ตอนที่ 86 ข้า เยียนอวิ๋นเกอ ขอเงิน

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

ตอนที่ 86 ข้า เยียนอวิ๋นเกอ ขอเงิน

ตัวเมืองแคว้นชี

สำหรับสามัญชนที่ใช้ชีวิตอยู่ในตัวเมืองนั้น ชีวิตของพวกเขาล้วนมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย

ภายในตัวเมืองมีห้องน้ำหลวงเพิ่มขึ้นสองห้อง

ใช่! ห้องน้ำหลวง

เหล่านักการบังคับให้เทสิ่งปฏิกูลลงในห้องน้ำหลวงทุกเช้า

คนย่อมมีสามเรื่องที่เร่งด่วน แต่ไม่ว่าด่วนเพียงใด ยังคงต้องเดินทางมาเข้าห้องน้ำหลวง

หากจับได้ว่าผู้ใดอุจจาระที่อื่น การโบยยังเป็นสถานเบา

หากร้ายแรง คนผู้นั้นจะถูกจับบังคับให้มารับใช้สำนักราชการ

พอดีกับเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ว่างจากการทำนา พวกเขาจะถูกจับไปขุดร่องน้ำ ซ่อมกำแพงเมือง หรือซ่อมทางหลวง

อย่างไรก็ตาม สำนักราชการย่อมหางานจำนวนมากให้ทำได้

นอกจากทำงานเสียเปล่าแล้ว ยังต้องเตรียมเสบียงเอง

สมัยนี้ การถูกจับให้มารับใช้สำนักราชการเป็นหลุมลึก

เมื่อตกเข้าไปในหลุม หากไม่ถลกชั้นหนังอยากหวังจะได้ปีนออกมา

มีคนโชคร้านถูกสำนักราชการผลักลงไปในหลุมลึก ก่อนจะไม่ได้ปีนขึ้นมาอีก หากแต่ตายบนพื้นที่ทำงาน

ดังนั้น เมื่อห้องน้ำหลวงร่วมมือกับนางการ ผลลัพธ์จึงเป็นไปอย่างดี

กลางวันทุกคนต่างเข้าห้องน้ำหลวงอย่างมีจิตสำนึก

ผ่านไประยะหนึ่ง ผู้คนต่างประหลาดใจที่พบกว่าตัวเมืองแคว้นชีสะอาดขึ้น ไม่มีกลิ่นประหลาด

ใต้เท้าเมืองลูบเครา พยักหน้าด้วยความพอใจ

เหล่านักการยิ่งพอใจ

พวกเขาควบคุมสามัญชน เรือนพักร่ำรวยจึงให้เงินเสบียงอีกส่วนแก่พวกเขา

เงินเสบียงไม่มาก แต่โชคดีที่มั่นคงและระยะยาว

ในเวลาเดียวกัน เมืองอื่นในแถบนคราบาลต่างปรากฏสถานการณ์เดียวกัน

ตามการผลักดันห้องน้ำหลวง ข่าวการตัดเย็บชุดแบบกลุ่มของร้านผ้าสี่ฤดูก็แพร่กระจายออกไป

ห้องน้ำหลวงกับการตัดเย็บชุดดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกัน

แต่ไม่รู้เหตุใด สองสิ่งนี้จึงสัมพันธ์กัน

สามัญชนไม่ถือสาสิ่งเหล่านี้ พวกเขาอิจฉาราคาการตัดเย็บชุดแบบกลุ่ม เพียงแค่จำนวนเกินสิบชิ้น ราคาถูกและคุ้มค่าอย่างมาก

เพียงแค่ระยะทางยาวไกล

ไปครั้งหนึ่ง อย่างน้อยต้องใช้เวลาสองวัน

แต่ไม่ว่าระยะทางจะยาวไกลเพียงใด ก็ไม่อาจกีดขวางการไขว่คว้าสิ่งของราคาถูกแต่คุณภาพดีของผู้คน

อาศัยอากาศหนาว ในครอบครัวต้องตัดชุดฤดูหนาวเพิ่ม

มีหลี่เจิ้งในตลาดเป็นตัวแทน ซื้อชุดฤดูหนาวห้าหกสิบชุดในคราวเดียว ขนาดล้วนมีการบันทึกไว้ล่วงหน้า

