ตอนที่ 80 มาถึงแล้ว! และที่ที่ว่างเปล่าซึ่งมีแค่ศิลาจารึกล่ะ!

บันทึกการเดินทางของคุณแวมไพร์ล่ะ

กับท่านประธานแล้วการเดินทางอันแสนสั้นนี้มันดูยาวนาวเหมือนเป็นปี แต่กับคนอื่นแค่คุยกันสักพักก็ถึงแล้ว

 

ต้องพูดเลยว่าช่างน่าฉงนกับความเร็วของเรือจริงๆ ถึงแม้มันจะไม่ได้เร็วไปกว่าเครื่องบินก็เถอะ ไม่งั้นป่านนี้คนบนดาดฟ้าเรือคงโดนพัดปลิวไปถึงไหนต่อไหนแล้ว สุดท้ายยังไงมันก็ยังเป็นแค่เรือ

 

ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมมันถึงบินได้เร็วนัก ก็เป็นเพราะว่ามันมีวงแหวนเวทมนต์ไงล่ะ!

 

เมื่อเรือเหาะบินเข้าไปในวงแหวนเวทย์แล้ว คนจากในเรือก็จะเห็นภาพด้านนอกเบลอไปชั่วครู่ ต่อจากนั้นภาพทิวทัศน์ก็จะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง!

 

วงแหวนเวทมนต์นี่จริงๆแล้วมันก็คือ วงเวทเคลื่อนย้าย(เทเลพอร์ต)ขนาดใหญ่ยังไงล่ะ!

 

ถ้าเกิดจะถามว่าโลกซิลวาเรียใหญ่แค่ไหน ก็ตอบได้แค่ว่า..ตูไม่รู้เฟย! เพราะมันยังไม่มีใครหน้าไหนสามารถไปถึงจุดสิ้นสุดของโลกได้เลย เพราะงั้นจึงไม่รู้ว่ามันใหญ่ขนาดไหน แต่ที่รู้แน่ๆก็คือมันโครตใหญ่!

 

ถึงวู่หยานจะมาโลกซิลวาเรียได้ไม่กี่เดือนก็เถอะ แต่เขาก็รู้ว่าโลกนี้มันใหญ่แค่ไหน! ระบบมันเคยบอกว่าใหญ่กว่าโลกเก่าของเขาถึงสิบเท่า!

 

ด้วยโลกที่แม่งใหญ่ขนาดนี้ เรือเหาะจึงเป็นยานพาหนะที่เร็วที่สุด มันไม่ได้เร็วจากตัวมันเองหรอกนะ แต่เป็นเพราะวงแหวนเทเลพอร์ตต่างหาก!

 

ย้อนกลับเมื่อสมัยก่อน ได้มีตระกูลที่ทรงพลังมากริเริ่มสร้างมันขึ้นมาก็เพื่อให้การเดินทางนั้นสะดวกสบายขึ้น!

 

และแน่นอนว่าในยามปกติวงแหวนเวทย์จะถูกซ่อนไว้ ต่อให้มันคนบินเข้ามามันก็จะไม่ทำงาน

 

แต่สำหรับเรือเหาะลำนี้มันได้มีวงแหวนเวทย์อันเล็กเป็นสื่อกลางอยู่ ดังนั้นเมื่อเรือได้บินผ่านเข้าไป วงแหวนก็จะทำงานทันที! วาร์ปพวกเขาไปสู้จุดหมาย!

 

ถ้าเป็นเครื่องบินในโลกเก่าของวู่หยาน จากเมืองท่าถึงเทือกเขาต้องใช้เวลาบินถึงสามวันสามคืนเต็ม!

 

แต่เรือเหาะที่ได้วงแหวนเทเลพอร์ตมาช่วย ทำให้ลดระยะเวลาไปได้มากโข จนเหลือแค่สองถึงสามชั่วโมงเท่านั้น!

 

หลังจากผ่านวงแหวนเทเลพอร์ตรอบที่สอง ลุงก็มาโค้งคำนับบอกทุกๆคนว่า ได้มาถึงจุดหมายแล้ว!

 

ภาพที่ปรากฏตรงหน้าพวกเขาคือภูเขาที่ดูธรรมดาไม่มีอะไรพิเศษ เทือกเขาไม่ได้สูงและไม่ได้เตี้ยและก็ไม่ได้ยาวไม่ได้สั้น มันดูธรรมดาอย่างถึงที่สุด

 

เมื่อเห็นภูเขานี้ ทุกคนก็คิดขึ้นมาพร้อมกันว่า ‘ได้ที่แบบนี้มันจะมีสมบัติอยู่จริงๆเหรอ?’ แน่นอนว่าพวกวู่หยานก็คิดเหมือนกัน

 

“ทุกท่าน เรากำลังจะลงจอดแล้ว โปรดเตรียมตัวให้พร้อมนะขอรับ!”

