ตอนที่ 69 ไม้อัคคีดอกสีเงิน

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

หากมิใช่เพราะอีกฝ่าย ตนคงไม่ต้องพบเจอหายนะเช่นนี้?

ลั่วเฉินลั่นวาจาในใจ มือกำรวบเป็นหมัด หากสามารถพบเจอฉินจิ่วเกอได้ ตนเองย่อมต้องอ้าปากกัดมันให้จมเขี้ยว มันนับเป็นดาววิบัติในชีวิตตนแท้ๆ

คนเงยหน้าขึ้นมองไปยังท้องฟ้าก่อนอรุณรุ่ง ชั่วยามก่อนฟ้าสาง คือช่วงเวลาที่ท้องฟ้ามืดมิดที่สุด ไร้ซึ่งแสงสว่างใดๆ แก่มนุษย์

“ตาแก่ กล้าลงไม้ลงมือกับศิษย์น้องของข้า มารับความตายแต่โดยดีเถอะ!” ขณะที่ลั่วเฉินกำลังปิดตาลงด้วยความสิ้นหวังอันเย็นเยียบ น้ำเสียงคุ้นเคยหากทว่าน่าชิงชังกลับดังขึ้นจากด้านข้าง

“ศิษย์พี่ใหญ่?” ลั่วเฉินตะลึงลาน คงเป็นสวรรค์เห็นว่าตนเองกำลังจะตายอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจ จึงส่งเสริมความปรารถนาให้เป็นจริง?

หากเป็นจริง ตนเองสมควรกัดมันตรงที่ใด เนื้อหนังจึงจะให้รสชาติเข้าปากกว่าที่อื่น?

ฉินจิ่วเกอพุ่งเข้ามาอย่างห้าวหาญเปี่ยมกำลังขวัญจากด้านข้าง การลักลอบโจมตีชนชั้นพิสุทธิ์ไพศาลนับเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ มิสู้เปิดตัวเผชิญหน้าอย่างอลังการไปเลยดีกว่า

เห็นสายตาอันเจิดจรัสของศิษย์น้องรองที่มองมายังตนเอง คล้ายดั่งขอทานที่กำลังหิวโซใกล้ตายพลันมองเห็นไก่ตัวหนึ่ง ปานจะกลืนกินทั้งเนื้อและกระดูกลงท้องไป

“ศิษย์น้องวางใจ ศิษย์พี่ใหญ่อยู่ที่นี่แล้ว รับรองว่าเจ้าจะไม่เป็นไร” ฉินจิ่วเกอเบิกบานยิ่ง นั่นน่ะพระเอกเชียวนะ

“เจ้า เจ้า” ลั่วเฉินหอบหายใจ สะกดเลือดลมที่ตีกลับลงไป “รีบหนีไปซะ นั่นคือหลิวเชียนที่ฆ่าคนตาไม่กะพริบ เจ้าสู้มันไม่ได้”

“ข้าไปไม่ได้ เจ้าไปได้” ฉินจิ่วเกอวอร์มกำปั้น คนยืนหยัดขวางกลางระหว่างลั่วเฉินและหลิวเชียน ตระหง่านค้ำดั่งเจดีย์เหล็กกล้า

“ศิษย์พี่” ลั่วเฉินคิดไม่ถึง ศิษย์พี่ใหญ่ที่ตาขาวกลัวตายที่สุดของมันกลับมีด้านที่ถือคุณธรรมน้ำมิตรถึงเพียงนี้อยู่ ต้องเอ่ยว่า “เจ้าทางที่ดีอย่าได้ตกตาย หากตายไปของของเจ้าทั้งหมดจะกลายเป็นของข้าแทน”

“ฮ่าฮ่า อย่างนั้นข้าก็คงตายไม่ได้แล้วล่ะสิ” ฉินจิ่วเกอเบนสายตาไปยังหลิวเชียน เพิ่งจะเห็นหน้าค่าตาก็เล่นงานพระเอกซะอ่วมอรทัย จุดจบของมันย่อมต้องอนาถอนาถาไม่ธรรมดาแน่นอน