จากนั้นนั่งรถเกวียน มุ่งหน้าชุมชนสุ่ยจื๋อที่ห่างไกล

เส้นทางจากชุมชนสุ่ยจื๋อมุ่งหน้าสู่ตัวเมืองแคว้นชีล้วนเป็นทางชุมชนขนาดเล็ก เมื่อก่อนไม่อาจเดินรถเกวียนหรือรถม้าได้

แต่เมื่อมีเรือนพักร่ำรวย ทางชุมชนขนาดเล็กนี้ขยายกว้างถึงหนึ่งจ้างเศษ ไม่ว่ารถเกวียนหรือรถม้าล้วนข้ามผ่านได้

เพียงแต่วันก่อนฝนตก พื้นดินโคลนยากต่อการเดินทาง

เดินทางตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง จนกระทั่งตอนบ่าย ในที่สุดหลี่เจิ้งก็เดินทางมาถึงร้านผ้าสี่ฤดูข้างโรงอาหารของเรือนพักร่ำรวยแห่งชุมชนสุ่ยจื๋อ

จี้เสี่ยวซื่อผู้เป็นจั่งกุ้ยแห่งร้านผ้าสี่ฤดูต้อนรับหลี่เจิ้งด้วยความกระตือรือร้น

ครึ่งเดือนก่อน จี้เสี่ยวซื่อได้เลื่อนขั้นจากคนงานกลายเป็นจั่งกุ้ยของร้านผ้าสี่ฤดู ในมือมีคนงานเพิ่มขึ้นสองคน

หลิวหลี่เจิ้งลงจากรถ เงยหน้ามองป้ายร้านผ้า ตัวอักษรเขียนได้อย่างงดงาม

เขามองเข้าไปในร้ายผ้า เปิดปากถาม “ได้ยินว่าพวกเจ้าตัดชุดได้หรือ”

“ใช่แล้วๆ ร้านผ้าสี่ฤดูของพวกเราสามารถตัดชุดได้ เก็บค่าใช้จ่ายเพียงเล็กน้อย ไม่รู้ว่าท่านต้องการตัดกี่ชุด เป็นผ้าของตนเอง หรือว่าซื้อผ้าจากร้านของเรา”

“ผ้าข้ามี นำมาด้วยแล้ว นี่คือจำนวนและขนาด ท่านลองคำนวณให้ข้า ต้องใช้เงินมากน้อยเพียงใด หากราคาแพงเกินไป ข้าจะกลับแล้ว”

“ท่านวางใจ ร้านผ้าสี่ฤดูของพวกเราราคาเป็นธรรม ไม่หลอกลวง ไม่เก็บเงินท่านมากแม้แต่เหวินเดียว”

“ท่านลองคิดก่อน ข้าตัดชุดมากเพียงนี้ ต้องใช้เงินเท่าใด”

“ได้ ข้าคิดให้ท่านบัดนี้ ท่านนั่งลงดื่มชาก่อนหรือไม่ ไม่เสียเงิน”

“ชาหนึ่งแก้วก็พอ”

“ได้เลย!”

ในเวลาเดียวกัน เขาด้านหลังเรือนพักร่ำรวย ด้านหน้าใต้ดิน ถ่านไม้เป็นตะกร้ากำลังถูกขนขึ้นรถ

วันรุ่งขึ้นต้องออกเดินทางไปยังเมืองหลวงตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง

ถ่านไม้นี้เป็นชุดที่สองแล้ว เมื่อมีประสบการณ์ คุณภาพจึงดีกว่าชุดแรก

เยียนสุยผู้เป็นพ่อบ้านใหญ่ควบคุมด้วยตนเอง หานจงฉีถือสมุดบัญชีบันทึก

“ทำงานระวังหน่อย! อย่ามัวแต่กินข้าวไม่ออกแรง”

เหล่าช่างฝีมือต่างหัวเราะ “พ่อบ้านเยียนพูดเล่นเก่งเสียเหลือเกิน อากาศหนาวเพียงนี้ แต่ละคนล้วนเหงื่อท่วมตัว ทุกคนต่างลงแรง”