 

เรือเหาะลดความเร็วลง จากนั้นกลับลำแล้วค่อยๆลดระดับเพดานลง….

 

คนแล้วคนเล่าทยอยเดินออกมาจากเรือเหาะโดยไม่มีใครสั่ง และโชคดีที่พื่นที่เรือลดจอดมีขนาดกว้างพอสมควร ไม่งั้นไม่รู้ว่าผู้คนจะยินดียืนเบียดกันรึเปล่า บางทีอาจจะตีกันตายตั้งแต่ยังไม่เข้าไปหาสมบัติเลยก็ได้…..

 

และเพราะจำนวนคนอันมหาศาล จึงจำเป็นต้องใช้เวลาไม่น้อยในการเดินลงมาจากเรือหมด แต่ก็นะถึงพูดไปงั้นก็ไม่เกี่ยวอะไรกับกลุ่มวู่หยานอยู่ดี เพราะพวกเขาเป็นกลุ่มแรกๆที่ลงมา ด้วยเหตุผลที่ว่า…..

 

“รู้สึกดีขึ้นบ้างมั้ย?”

 

อิคารอสนำ ‘สิ่งมีชีวิต’ ลงมาจากมุมหนึ่งของยาน ก่อนจะเอาไปวางลงพื้น

 

ฮินางิคุนั่งเข่าอ่อนบนพื้นรู้สึกได้เลยว่าขาตนเองอ่อนเล็กน้อย เธอพยายามฝืนยืนด้วยท่าทางทุลักทุเล แต่วินาทีต่อมาก็ร่วงลงไปนั่งพร้อมๆกับลิลินในอ้อมแขนเหมือนเดิม ฮินางิคุหอบหายใจถี่ระรัว เห็นแบบนี้ มิโคโตะรีบเดินเอามือไปลูบหลังเธอ

 

ส่วนวู่หยานนะเหรอ? ตอนนี้เขากำลังยืนมองอยู่ใกล้ๆ เอ็นจอยไปกับความทุกข์ของคนอื่นอยู่ ข้างกันก็มีอิคารอสที่ยืนทำหน้าไร้ความรู้สึก

 

 “ขอบคุณนะ ฉันไม่เป็นไรแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก…..”

 

เห็นสีหน้าเป็นห่วงของลิลินกับมิโคโตะ ฮินางิคุก็พยายามเงยหน้าขึ้นมาแล้วยิ้มอย่างฝืนๆ สีหน้าขาวซีดเล็กน้อย แต่ถ้าเทียบกับบนเรือเหาะก็บอกได้เลยว่าดีกว่าเยอะ

 

เวลาล่วงเลยไปจนกระทั่งคนอื่นๆลงมาจากเรือหมด ท่านประธานก็ลุกขึ้นยืนด้วยร่างกายที่พอจะฟื้นแรงขึ้นมาได้บ้างแล้ว

 

“ท่านที่ได้รับแผนที่แล้วคงรู้เส้นทางดี ส่วนท่านใดที่ยังไม่มีแผนที่ก็เชิญเดินตามคนของทางโรงประมูลได้เลยขอรับกระผม ทุกท่านออกเดินทางได้!”

 

บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าอีกไม่นานก็ต้องเข้าไปในสถานที่ที่ซ่อนสมบัติ ลุงจึงไม่พูดมากเหมือนตอนแรก หลังจากเห็นว่าทุกคนลงมาครบแล้ว เขาก็ออกคำสั่งออกเดินทาง

 

หลังจากนั้น กลุ่มเล็กใหญ่คละกันไปก็เริ่มเดินไปสู่ที่ซ่อนสมบัติ

 

“พวกเราก็ไปกันเถอะ!” วู่หยานเอามือตบหลังฮินางิคุ และเมื่อเห็นเธอพยักหน้าตอบ เขาก็หันไปพูดกับทุกคนที่เหลือ

 

……………

 

“ที่นี่นะเหรอที่ซ่อนสมบัติ?….” มองดูพื้นที่แห้งแล้งไม่มีอะไรตรงหน้า มิโคโตะรู้สึกหดหู่สุดๆระคนกับสงสัยด้วย

 

วู่หยานและคนอื่นที่ไปงานประมูลก็ย่อมได้เห็นแหนที่มาแล้ว ไม่ต้องพูดถึงวู่หยานที่ ‘ความจำสมบูรณ์’ แม้แต่ท่านประธานก็จำได้เล็กน้อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมิโคโตะที่มีสมองคำนวณพลังพิเศษระดับท็อปสามของเมืองแห่งการศึกษาเลย

 

มิโคโตะกล้าพูดได้เต็มปากเลยว่า ที่นี่แหละคือที่ที่แผนที่มันระบุ;มีสมบัติ!

 

 ปัญหามันอยู่ตรงนี้แหละ คือที่นี่มันไม่มีอะไรสักอย่างเลย สมบัติก็ไม่มี และแม้แต่ต้นไม้สักต้นก็ยังไม่มี…..

