ตอนที่ 59 ตระกูลผู้จงรักภักดี

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

“หยุดเดี๋ยวนี้! เจ้าคิดจะทำสิ่งใด!” ไป๋ชิงเหยียนเรียกไป๋จิ่นถงไว้โดยไม่ได้หันกลับมามอง

“สวรรค์ไม่ยุติธรรมต่อตระกูลไป๋! ตระกูลไป๋ทุกคนล้วนจงรักภักดี ปกป้องบ้านเมือง คุ้มครองชาวบ้าน เหตุใดถึงมีจุดจบเช่นนี้กัน! ต่อให้ข้าต้องตายก็จะสังหารฮ่องเต้ชั่วช้าองค์นั้นให้ได้! ข้าจะฆ่าล้างตระกูลของหลิวฮ่วนจาง!” ไป๋จิ่นถงเต็มไปด้วยความเกลียดชัง โกรธจนแทบอยากทำลายโลกใบนี้ให้สิ้นซาก ให้แคว้นต้าจิ้นชดใช้ให้บุรุษตระกูลไป๋ด้วยชีวิต

”แลกชีวิตของเจ้าเพื่อแก้แค้นให้ตระกูลไป๋เช่นนั้นหรือ” หญิงสาวหันกลับมา ดวงตาแดงฉานจ้องไปยังไป๋จิ่นถง “แล้วหลังจากนั้นเล่า”

“หลังจากนั้น?!” ไป๋จิ่นถงกัดฟันกรอด

“ฆ่าล้างตระกูลหลิวฮ่วนจาง? แล้วเจ้าจะฆ่าซิ่นอ๋อง ฆ่าฮ่องเต้ได้เช่นนั้นหรือ ต่อให้เจ้าทำมันได้สำเร็จแล้วสตรีที่เหลืออยู่ในตระกูลไป๋จะทำเช่นไร! สังหารฮ่องเต้คือโทษหนัก…เจ้าต้องการให้สตรีทั้งหมดของตระกูลไป๋ต้องชดใช้ด้วยชีวิตเพียงเพราะการระบายความโกรธของเจ้าเช่นนั้นหรือ! พี่รู้ว่าเจ้าไม่กลัวตาย แต่หากเจ้าตายไปเจ้าจะมีหน้าไปพบท่านปู่ พบท่านพ่อของเจ้าได้อย่างไร!”

เห็นไป๋จิ่นถงเม้มปากแน่น ดวงตาและสีหน้ามีแต่ความสิ้นหวัง ไป๋ชิงเหยียนเข้าใจความรู้สึกนี้ดี หญิงสาวข่มโทสะที่เดือดพล่านอยู่ในใจ โน้มน้าวทั้งน้ำตา “ท่านย่าเป็นองค์หญิงใหญ่แห่งราชวงศ์นี้ หากเจ้าสังหารซิ่นอ๋องและฮ่องเต้ เจ้าจะเผชิญหน้ากับท่านย่าอย่างไร!”

ความโกรธที่พลุ่งพล่านของไป๋จิ่นถงค่อยๆ มลายหายไป หญิงสาวค่อยๆ ทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้นวม น้ำตาไหลอาบใบหน้า “แต่เหตุใดตระกูลไป๋ของเราจึงมีจุดจบเช่นนี้เล่าเจ้าคะ ตระกูลไป๋ช่วยเหลือคุ้มครองชาวบ้านต้าจิ้นไว้มากมาย มีผู้ใดช่วยเหลือตระกูลไป๋ที่มีแต่ความจงรักภักดีของเราบ้าง!”

“ความกล้าหาญอย่างบ้าระห่ำ มีในตัวของทุกคน…” ไป๋ชิงเหยียนก้มลงเก็บม้วนไม้ไผ่ที่ตกอยู่บนพื้น ม้วนเก็บอย่างระมัดระวังแล้ววางลงบนโต๊ะหนังสือ “ฆ่าคนนั้นง่ายที่สุด แต่ก็โง่เขลาที่สุด”

“พี่หญิงใหญ่ ท่านมีแผนการแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ” ไป๋จิ่นซิ่วข่มความเศร้าโศกไว้ในใจ เอ่ยถามเสียงแหบพร่า

“กลยุทธ์ทางทหารมีเล่ห์กล นักรบจะชนะศึก ต้องคว้าโอกาสไว้ให้ได้ พวกเราไม่มีอำนาจในราชสำนัก ทำได้เพียงใช้ประโยชน์จากสถานการณ์และใจของชาวบ้านเพื่อทวงคืนความยุติธรรมให้วีรบุรุษตระกูลไป๋”

หญิงสาวโยนตุ๊กตาดินปั้นรูปคนขี่ม้าถือดาบลงไปในเตาผิง ประกายไฟลุกลามสว่างจ้าสะท้อนดวงตาเยือกเย็นสีดำขลับของหญิงสาวจนกลายเป็นสีแดงฉาน

ใจที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นของไป๋ชิงเหยียนสงบลงแล้ว อารมณ์เศร้าโศกเสียใจและโกรธแค้นของไป๋จิ่นซิ่วและไป๋จิ่นถงก็ค่อยๆ สงบลงเช่นกัน

