ตอนที่ 13-1 นามของนางคืออวิ๋นจู (2)
หญิงชรามองดวงหน้าที่คล้ายคลึงกับเจาหมิงถึงห้าหกส่วน โลหิตทั่วทั้งร่างราวกับถูกแช่แข็งในพริบตา
“ท่านรู้จักอวิ๋นจูใช่หรือไม่” จีหมิงซิวมองนาง
ร่างกายของหญิงชราสั่นเทาน้อยๆ นางยกมือสั่นระริกขึ้นหมายจะลูบคลำใบหน้าของจีหมิงซิว ทว่าปลายเล็บเพิ่งจะสัมผัสโดนก็ผละออกอย่างรวดเร็ว “เจ้าคือ…”
“มารดาของข้าคือเจาหมิง ท่านรู้จักอวิ๋นจูใช่หรือไม่” จีหมิงซิวมองนางไม่กะพริบตา ไม่ปล่อยความเปลี่ยนแปลงใดๆ บนสีหน้าของนางเล็ดลอดผ่านไป เขาดื้อดึงอยากจะได้ยินคำตอบจากปากนางให้จงได้
หญิงชรามองจีหมิงซิวอย่างหม่อลอย “เจ้าพูดอีกครั้งซิ มารดาของเจ้าคือผู้ใด”
จีหมิงซิวตอบอย่างจริงจัง “มารดาของข้าคือองค์หญิงเจาหมิงแห่งต้าเหลียง บิดาของข้านามว่าจีซั่งชิง ข้าแซ่จี นามว่าหมิงซิว”
หญิงชราพึมพำ “ตระกูลจี…ใช่สินะ…มารดาของเจ้าแต่งงานกับเจ้าเด็กคนนั้นของตระกูลจี…เจ้าแซ่จี…เหตุใดข้าจึงคิดไม่ถึงว่าเจ้าเป็น…”
“ผู้อาวุโส ท่านคิดไม่ถึงว่าข้าเป็นผู้ใด” จีหมิงซิวถามอย่างดื้อรั้น
“ข้าคิดไม่ถึงว่าเจ้าเป็น..ข้าเป็น…ข้าเป็น…”
พูดมาถึงตรงนี้ จู่ๆ ในคอของนางก็เริ่มมีเสียงสะอื้น
จีหมิงซิวยิ้มน้อยๆ แววตาใสกระจ่างดุจสายน้ำเอ่ยคำสองพยางค์คำนั้นออกมาแทนนาง “ท่านยาย”
อวิ๋นจูเงยหน้าขึ้นมาอย่างไม่อยากเชื่อ
จีหมิงซิวยิ้มน้อยๆ “ท่านยาย”
หยาดน้ำแวววาวปรากฏในดวงตาของอวิ๋นจู
อวิ๋นจูมองใบหน้าดวงนี้ ยิ่งมองก็รู้สึกว่ายิ่งเหมือน ความจริงแล้วหน้าตาของเจาหมิงได้รับสืบทอดมาจากกู่เฉียนมากกว่า นี่จึงเป็นเหตุให้จีหมิงซิวมองอวิ๋นจูไม่ออกในทีแรก เพียงแต่ว่าในช่วงเวลาอันอบอุ่นซึ่งหาได้ยากนี้ ไม่มีผู้ใดคิดจะทำลายห้วงเวลาอันสวยงามด้วยการเอ่ยถึงกู่เฉียน
“ข้า…” หน้าอกของอวิ๋นจูพองขึ้นยุบลงแรงมากกว่าเดิมเล็กน้อย นางเร้นกายอยู่ในที่แห่งนี้มายี่สิบกว่าปี ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันนี้ เรื่องนี้เหมือนจู่ๆ ก็มีทองคำก้อนโตตกจากฟ้ามากระแทกใส่นางจนสับสนมึนงง
จีหมิงซิวก็สภาพไม่ดีไปกว่านางสักเท่าไร จีหมิงซิวเพียงเริ่มสงสัยเร็วกว่านางก้าวหนึ่งเท่านั้น แต่ทว่ามันก็เป็นเพียงความสงสัยเล็กๆ เท่านั้น ยามที่ได้ฟังคำตอบจากปากของนางจริงๆ เขาก็ยังตกตะลึงอย่างรุนแรง จวบจนกระทั่งตอนนี้ก็ยังตื่นเต้นยินดีจนเรียกสติกลับมาไม่ได้