“พ่อบ้านเยียนกลางคือมีน้ำแกงเนื้อหรือไม่”

เยียนสุยถลึงตา “น้ำแกงเนื้อไม่มี! ทำงานให้คล่องแคล่วหน่อย อย่ามัวแต่คิดถึงเรื่องกิน”

“เยียนก่วนเจียงกเหลือเกิน ไม่ใจกว้างเหมือนเถ้าแก่”

เยียนสุยส่งเสียงไม่พอใจ เขาดูแลเรือนพักแทนเถ้าแก่ ย่อมไม่อาจใช้เงินฟุ่มเฟือย

การใช้เงินฟุ่มเฟือนเป็นสิทธิพิเศษของเถ้าแก่ เขาเป็นแค่พ่อบ้านจะบังอาจได้อย่างไร

ถ่านไม้บรรลุยี่สิบคันรถ สามารถขายได้เงินไม่น้อย

เรือนพักร่ำรวยทำงาน ไม่ทำก็แล้วไป หากทำแล้วต้องทำให้ใหญ่

วันรุ่งขึ้นเยียนอวิ๋นเกอจะติดตามขบวนรถมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวง

ผลไม้ในเพิงอุ่นชุดแรกมีผลผลิตออกมาแล้ว

ยังคงมีปัญหาเรื่องแสง แสงไม่เพียงพอ ผักกาดขาวต้นเล็กบางส่วนเขียวขจี บางส่วนใบเหลือง

ใบเหลืองก็กินได้

เยียนอวิ๋นเกอโบกมือ ผักกาดขาวต้นเล็กที่ใบเหลืองเหลือไว้ในเรือนพัก ให้ทุกคนกิน

ผักกาดขาวที่ใบสีเขียว แนวโน้มเติบโตอย่างดี พรุ่งนี้เช้าเด็ดส่งไปให้ทางเมืองหลวงด้วยม้าเร็ว

นำไปให้ท่านแม่กับพี่สองก่อน หากพวกนางบอกอร่อย ค่อยส่งตะกร้าหนึ่งไปจวนองค์หญิงเฉิงหยาง

ครั้งหน้า หากองค์หญิงเฉิงหยางอยากกินอีก ก็ต้องจ่ายเงินแล้ว

มีประสบการณ์ปลูกผักในเพิงอุ่นครั้งแรกแล้ว ครั้งที่สองก็ต้องขยายขนาด

นอกจากผักกาดขาวต้นเล็กแล้ว ผักกาดขาวต้นใหญ่ก็ต้องปลูก

ไช่เท้า มะเขือเทศ มะเขือ ถั่วลันเตา…

เพียงแค่มีเมล็ดพันธุ์ล้วนต้องปลูก

ไม่แน่ว่าบางอย่างจะมีแนวโน้มการเติบโตดี ผลผลิตมาก

อย่างไรนางไม่ขาดแคลนเมล็ดพันธุ์

บุกเบิกปีแรก เรื่องส่วนใหญ่ล้วนต้องเดินหน้าไปพร้อมกับการสำรวจ

ไม่ว่าจะเป็นเพิงอุ่น เห็ดหรือเห็ดหูหนู หญ้าสำหรับเลี้ยงสัตว์ ถ่านไม้ ล้วนต้องทดลอง

แต่ก่อนไม่เคยมีคนทำ

หลายร้อยปีมานี้ ประเพณีคือการเพาะปลูกตามฤดูกาล

ฤดูหนาว อากาศเย็น ชาวนาว่าง หากไม่อยู่เฉยก็รับใช้สำนักราชการ

ไปทำงานในเมือง?