“เหอเหอ” ประกายนัยน์ตาเยียบเย็นไร้ใจไหวระริกจากดวงตาหลิวเชียน “น้ำใจศิษย์พี่ศิษย์น้องของพวกเจ้าทั้งสองช่างลึกซึ้งนัก มาเถอะ ข้าจะให้พวกเจ้าทั้งสองเดินทางไปโลกหน้าอย่างเอิกเกริก”

ไพ่ตายของลั่วเฉินออกมาไม่หมดสิ้น นับว่าไม่ด้อยไปกว่าศิษย์ชั้นยอดของสี่พรรคใหญ่เลยแม้แต่น้อย

นอกจากไม่ลงมือ แต่เมื่อลงมือแล้วก็ต้องทำให้ถึงที่สุด หลิวเชียนแผ่รังสีฆ่าฟัน คิดกำจัดขวากหนามทั้งหมดให้สิ้นซาก

ฉินจิ่วเกอกริ่งเกรงว่าจะไปรบกวนการทะลวงด่านของลั่วเฉินเข้า ต้องสืบเท้าไปข้างหน้าสามก้าว หลิวเชียนเหลือบตามอง คนทะยานล่าถอยไปไกลร้อยเมตรก่อนยืนหยัดมั่นคง

“ปราณสุริยันขั้นกลาง มาดูกันว่าเจ้าจะรอดเงื้อมมือข้าไปได้กี่กระบวนท่า” พลังฝีมือภายในกายของหลิวเชียนบรรลุชั้นพิสุทธิ์ไพศาลขั้นสูงสุดไปแล้ว ลั่วเฉินยามรับมือยังไม่อาจทำอย่างไรมันได้ นอกจากมันผลาญพลังวิญญาณเหือดแห้งสิ้น ย่อมไม่มีอันใดใหญ่โต

ปราณสุริยันขั้นสูงสุดทั่วไป หลิวเชียนเพียงยกมือก็สามารถกวาดทำลายไปหมื่นรอบ ทว่าเมื่อต้องเผชิญพบคนทั้งสอง หลิวเชียนมิอาจไม่รำพันวาจาว่าอัจฉริยะพิสดารอันโดดเด่นนัก

ฉินจิ่วเกอยืนหยัดเบื้องหน้าหลิวเชียนไม่ไกลเท่าใด จากนั้นควักศิลาวิญญาณออกมาสองก้อนด้วยความเจ็บปวดถึงกระดองใจ

สมควรตาย ศิลาวิญญาณของข้าพร่องไปหลายส่วนทีเดียว เจ้าอ้วนน่าตายคดในข้องอในกระดูก กลับไปข้าจะจับหมูถ่วงน้ำ!

“เจ้าหมายความว่ายังไง?”

เห็นฉินจิ่วเกอโยนศิลาวิญญาณสองก้อนมา หลิวเชียนไม่เข้าใจความหมาย หากยังรับเข้ามาไว้ในมือจากที่ไกล

“พวกเราและเจ้าไม่มีความแค้นต่อกัน อีกฝ่ายเสนอแก่เจ้าเท่าใด ข้าจะให้เจ้าสองเท่า เจ้าไปกำจัดมันซะ เป็นอย่างไร?” ฉินจิ่วเกอเปิดราคาต่อรอง ต่อยตีกันไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา เจ้าแค่เสนอราคา ขอเพียงสามารถจ่ายไหวข้าก็จะไม่ต่อราคา

ใบหน้าเหลืองอมโรคของหลิวเชียนในที่สุดก็บังเกิดสีหน้าบางประการขึ้น ที่แท้นี่ก็คือข่าววงในของมัน?

สาเหตุที่มันจำต้องประมือกับศิษย์พรรคหลิงเซียว นั่นก็เพราะตัวประหลาดเฒ่านั่นสามารถตามหาตัวมันจนเจอ หมายความว่าอีกฝ่ายย่อมมีพลังฝีมือไม่ต่ำว่าระดับกลั่นดวงธาตุ หลิวเชียนไม่กล้าล่วงเกินมัน ยิ่งไม่กล้าเปิดเผยการคงอยู่ของมัน ในสายตาของกลั่นดวงธาตุแล้ว พิสุทธิ์ไพศาลล้วนไม่มีความหมายอันใดทั้งสิ้น

หลิวเชียนเอ่ยไม่รับน้ำใจ “ถ้านี่คือไพ่ตายอะไรนั่นของเจ้า เศษสวะเจ้าสมควรตายได้แล้ว”

ฉินจิ่วเกอใบหน้าแปรเปลี่ยนกลับกลาย ไม่ต้องการเงิน หรือต้องการร่างกายกันเล่า?