 

ด้วยสถานการณ์แบบนี้ ย่อมไม่แปลกที่ทุกคนจะหดหู่ และคนที่อารมณ์ร้อนก็คงอดทนที่จะไม่อาละวาดได้อีกไม่นาน

 

วินาทีต่อมา แทบทุกกลุ่มก็ร้องโวยวาย สามารถได้ยินเสียงคำราม และเสียงถามคำถามได้อย่างชัดเจน บางคนถึงกับกำลังจะเดินไปเอาเรื่องกับพวกโรงประมูลแล้วด้วยซ้ำ

 

พวกที่เดินไปถึงแล้ว ลุงก็ดูเหมือนจะพูดอธิบายอะไรบางอย่างไป จากนั้นก็เดินนำต่อไป

 

ทุกคนที่ในหัวเต็มไปด้วยอารมณ์ขุ่นมัวและสงสัย ก็ทำได้คเดินตามพวกโรงประมูลไป

 

จนกระทั่ง พวกเขาเห็นศิลาจารึกตั้งตระหง่านอยู่ชิ้นหนึ่ง……

 

“ที่นี่นะเหรอที่ซ่อนสมบัติ?….” คำถามที่เหมือนกับเมื่อกี้ดังขึ้นมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มิโคโตะไม่ได้พูดด้วยน้ำเสียงหดหู่ แต่กลับเต็มไปด้วยความสงสัย

 

“น่าจะ…” วู่หยานพยักหน้า แล้วมองไปที่กลุ่มโรงประมูล “มองดูตาลุงจิ้งจอกนั่นสิ ดูเหมือนจะเริ่มทำอะไรแล้ว”

 

ฮินางิคุ มิโคโตะและคนอื่นๆได้ยินก็หันไปมอง เห็นกลุ่มลุงเดินไปที่ด้านหน้าศิลาจารึก จากนั่นก็กระจายตัวยืนล้อมศิลา

 

ลุงเอามือแตะศิลาเบาๆ คนข้างหลังก็เอามือแตะหลังลุง คนอื่นในกลุ่มก็เลียนแบบ กลายเป็นพวกเขากำลังกอดคอกันล้อมรอบศิลา

 

ตอนนี้เองทุกคนก็เห็นว่า วินาทีที่ลุงเอามือแตะศิลาก็เกิดแสงขึ้นมาตรงจุดที่มือไปสัมผัส ก่อนจะย้ายไปสู่ร่องลุงทำให้เขากลายเป็นมนุษย์แสง และคนที่แตะตัวลุงก็รับแสงไปด้วยถ่ายทอดกันไปจนทุกคนกลายเป็นมนุษย์แสง

 

และพริบตาต่อมา กลุ่มของลุงก็หยานแว่บไป

 

“หายไปแล้ว!”

 

ฮินางิคุยืนอึ้งๆมองไปจุดที่พวกเขาหายตัวไป คนอื่นๆก็ทำสีหน้าแบบเดียวกัน ยกเว้นแต่กลุ่มที่เดินไปหาเรื่องโรงประมูลเมื่อกี้ ที่ตอนนี้กำลังเดินไปทำแบบเดียวกับลุง ก่อนที่พวกเขาจะหายตัวไปเหมือนกัน

 

“ดูเหมือนว่าเจ้าหินนี้จะมีระบบส่งคนไปสู่สถานที่ที่ซ่อนสมบัติสินะ” วู่หยานกับมิโคโตะมองตากันด้วยความคิดที่เหมือนกัน สายตาที่มองศิลาก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย

 

ตอนนี้ก็มีกลุ่มอื่นมาลองทำเหมือนกัน และเมื่อเห็นว่ากลุ่มนี้ทำสำเร็จคนอื่นๆก็เริ่มใจกล้า ก่อนจะค่อยๆทยอยเข้าไปทำเหมือนกัน

 

“เอาไงหยาน?” ฮินางิคุหันไปมองวู่หยาน มิโคโตะกับลิลินก็หันมองด้วยคำถามเหมือนกัน ยกเว้นแต่อิคารอสที่ตั้งแต่แรกก็ไม่เคยถอนสายตาออกจากตัววู่หยานเลย

 

เห็นสายตาคำถามที่ทุกคนมองมา วู่หยานก็ขบคิดไปชั่วครู่ ก่อนจะพยักหน้าแล้วเดินนำกลุ่มไป

 

วินาทีก่อนที่พวกเขาจะหายไป วู่หยานก็จ้องไปในทิศทางหนึ่ง

 

มองไปที่ที่อิคารอสเพิ่งบอกเขาว่า มีสิ่งมีชีวิตระดับตรายสูงมากจำนวนสามคน…….

 

 

ติดตามข่าวสารได้ที่นี้ – ห้องสมุดคนรักนิยายแปล  กลุ่มลับถึงตอน343