สมัยนี้ไม่มีแนวคิดนี้

อีกทั้งในเมืองไม่มีตำแหน่งงานมากมาย

อาทิเมืองหลวงที่กว้างใหญ่ ประชาชนนับแสน ส่วนใหญ่ล้วนอาศัยการทำงานทั่วไปเพื่อดำรงชีวิต

คนเหล่านี้เป็นชาวเมืองชุดแรกสุด ไม่มีพื้นที่ มีเพียงฝีมือ หรือยอมลงแรงเป็นบ่าวรับใช้ หาเงินเลี้ยงชีพ

เมืองกว้างแค่นี้ โอกาสในการหาเงินมีเท่านี้ จะให้คนต่างถิ่นมาแย่งชิงโอกาสการทำงานของตนเองได้อย่างไร

เยียนอวิ๋นเกอถือดินสอขีดๆ เขียนๆ

อากาศหนาว การบุกเบิกมีความคืบหน้าช้า

คนส่วนใหญ่ขึ้นเขาไปตัดต้นไม่มาเผาเป็นถ่านไม้

ส่วนสตรีหญิงสาวต่างทำงานถูเชือกป่าน ทำผักดองในเรือน

เรือนพักร่ำรวยรับซื้อเชือกป่าน ป่านหยาบหรือป่านละเอียดล้วนรับซื้อ

ผักดองก็รับ เพียงแค่รสชาติดี ราคาย่อมเจรจาได้

เพียงแค่สองอย่างนี้ ก็ทำให้ครอบครัวผู้อพยพจำนวนมากมีรายรับ

เรื่องที่เยียนอวิ๋นเกอกำลังคำนึงถึง ไม่ใช่ความเป็นอยู่ของผู้อพยพ หากแต่เป็นการฝึกฝนทหาร

อากาศหนาว ชาวนาว่าง เหมาะสมกับการฝึกฝนทหาร

เรื่องนี้ต้องเริ่มต้นในปีนี้

นางพอรู้เรื่องการฝึกฝนทหาร แต่เรื่องนี้ยังต้องมอบหมายให้คนที่เชี่ยวชาญ

พูดถึงการฝึกฝนทหารอย่างเชี่ยวชาญ ย่อมต้องเป็นหัวหน้าองครักษ์เยียนหนาน

เยียนหนานมาฝึกฝนทหารในเรือนพัก เริ่มตั้งแต่เลือกคน จนกระทั่งฝึกฝนทหาร เยียนอวิ๋นเกอปล่อยอำนาจให้เยียนหนานรับผิดชอบ

สิ่งที่นางต้องทำคือสนับสนุน

ตั้งแต่ชุด รองเท้า ถุงเท้า กระบอง ดาบ จนกระทั่งอาหาร ต้องเตรียมการไว้ให้เร็ว

นางหยิบลูกคิดขึ้นมาคำนวณ

ฝึกฝนทหารห้าร้อยนาย ค่าใช้จ่ายก็เป็นจำนวนที่น่าตกตะลึง

ฝึกฝนทหารหนึ่งพันนาย เงินที่ต้องใช้ นางไม่กล้าแม้แต่จะมอง

แน่นอน นางเตรียมการสำหรับฝึกฝนทหารที่แข็งแกร่ง

หากฝึกฝนทั่วไป ค่าใช้จ่ายย่อมลดครึ่งแล้วลดครึ่งอีก

เยียนอวิ๋นเกอลูบคาง ถอนหายใจ “เงินไม่พอใช้!”

นางรู้สึกว่าปีนี้ ตนเองยากจนอย่างมาก

ดูเหมือนจะมีกิจการขนาดใหญ่ แต่ก็ใช้เงินดุจน้ำไหล

เงินหลายร้อยก้วนที่ได้จากการขายหญ้าสำหรับเลี้ยงสัตว์ล้วนใช้หมดแล้ว

เงินที่ขายถ่านไม้ชุดแรกก็ใช้หมดแล้ว

นางพึมพำ “จากความเร็วในการใช้เงินของข้า บอกว่าข้าเป็นคนฟุ่มเฟือยก็ไม่เกินจริง”

เงินเข้ากระเป๋า ยังไม่ทันร้อนก็ใช้ออกไปอย่างรีบร้อน

นางพิงบนพนักเก้าอี้ ถามอาเป่ย “เจ้าช่วยข้าคิด หาเงินจากที่ใดได้อีก”

อาเป่ยเตือน “คุณหนูลืมแล้วหรือเจ้าคะ นายน้อยเซียวให้อัญมณีลังหนึ่งแก่คุณหนู วางไว้ที่ท่านหญิงยังไม่ได้แตะต้อง นอกจากนี้ท่านผู้เฒ่ายังให้ตราประทับแก่คุณหนู คุณหนูก็ยังไม่ได้ใช่ไม่ใช่หรือเจ้าคะ”