เมื่อมีเป้าหมายในใจแล้วก็จะไม่รู้สึกไร้หนทางจนทำสิ่งใดไม่ถูกอีก

ไป๋ชิงเหยียนมองดูไฟในเตาผิงแผดเผาตุ๊กตาดินปั้นจนกลายเป็นผุยผง จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นเสียงเบา “ร้องไห้ที่เรือนชิงฮุยเสียให้พอ! พวกเรายังมีท่านย่าที่อายุมากแล้ว มีน้องสาวที่อายุยังน้อย ท่านอาสะใภ้ห้าก็กำลังตั้งครรภ์! ดังนั้นพวกเราไม่ควรท้อแท้ ห้ามอ่อนแอ ห้ามล้มลงเป็นอันขาด! เราต้องประคองท่านแม่ ท่านอาสะใภ้และตระกูลไป๋ให้ยืนหยัดต่อไปให้ได้!”

ไป๋จิ่นซิ่วและไป๋จิ่นถงรู้สึกว่าแม้ร่างกายของไป๋ชิงเหยียนจะดูอ่อนแอแต่กลับมีแววตาที่วาวโรจน์ ทรงพลังจนทำให้พวกนางสามารถเชื่อใจและพึ่งพาได้

“จิ่นถงทราบแล้วเจ้าค่ะ!” ไป๋จิ่นถงกัดฟันกรอด

“จิ่นซิ่วทราบแล้วเจ้าค่ะ!” ไป๋จิ่นซิ่วรับคำอย่างยากลำบาก

“พี่จะไปบอกกับท่านแม่เอง! จิ่นซิ่วเจ้าไปบอกท่านอาสะใภ้สอง จิ่นถงเจ้าไปบอกท่านอาสะใภ้สาม!” น้ำเสียงของไป๋ชิงเหยียนเบาหวิว

แม้ว่าไป๋จิ่นถงจะเป็นเพียงบุตรอนุ แต่นางถูกเลี้ยงดูสั่งสอนมาโดยหลี่ซื่อพร้อมๆ กับไป๋จิ่นจื้อ นางเห็น

หลี่ซื่อเป็นดังมารดาแท้ๆ

“ไม่ต้องเอ่ยถึงม้วนไม้ไผ่ นี่คือไพ่ใบสำคัญของตระกูลไป๋” หญิงสาวนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยสำทับขึ้น “คืนสิ้นปีพรุ่งนี้จะมีข่าวการตายของพวกท่านปู่ส่งกลับมาที่เมืองหลวง เตรียมพร้อมไว้ก่อนดีกว่า!”

ไป๋ชิงเหยียนหลับตาลง…ชาติที่แล้วในคืนวันสิ้นปี เมื่อข่าวส่งมาถึงเมืองหลวง เสียงร้องไห้อย่างหมดหวังของตระกูลไป๋ดังกังวานท่ามกลางดอกไม้ไฟที่สว่างไสว! เมื่อนางหลับตาลงก็เต็มไปด้วยภาพความทุกข์ระทมครอบงำไปทั่วจวนเจิ้นกั๋วกง

พี่น้องทั้งสามคนกอดคอกันร้องไห้ น้ำตาไหลแทบเป็นสายเลือด

ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ไป๋จิ่นซิ่วและไป๋จิ่นถงเดินออกมาจากเรือนชิงฮุยด้วยความสับสนว้าวุ่น บรรดาสาวใช้ของเรือนชิงฮุยต่างรีบกลับเข้าไปในเรือน ต้มน้ำร้อน ยกกะละมังทองแดงไปให้ไป๋ชิงเหยียนล้างหน้า เปลี่ยนเครื่องแต่งกาย

เรื่องที่เช้าวันนี้ชุนเถาวิ่งไปตามคุณหนูสามที่เรือนปี้ถงราวกับคนบ้า รวมถึงเรื่องที่ไล่บ่าวรับใช้ทั้งหมดไปรออยู่ที่นอกเรือนชิงฮุยแพร่สะพัดไปทั่วจวน ไป๋ชิงเหยียนยังไม่ทันไปหาต่งซื่อ ต่งซื่อก็มาถึงเรือนชิงฮุยแล้ว

เมื่อเข้ามาในห้องแล้วเห็นว่าไป๋ชิงเหยียนกำลังเปลี่ยนเครื่องแต่งกายด้วยท่าทีปกติ ต่งซื่อจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก ใช้ผ้าเช็ดหน้าทาบอกพลางเอ่ย “เมื่อเช้านี้เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือไม่ เหตุใดจึงให้ชุนเถาไปตามจิ่นถงด้วยท่าทีรีบร้อนเช่นนั้น”

ไป๋ชิงเหยียนมองดูต่งซื่อที่นั่งอยู่บนเก้าอี้นวม โบกมือไล่ให้ชุนเถาและสาวใช้ออกไปข้างนอก

