณของเจ้าตัวมีมากเท่าไหร่ นั่นก็หมายความว่าวงแหวนจะสามารถดูดซับมันได้มากขึ้นเท่านั้น ซึ่งมันจะทำให้ภูติวิญญาณแข็งแกร่งขึ้น และสามารถพัฒนาและเติบโตไปยังขั้นต่อไปได้
เป็นความสัมพันธ์แบบพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน
คนปกติทั่วไป หลังจากเริ่มบ่มเพาะพลังวิญญาณแล้ว ร่างกายของพวกเขาก็จะค่อยๆ สะสมพลังวิญญาณไปทีละเล็กละน้อย จนกระทั่งถึงจุดหนึ่ง จึงจะสามารถปลดปล่อยพลังวิญญาณออกมาภายนอกได้ ซึ่งในขั้นตอนนี้อย่างต่ำก็ต้องใช้เวลาราวๆ ครึ่งปี
อย่างไรก็ตาม จวินอู๋เสียกลับใช้เวลาเพียงครึ่งเดือนเท่านั้นก็สามารถฝึกฝนมาถึงขั้นนี้ได้แล้ว หากเรื่องนี้หลุดออกไปถึงหูคนภายนอก น่ากลัวว่าจะทำให้ผู้คนหวาดกลัวจนตายได้!
จวินอู๋เสียรวบรวมนิ้วมือทั้งห้าของนางกลับคืนมา เรียกคืนแสงสีแดงเหล่านั้นให้กลับเข้าไปในร่าง ก่อนที่ในวินาทีต่อมาเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
หลังจากที่นางเริ่มบ่มเพาะพลังวิญญาณ ไม่อาจไม่กล่าวว่าประสาทสัมผัสทั้งห้าของจวินอู๋เสียก็เฉียบคมขึ้นมาก
“เข้ามา”
บานประตูถูกเปิดออก นางจึงได้เห็นหลงฉียืนอยู่ด้านนอกประตู เขาโค้งคำนับให้นางอย่างนอบน้อม ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเคารพว่า “ท่านอ๋องน้อยเชิญให้คุณหนูใหญ่ไปพบขอรับ”
“ข้ารู้แล้ว”
หลงฉีนำทางนางไปยังลานฝึกใต้ดิน สถานที่นี้มีเนื้อที่กว้างขวางมาก รายล้อมไปด้วยอาวุธมากมายตั้งแขวนเต็มกำแพงทั้งสี่ด้าน
ณ ใจกลางของลานฝึก เงาร่างหนึ่งที่ดูสง่างามกำลังยืนถือดาบคมกริบไว้ในมือ กวัดแกว่งมันไปมาอย่างลื่นไหลและเฉียบคมยิ่ง การเคลื่อนไหวของเขานั้นทั้งรวดเร็วและว่องไว ดุร้ายและโหดเหี้ยมในเวลาเดียวกัน ชุดของเขาชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ใส่ใจมันสักนิด เพราะแววตาที่ฉายแววมุ่งมั่นนั่นเผยให้เห็นถึงความอุตสาหะที่เหนือเกินกว่าจินตนาการไปไกล
“ท่านอาเล็ก” จวินอู๋เสียส่งเสียงร้องทักออกไปเมื่อเห็นบุรุษผู้นั้น
จวินชิงรีบชักดาบกลับทันทีเมื่อเขาได้ยินเสียงเรียกของหลานสาว เขาเก็บดาบเข้าฝักที่พาดอยู่บนแผ่นหลัง ก่อนจะหันมาแย้มยิ้มให้กับนางอย่างอบอุ่นและสดใส
“อู๋เสีย เจ้ามาแล้วหรือ”
จวินอู๋เสียกวาดตาพิจารณาเขาตั้งแต่หัวจรดเท้ารอบหนึ่ง ยากจะจินตนาการว่าเมื่อไม่นานมานี้บุรุษรูปงามที่ยืนอยู่ตรงหน้านางผู้นี้คือคนพิการที่มีสภาพเป็นตายเท่าๆ กัน
นับตั้งแต่ที่จวินชิงสามารถลุกขึ้นยืนได้ เขาก็เริ่มฝึกฝนร่างกายของตัวเองอย่างต่อเนื่อง อันที่จริงหากไม่กลัวว่าจะถูกผู้ที่ลอบสังเกตการณ์อยู่ด้านนอกสังเกตเห็น เขาคงแอบมาฝึกที่ลานฝึกใต้ดินแห่งนี้จนถึงขีดสุดทุกวันแล้ว เพื่อชดเชยเวลาที่เสียไปในยามที่เขาไม่สามารถขยับขาของตนเองได้
“ที่ข้าเรียกเจ้ามาวันนี้ไม่ใช่เพื่ออะไร ข้าเพิ่งสังเกตเห็นว่าพักหลังมานี้อากาศดีทีเดียว ก็เลยอยากชวนเจ้าออกไปเที่ยวเล่นเป็นเพื่อนอาเล็ก ข้าคิดว่ามันคงจะดีไม่น้อยหากมีหลานสาวที่แสนน่ารักร่วมเดินทางไปชื่นชมทัศนียภาพที่แสนงดงามของฤดูใบไม้ผลินี้ด้วยกัน” จวินชิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็ส่งดาบในมือให้กับหลงฉี
…………..