“ช้าก่อน” ฉินจิ่วเกอยื่นมือออก ส่งเสียงห้ามปราม “งั้นเจ้าต้องการอะไร?”

หากมันเป็นโจรราคะมิใช่โจรประสงค์ทรัพย์จริง ฉินจิ่วเกอคงต้องจำใจแลกเปลี่ยนเจ้าอ้วนน่าตาย ดูว่าสามารถสร้างความพอใจแก่อีกฝ่ายหรือไม่

“ชีวิตพวกเจ้า!” หลิวเชียนเห็นแววตาไม่ปรกติของฉินจิ่วเกอ ต้องบังเกิดความโกรธแค้นขึ้น ข้าจะตีไอ้เด็กนี่ให้ตาย

“ช้าก่อนอีกครั้ง” ฉินจิ่วเกอยกฝ่ามือขึ้นห้ามอีกครา เรียกให้หยุดมือ

ผู้คนสมัยนี้ ไม่ว่าอย่างไรล้วนต้องรักษาหน้าตาอยู่บ้าง แม้แต่หลิวเชียนเอง ล้วนต้องเคารพกฎเกณฑ์ของยุทธภพ

“เจ้าคิดทำอะไรอีก?” หลิวเชียนโมโหโทโส ไอ้หมอนี่ทำไมขัดมือขวางเท้าขนาดนี้

ลอบมองไปยังลั่วเฉินที่ด้านหลังผู้กำลังเข้าสู่ภวังค์การฝึกปรือ อีกฝ่ายกำลังทะลวงหลิงไถที่กลางหน้าผาก ทันทีที่หลิงไถเปิดออก ปราณสุริยันก็จะเปลี่ยนเป็นพิสุทธิ์ไพศาล ไร้คู่ต่อกร

“เจ้าเมื่อไม่ต้องการเงินหรือร่างกาย งั้นเอาเงินค่าผ่านทางเมื่อตะกี้คืนมาให้ข้า” ฉินจิ่วเกอหน้าเหม็น เงินตั้งสองศิลาวิญญาณ ไม่ใช่ของเล็กน้อย

หลิวเชียนหัวเราะเย็น ศิลาวิญญาณสองก้อนบนฝ่ามือป่นกลายเป็นผง ความหมายชัดเจนยิ่ง

“ตายซะเถอะ!” หลิวเชียนตระเตรียมลงมืออีกครา กลับได้ยินฉินจิ่วเกอร้องเรียกรั้งไว้อีกครั้ง “ช้าก่อนอีกรอบ”

“อะไรอีก!” หลิวเชียนใกล้คลั่ง คิดแทงอีกฝ่ายให้ตายในคราเดียวก็กลัวมันจะตายสบายเกินไป

ฉินจิ่วเกอดวงหน้าทระนงองอาจ สองมือเท้าสะเอว ท่วงท่าราวมนุษย์ป้าหน้าตลาด ลอยหน้าลอยตากล่าว “ไม่มีอะไร เรียกเล่นไม่ได้หรืออย่างไร?”

“เข้ามารับความตาย!” หลิวเชียนเหินร่างขึ้นสูง พลังวิญญาณโคจรหมุนเวียน ฝ่ามือขนาดยักษ์ผุดโผล่จากกลางอากาศ บดขยี้เข้าใส่ฉินจิ่วเกอ พิสุทธิ์ไพศาลทั่วไป สามารถตกตายในทันทีหากถูกโจมตีเข้าจังๆ

ฝ่ามือยักษ์เคลื่อนผ่านความมืดมิด ไม่อาจเห็นชัดตา ฝ่ามือพิฆาตก็ถล่มลงใส่เหนือศีรษะของฉินจิ่วเกอ

ผืนดินถูกบดขยี้ ดินโคลนที่ถูกเผาผลาญจนป่นเป็นทรายเหลวไร้ซึ่งความแข็งใด ฉินจิ่วเกอย่อเข่าลง คนถูกฝังลงไปในดิน