เขามาที่นี่เพื่อตามหาเฉียวเวย ทว่าไม่เพียงตามหาเฉียวเวยพบ แต่ยังพบอวิ๋นจูอีกด้วย
เขาไม่เชื่อในโชคชะตา ทว่าในเวลานี้เขากลับรู้สึกขอบคุณความน่าอัศจรรย์ของโชคชะตาอย่างห้ามไม่ได้
“ท่านยาย” เขาก้าวเข้าไปข้างหน้า เห็นอวิ๋นจูที่ยืนหันหลังให้หัวไหล่สั่นเทาก็ถามเสียงเบาว่า “ท่านยาย ท่านร้องไห้หรือ”
อวิ๋นจูปาดน้ำตา หันกลับมาทั้งที่ดวงตาแดงระเรื่อ “ท่านยายเปล่าสักหน่อย”
พอได้ยินนางยอมรับคำเรียกขานนั้นเองกับปาก ดวงตาของจีหมิงซิวก็หยีโค้ง เผยรอยยิ้มเหมือนคนว่าง่ายเชื่อฟัง
ท่าทางหน้าหนาไร้ยางอายเช่นนี้กลับทำให้อวิ๋นจูสบายใจขึ้น
อวิ๋นจูยกมือขึ้นช้าๆ นางลังเลอยู่ครั้งสองครั้ง สุดท้ายก็ยกมือลูบใบหน้าเย็นเฉียบของเขาเบาๆ
ก่อนหน้านี้จีหมิงซิวเดินจากมาได้ครึ่งทางแล้ว แต่จู่ๆ เขาก็ผละออกจากขบวนหันหลังกลับมุ่งหน้าไปทางหุบเขา เฉียวเวยร้องเรียกก็ไม่ยอมหยุด ดังนั้นนางจึงเลี้ยวกลับตามมาด้วย นางเห็นจีหมิงซิวมุ่งหน้ามาทางบ้านไม้หลังน้อยก็คิดว่าจีหมิงซิวลืมของสำคัญอะไรไว้ในบ้านเสียอีก ทว่าเมื่อนางเร่งรีบมาถึง นางได้เห็นสิ่งใด
ผู้มีพระคุณของนางกับสามีของนางกำลังยืนจ้องมองกันอย่าง ‘ลึกซึ้ง’ แล้วยังลูบหน้าลูบตากันอีก!
ไหน้ำส้มของหัวหน้าพรรคเฉียวแตกดังโพละทันที
หัวหน้าพรรคเฉียวเดินเข้าไปหาอย่างดุร้าย นางดึงสามีของตนเองออกมาอย่างโอหัง จากนั้นสาวเท้าก้าวมาขวางระหว่างกลางทั้งสองคนพร้อมกับทำหน้าตาดุร้าย บนใบหน้าเหมือนจะมีประโยคหนึ่งเขียนติดไว้ว่า ‘พวกท่านห้ามมาทำเรื่องเลวทรามต่ำช้า ข้าดุร้ายมากนะรู้ไว้ด้วย!’
จีหมิงซิวขบขันท่าทาง ‘ข้าดุร้ายมากนะรู้ไว้ด้วย’ ของนาง
เขาหัวเราะแล้วน่ามองยิ่งกว่าเดิม ดวงตาหยีโค้ง ริมฝีปากยกโค้งขึ้นมานิดๆ ประหนึ่งแสงจันทร์ทั้งโลกสาดส่องลงมาบนร่างเขาเพียงคนเดียว ทิวทัศน์หุบเขายามราตรีถูกรอยยิ้มของเขาอาบไล้จนสว่างไสว
ทว่าตอนนี้เวลานี้หัวหน้าพรรคเฉียวไม่มีอารมณ์มาชื่นชมรอยยิ้มของเขา!ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
เขาถึงขั้นถอดหน้ากากต่อหน้าคนแปลกหน้าคนหนึ่ง!