“ท่านแม่…” ไป๋ชิงเหยียนนั่งลงข้างๆ ต่งซื่อ กอดแขนมารดาเอาไว้ ดวงตาแดงก่ำขึ้นมาอีกครั้ง พอเริ่มเอ่ยปากนางก็นิ่งเงียบไปอีกครั้ง ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดี ทำได้เพียงเอ่ยเรียกต่งซื่อ “ท่านแม่! ท่านแม่…”

“เจ้าเป็นอันใดไป” ต่งซื่อเห็นท่าทีเศร้าสร้อยฝืนกลั้นน้ำตาของบุตรสาว รอยยิ้มเริ่มแข็งทื่อ ในใจเริ่มมีลางสังหรณ์ไม่ดีเพราะปกติบุตรสาวของนางเป็นคนเก็บอารมณ์เก่ง เคยร้องไห้ต่อหน้านางเช่นนี้เมื่อใดกัน

“ท่านแม่…” ไป๋ชิงเหยียนสูดหายใจลึก เงยหน้าขึ้นน้ำตาไหลพรากไม่ขาดสาย หญิงสาวกอดแขนต่งซื่อด้วยแรงทั้งหมดที่มี กล่าวอย่างกล้ำกลืน “ท่านปู่ ท่านพ่อ…และน้องชาย กลับมาไม่ได้แล้วเจ้าค่ะ! รายงานจากกองทัพน่าจะมาถึงในวันพรุ่งนี้เจ้าค่ะ”

ต่งซื่อตะลึงกับข่าวที่น่าสะพรึงกลัวนี้อยู่ครู่ใหญ่ สมองขาวโพลน ใบหน้าซีดเผือด ตกตะลึงไร้เรี่ยวแรงจนแทบล้มจากเก้าอี้

“ท่านแม่…” ไป๋ชิงเหยียนรีบกอดต่งซื่อเอาไว้ “ท่านแม่ไม่ต้องกลัวเจ้าค่ะ อาเป่ายังอยู่!”

หญิงสาวร้องไห้ออกมาเงียบๆ เมื่ออยู่ต่อหน้าท่านแม่นางกลั้นไม่ไหวจริงๆ นางคิดว่านางกลับมาแล้ว…มีโอกาสต่อสู้กับโชคชะตาสักครั้ง นางไม่ขอให้ผลลัพธ์ออกมาเสมอกัน แต่อย่างน้อยช่วยไว้ได้สักคน…แม้สักคนก็ยังดี!

ต่งซื่อได้ยินเสียงของไป๋ชิงเหยียนจึงค่อยๆ ได้สติ ดวงตาแดงก่ำสั่นไหวเล็กน้อย นางกำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่น ฝืนกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา จากนั้นจึงเอื้อมมือดึงไป๋ชิงเหยียนเข้ามากอดไว้ในอ้อมแขน เอ่ยเสียงแหบพร่า “ท่านพ่อและน้องชายของเจ้าเกิดมาในตระกูลนักรบ ตอนที่พวกเขาไปออกรบ แม่ก็เตรียมใจไว้เสมอ ยามที่ท่านพ่อของเจ้ามีชัยกลับมา แม่จัดเลี้ยงฉลองให้พวกเขา บัดนี้พวกเขากลับมาแต่ร่าง แม่ก็จะจัดเตรียมงานศพให้พวกเขาอย่างสมเกียรติ อาเป่าอย่าได้กลัว…แม่เป็นนายหญิงใหญ่แห่งจวนเจิ้นกั๋วกง! แม่รับไหว!”

ชาติที่แล้วตอนที่ข่าวส่งกลับมา ท่านย่าเป็นลมหมดสติ บรรดาท่านอาสะใภ้และน้องสาวต่างกอดคอกันร้องไห้ มารดาของนางก็ฝืนประคองตระกูลไป๋ที่ไร้ซึ่งเสาหลักไว้เช่นนี้ นางยังจำได้ขึ้นใจจนถึงทุกวันนี้

แม้ว่ามารดาของนางจะไม่มีวิทยายุทธ์ ไม่เคยออกรบ แต่ท่านเข้มแข็งกว่าบุรุษพวกนั้นมากนัก มิเช่นนั้น ท่านคงไม่ทิ้ง ‘จดหมายถามจักรพรรดิ’ แล้วนำบรรดาท่านอาสะใภ้ปลิดชีพตัวเองลงอย่างเด็ดเดี่ยวเช่นนั้นหรอก

แต่สามีและบุตรชายของท่านแม่ล้วนจบชีวิตลงที่หนานเจียง ท่านจะเจ็บปวดทุกข์ทรมานเพียงใดกัน นางรู้ว่าท่านแม่พยายามกล้ำกลืนฝืนสู้ ไม่ใช่ว่าท่านแม่ทนไหว…แต่ท่านรู้ว่าท่านต้องทนให้ได้ในฐานะนายหญิงใหญ่ของตระกูล

ไป๋ชิงเหยียนกอดต่งซื่อแน่น “ท่านแม่ มิเป็นไรเจ้าค่ะ…มีอาเป่าอยู่ ท่านแม่มิต้องฝืนเข้มแข็งหรอกเจ้าค่ะ! อาเป่าจะอยู่เป็นเพื่อนท่านแม่ อยู่เป็นเพื่อนท่านตลอดไปเจ้าค่ะ”