“ข้าจะบอกให้ ข้าเบื้องบนมีมังกรเขียวพ่นน้ำ เบื้องล่างมีพยัคฆ์ขาวแกว่งหาง วิหคอัคคีอารักขา ยังมีทักษะยุทธ์คอยหนุน ที่พิเศษสุดๆ ก็คือ ศิษย์น้องข้าเป็นพระเอก ถ้าเจ้าคิดเข้ามาแบบสุ่มสี่สุ่มห้า ต้องถูกฟ้าผ่าตาย”

ฉินจิ่วเกอยันฝ่ามือยักษ์เอาไว้ ครึ่งร่างจมลงไปในดินโคลน

“ขี้โม้โอ้อวด!” หลิวเชียนไม่ต่อปากต่อคำกับอีกฝ่าย หนึ่งฝ่ามือครอบคลุมเหนือศีรษะ ทุบทำลายฉินจิ่วเกอ

“เคล็ดกิเลนครองฟ้า ไป!”

ฝ่ามือขนาดยักษ์ใหญ่ประมาณครึ่งหนึ่งของด้านบนก่อรูปขึ้นใจกลางฝ่ามือของฉินจิ่วเกอ ชักนำโดยเจตจำนงของฉินจิ่วเกอ ปะทะหักล้างเข้าใส่ฝ่ามือพลังวิญญาณขนาดใหญ่พลิกทะเลคว่ำบรรพตของหลิวเชียน

แรงอัดอากาศอุ่นแปลงสภาพเป็นคมมีดสายลม แต่ละเล่มปาดเฉือนผิวหนังฉินจิ่วเกอจนเหวอะหวะ ก่อนพุ่งกระจายออกไป

ทั่วร่างอาบโลหิตชุ่มโชกอีกครา กล้ามเนื้อถูกเฉือนลึกปะปนจุดเส้นชีพจร คล้ายกลายเป็นเส้นพันอย่างยุ่งเหยิง

หลิวเชียนที่เบื้องบนท้องฟ้าเองก็ไม่สู้ดี คนร่วงหล่นลงเบื้องล่าง โบกสะบัดแขนเสื้อปัดป่ายคมมีดสายลม

“เข้ามา!” เพื่อถ่วงเวลาให้โอกาสลั่วเฉินพลิกมาเป็นฝ่ายเอาชัย ฉินจิ่วเกอเองก็สู้ไม่ถอย โบกฝ่ามือนำเอาศิลาวิญญาณนับพันออกมา บังคับกลืนพลังวิญญาณเข้าสู่ร่าง

วิธีการเช่นนี้ ถือเป็นวิธีการอันสิ้นคิด ชีพจรขาดสะบั้น ตันเถียนแตกทำลาย เป็นข้อห้ามของการฝึกฝีมือ

น้ำให้คุณแก่สรรพสิ่งเหนือกว่าวัตถุใด ทว่าน้ำก็สามารถกลายเป็นสัตว์ป่ามหาอุทกภัย กลืนกินหมื่นวิญญาณ บุญคุณเลิศล้ำถึงเพียงนี้ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงพลังวิญญาณ ย่อมต้องอ่อนโยนถึงเพียงนั้น

โชคดีที่ได้ดอกพลับพลึงแดงขัดเกลาสังขาร ฉินจิ่วเกอยามต้านทานแรงกดทับ ทุกรูขุมขนถูกใช้เป็นแหล่งดึงดูดพลังชั้นดี

“ฝ่ามือดารา!” ฝ่ามือก่อรูปอีกครั้ง หลิวเชียนประดุจดั่งแสงดารากลางฟ้า ฝ่ามือไม่ขยับเคลื่อนไหว ก็ส่งพลังวิญญาณออกจู่โจมราวกลุ่มดาวดารดาษบนท้องฟ้า

“ฝ่ามือกิเลนครองฟ้า!” ฉินจิ่วเกอเพียงบังเกิดการหยั่งรู้เท่าหนึ่งเส้นขนในดงวัว อาศัยกระบวนท่านี้ สามารถต้านทานรับมือหลิวเชียนได้โดยตรงโดยไม่ตกเป็นเบี้ยล่าง เรียกว่าสามารถยันไว้ได้

หลิวเชียนเองก็เลิกล้มความคิดดูถูก โดยเฉพาะฝ่ามือทลายฟ้าถล่มดินฝ่ามือนี้ แม้จะเป็นพิสุทธิ์ไพศาลขั้นปลาย เกรงว่ายังต้องรับมืออย่างเต็มกลืน

ครืนนนนน!