เขาคิดจะทำอะไร
ก่อกบฏหรือ!
“จีหมิงซิว!” นางพองขน ตะโกนเรียกทั้งชื่อทั้งแซ่ของเขา แม้สตรีนางนี้จะอายุเท่ากับท่านย่าของเขา แต่กลางวันแสกๆ พวกเขาสองคนทำท่าทางใกล้ชิดสนิทสนมกันเช่นนี้ไม่เหมาะสมเกินไปหน่อยหรือไม่! โดยเฉพาะหน้ากาก นางต้องพบหน้าเขาตั้งกี่ครั้งกว่าเขาจะยอมถอดน่ะ!
จีหมิงซิวหัวเราะจนไหล่สั่น มือสองข้างวางลงบนหัวไหล่ของนางเบาๆ แล้วจับนางหันไปหาอวิ๋นจู “เด็กดี รีบทักทายเร็วเข้า”
เฉียวเวยเหยียดหลังตรง “ทักทายผู้ใดกัน อย่าคิดว่าข้าตาบอดนะ! เมื่อครู่ข้าเห็นหมดทุกอย่าง! พวกท่านสองคน…”
จีหมิงซิว “คนนี้คือท่านยาย”
หัวหน้าพรรคเฉียว “ท่านยายยินดีที่ได้พบเจ้าค่ะ!”
คำพูดเปลี่ยนฉับโดยไม่เว้นช่องว่าง แถมด้วยร่างกายโค้งคำนับเก้าสิบองศา กล่าวเสียงดังกังวาน ท่าทางจริงใจอย่างยิ่ง
อวิ๋นจูมองศีรษะทุยสีดำสนิทที่จู่ๆ ก็ก้มลงมาหน้าตนเองอย่างกะทันหัน หนังตากระตุกยิกๆ “…ยินดี ยินดี”
ไม่นานเยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับไห่สือซานก็รีบร้อนตามมาถึง ทั้งสองคนไม่เข้าใจว่าฝั่งนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดจู่ๆ ทั้งสองคนจึงวกกลับมาไม่ยอมไป
“เกิดอะไรขึ้น พกวท่านจะพักค้างคืนหรือ” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยชะเง้อมองผ่านช่องว่างของประตู แต่มองไม่เห็นผู้อาวุโสฝีมือร้ายกาจคนนั้นจึงผิดหวังอยู่เล็กน้อย
จีหมิงซิวตอบว่า “พวกเจ้ากลับไปก่อน กลับไปแล้วข้าค่อยอธิบายให้พวกเจ้าฟังอีกที”
เยียนเฟยเจวี๋ยถอนหายใจดังเฮ้อ “ให้ข้าพบหน้าผู้อาวุโสคนนั้นด้วยสิ!”
“เจ้าน่ะไปได้แล้ว!” ไห่สือซานถลึงตาใส่เขาแล้วลากเขาเดินจากไป
ทั้งสองคนต้องรีบไปก่อนที่คนของลัทธิศักดิ์สิทธิ์จะตามมาพบ แล้วยังต้องหาสถานที่เหมาะๆ สักแห่งทิ้งศพพร้อมกับปลอมสถานที่ตรงนั้นให้กลายเป็นสถานที่เกิดเหตุอีก นี่ไม่ใช่งานน้อยๆ แม้แต่ชั่วครู่เดียวก็ยอมเสียเวลาไม่ได้
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถอนหายใจดังเฮ้อแล้วเดินจากไป
จีหมิงซิวเดินเข้ามาในบ้าน
ตอนที่เขาเข้ามาในบ้าน เฉียวเวยกำลังกระซิบอะไรเสียงเบากับอวิ๋นจูอยู่ “…ท่านอย่าเพิ่งบอกเขา ข้าไม่อยากให้เขา..”
เฉียวเวยรีบเอามือที่กุมอยู่ตรงท้องออกอย่างรวดเร็ว “ไม่มีอะไร ข้า…ข้าจะไปทำอาหารแล้ว!”
จีหมิงซิวมองแผ่นหลังของใครบางคนที่หนีไปอย่างตระหนกลนลานแล้วหรี่ตาลง
…