เยียนอวิ๋นเกอตอบรับ “อ่อ เจ้าพูดถูก เงินสองก้อนนี้ถึงเวลาเบิกออกมาสนับสนุนการสร้างเรือนพักแล้ว เจ้าช่วยช้าคิด ยังมีรายรับใดอีก”

อาเป่ยถาม “ร้านน้ำแกงเนื้อสับหนานเป่ยนับหรือไม่”

เยียนอวิ๋นเกอส่ายหน้า “ไม่นับ! เงินจากร้านน้ำแกงเนื้อสับหนานเป่ยเอาไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน เวลานี้ยังใช้ไม่ได้”

ฤดูหนาวมาเยือน ร้านน้ำแกงเนื้อสับหนานเป่ยต้อนรับเทศกาลที่รุ่งเรืองที่สุดในหนึ่งปี

นางออกจากเมืองหลวงมานาน ไม่ได้เห็นกับตา ว่ากันว่าเวลานี้ร้านน้ำแกงเนื้อสับขายดีอย่างมาก”

รายได้ในแต่ละวันล้วนพุ่งทะลุ

อาเป่ยครุ่นคิด สุดท้ายนางก็นึกออกจนได้

“ฤดูหนาวมาแล้ว ห่างจากปีใหม่ไม่ไกล คุณหนูอายุน้อย ตามหลักแล้วคนอายุน้อยต้องได้เงินแต๊ะเอียนะเจ้าคะ”

“เยี่ยม!”

เยียนอวิ๋นเกอได้ยิน หัวเราะร่าออกมา

นางชอบหลอกเยียนโส่วจ้านผู้เป็นบิดาชั่วอย่างมาก

“อาเป่ยเตรียมพู่กันกับหมึก ข้าจะเขียนจดหมายหาท่านพ่อเพื่อขอเงินจากเขา”

ยื่นมือขอเงินจากเยียนโส่วจ้านผู้เป็นบิดาชั่ว เยียนอวิ๋นเกอขออย่างตรงไปตรงมา

เพียงเรื่องนี้ นางก็ทิ้งห่างพี่น้องคนอื่นไปหลายตรอก

คนอื่นหน้าบ้าง รักศักดิ์ศรี ไม่กล้าอ้าปากขอเงิน

เยียนอวิ๋นเกอไม่มีปัญหานี้ นางหน้าหน้า ระหว่างเอาเงินหรือเอาหน้า นางย่อมต้องเลือกเงิน

เนื้อหาในจดหมาย ตรงไปตรงมา

นางตรวจดูอีกครั้งยังอดไม่ได้ที่จะชื่นชม

“ดู จดหมายที่ข้าเขียนให้ท่านโหว ช่างเต็มไปด้วยความจริงใจ ผู้อ่านต้องหลั่งน้ำตา”

จดหมายฉบับนี้ ทำลายสถิติการขอเงินของนาง เข้าสู่อีกระดับหนึ่ง

มุมปากของอาเป่ยกระตุก “ท่านโหวได้รับจดหมายของคุณหนู ไม่รู้จะโกรธหรือไม่นะเจ้าคะ”

เยียนอวิ๋นเกอหัวเราะขึ้นมา “เจ้าไม่รู้จักท่านโหว เขาได้รับจดหมายของข้าย่อมต้องด่าข้า แต่ไม่ถึงกับโกรธ อย่างมากก็แค่ลดเงินที่ขอครึ่งหนึ่ง”

นางคาดการณ์ว่าเยียนโส่วจ้านจะต่อรองกับนาง ดังนั้นจึงเขียนขอในมูลค่าที่สูง

ดังคำกล่าวที่ว่าตั้งราคาสูงเพื่อให้ต่อราคา

ถึงแม้เยียนโส่วจ้านจะลดเงินนางเหลือส่วนเดียว หรือสองส่วนก็ยังคงเป็นเงินจำนวนไม่น้อย

อย่างไร เงินแต๊ะเอียนี้ นางต้องเอาให้ได้!