กระบวนโจมตีเคลื่อนจักรวาล สองฝ่ามือมหึมาคือสองมีดเผชิญหน้า ต่างกอปรไปด้วยพลังของตนเอง

ฝ่ามือกิเลนครองฟ้า เจตจำนงครองฟ้า มิใช่ทำลายล้าง

กระบวนท่านี้ถูกหลิวเชียนใช้ออกจนถึงขีดสุดอันสมบูรณ์แบบ แทบไร้ซึ่งช่องว่างรอยโหว่

รวมจิต ปรับลมปราณ โคจรพลังจิต สายตาเยือกเย็นเฉื่อยชา

พลังวิญญาณก่อร่างบังคับครอบคลุมลงอย่างแน่นหนา หว่างคิ้วเปิดออก คล้ายเป็นตำแหน่งของหลิงไถเอง

ลั่วเฉินเองก็กำลังขะมักเขม้นในการทะลวงขอบเขตฝีมืออยู่เช่นกัน ฉินจิ่วเกอใช้ชีวิตเข้าแลกเช่นนี้ทำให้มันเกิดความหวั่นไหว

ลั่วเฉินล่าถอยติดต่อกันอีกสามก้าว เลือดลมในร่างตีกลับ สุดท้ายศรโลหิตสองสายพุ่งออกเป็นฟูมฝอย คนอ่อนกำลังลงหมดความห้าวหาญ

หลิวเชียนขยับเคลื่อนไหว คิดเข้าไปสังหารลั่วเฉิน ตอนนี้ อีกฝ่ายไร้เรี่ยวแรงและความสามารถในการต่อต้านขัดขืน

“คิดแตะต้องมัน ต้องผ่านข้าไปก่อน เราผู้เฒ่ายังไม่ตาย!” พละกำลังจากจุดเยือกแข็งกลับคืนสู่ขั้นสูงสุดอีกครั้ง ฉินจิ่วเกอดูดซับพลังวิญญาณอย่างกระหาย แม้แต่ปลายจมูกยังพ่นออกมาเป็นละอองพลังวิญญาณ

สามร้อยศิลาวิญญาณถูกฉินจิ่วเกอฝืนบังคับย่อยสลายไปอีกแล้ว ฉินจิ่วเกอยามนี้ไม่แยแสสนใจผลที่ตามมาใดๆ ลงมือท้าทายต่อยอดฝีมือพิสุทธิ์ไพศาลขั้นสูงสุดอีกครั้ง

“ฝ่ามือกิเลนครองฟ้า!”

“สามหาว!”

รัตติกาลแตกทำลาย ท้องฟ้าปรากฏแสงสว่าง

ภายในป่าดึกดำบรรพ์อันทึบทะมึน มหาภัยพิบัติก่อตัว ไม่ต่างจากแผ่นดินไหวระดับสิบ ไม่มีผู้ใดกล้าย่างกรายเข้าใกล้แม้เพียงครึ่งก้าว

ทั่วร่างฉินจิ่วเกอเต็มไปด้วยปากแผลและโลหิตสดไหลชโลม บางส่วนคือลูกหลงจากการโจมตีที่หลุดรอดมา บางแห่งคือจุดเส้นชีพจรที่บวมพองทะลักจนเนื้อแยกออกมา

กระบี่หนักเสียบคาอยู่บนพื้น ชายหนุ่มยืนหยัดทรงกายโดยใช้กระบี่หนักเป็นที่พักพิง ไม่ต่างจากอนุสาวรีย์

แม้ลมเมฆแปรเปลี่ยนผันแปร หากอนุสาวรีย์ยังคงยืนหยัดมั่นคง

นัยน์ตาทั้งสองข้างปรากฏโลหิตสดไหลหลั่งลงมาเป็นเส้นสาย ฉินจิ่วเกอยามนี้ไม่อาจมองเห็นหลิวเชียนได้ชัดเจน สำนึกอ่อนโทรมยิ่ง เพียงอาศัยเสี้ยวสำนึกในห้วงสมองกวาดกราด

ทะลวงด่านแล้ว

น่าเสียดาย ที่ทะลวงด่านมิใช่ลั่วเฉิน หากแต่เป็นฉินจิ่วเกอ ท่ามกลางการดิ้นรนในห้วงความเป็นความตาย ทำให้มันทะลวงผ่านจากปราณสุริยันขั้นกลางสู่ขั้นปลายแล้ว

แต่สำหรับการศึกที่เบื้องหน้านี้ แน่นอนว่าไม่ต่างจากน้ำหนึ่งแก้วในกองฟืนหนึ่งคันรถ ไม่อาจมองเห็นแสงสว่างใด

ทะลวงด่านฝีมือ ฉินจิ่วเกอฝืนปลุกปลอบสติสมาธิ สังขารอัมพาตพาดอยู่กับกระบี่หนักที่ปักเอาไว้มั่นไว้กับพื้นดิน ก่อนหงายหลังลงไป

ที่จริงมันฝืนขีดจำกัดสำแดงพลังของกิเลนครองฟ้าออกมาได้ถึงห้าครั้ง นับว่ามีพลังแฝงที่เหนือคนแล้ว ฉินจิ่วเกอยิ่งใช้ทักษะยุทธ์ได้อย่างคล่องแคล่วถนัดมือ ยิ่งสามารถสัมผัสได้ถึงขอบเขตที่ยามปรกติมันไม่อาจสัมผัสได้

อันใดคือหมัด?

ห้านิ้วกำรวบแน่น นั่นก็คือหมัด

อันใดคือฝ่ามือ?

ห้านิ้วประกบชิดเรียงติดกัน นั่นก็คือฝ่ามือ

คำอีกหนึ่งคำ ถูกถ่ายทอดออกมาจากไท่หวง เป็นตัวแทนแห่งความหมายอันลึกล้ำไร้คู่เปรียบ ไม่อาจหาใดเสมอเหมือน

ฝ่ามือกิเลนครองฟ้า ก็คือพลังเทวะแห่งกิเลนที่สามารถฉีกฟ้าแยกพิภพ จำลองมาอยู่ในกำมือมนุษย์ อาศัยพลังนั้นเข่นฆ่าพิฆาตศัตรู

อันใดคือมือ?

ฉินจิ่วเกอเริ่มเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงความหมายที่แท้จริงของฝ่ามือกิเลนครองฟ้า ตัวประหลาดที่คิดค้นเคล็ดวิชาลับนี้ขึ้นมา สมควรเป็นยอดคนกฎสรรพสิ่ง มีเพียงผู้สูงส่งในขอบเขตขั้นสูงขึ้นไปเท่านั้นจึงสามารถปราบมันลงได้

ยุคสมัยบรรพกาล คือยุคแห่งปาฏิหาริย์ เส้นทางสวรรค์ราบรื่นไร้อุปสรรค เจ็ดทวารยังไม่ถูกปิดกั้น มิใช่สิ่งที่ยุคสมัยปัจจุบันจะเทียบเปรียบได้

มือ ไม่ว่าจะกำเป็นหมัดหรือแบออกเป็นฝ่ามือ ที่จริงล้วนด้อยอานุภาพกว่าการแกว่งไกวศัสตราอยู่อักโข

กังฟูเลิศล้ำยังไม่สู้มีดทำครัว และที่ใช้หยิบมีดทำครัวขึ้นมา มิใช่ท่าหมัดท่าฝ่ามืออันใด แต่เป็นมือ!

ใช่แล้ว มือ มือสามารถหยิบจับอาวุธ แล้วทำไมต้องใช้มือเปล่าเข้าต่อยตีด้วยเล่า?

ฉินจิ่วเกอที่เพิ่งทะลวงด่านสำเร็จ ทลายม่านบางๆ ที่กั้นอยู่ในจิตใจ ทำความเข้าใจกับความหมายแท้จริงของฝ่ามือกิเลนครองฟ้าในท้ายที่สุด เข้าใจถึงความนัยที่แฝงเร้นอยู่ภายในเคล็ดวิชาแล้ว!

.

.

.