ตอนที่ 66 ชมบุปผา

เจียงซื่อหยุดเท้าพลางหันไปมองเจียงเพ่ยด้วยท่าทีสงบนิ่ง

เจียงเพ่ยที่เหมือนถูกตบหน้าเป็นร้อยๆ ครั้งผงะไปชั่วขณะ

“พี่รอง…” เจียงเพ่ยเอ่ยพึมพำ ในหัวสมองของนางโล่งเป็นสีขาวโพลน

เพราะอายุยังน้อยนางถึงไม่ชินงั้นหรือ ทั้งที่เมื่อก่อนก็เคยโดนมาแล้วแท้ๆ

“เอาเถอะ น้องหกข้าจะให้คนพาเจ้ากลับไปก่อนแล้วกัน คราวหน้าข้าค่อยเชิญเจ้ามาเที่ยวใหม่” เจียงเชี่ยนเอ่ยปากส่งเดชโดยไม่ได้ใส่ใจว่าเจียงเพ่ยจะรู้สึกอย่างไร

คนหนึ่งเป็นลูกสาวจากภริยาเอกซึ่งตบแต่งออกไปมีสถานะเป็นถึงซื่อจื่อฮูหยิน ส่วนอีกคนเป็นเพียงลูกสาวของอนุภรรยาที่ต้องคอยเอาใจท่านแม่ใหญ่เพื่อจะได้ให้ช่วยหาคู่ครองดีๆ ให้ ฉะนั้นน้องสาวที่เกิดจากอนุอย่างเจียงเพ่ยเป็นจึงไม่เคยอยู่ในสายตาของเจียงเชี่ยนเลย

ในบรรดาพี่สาวน้องสาวจวนปั๋วมีเพียงเจียงซื่อคนเดียวที่นางเก็บมาใส่ใจ

เกิดมารูปงามปานนั้น แม้จะรู้ว่าหนทางข้างหน้ามีอยู่อย่างจำกัด แต่ก็อดรู้สึกหวั่นใจไม่ได้

เจียงเพ่ยมองเจียงซื่อด้วยใบหน้าซีดเผือด

นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดเหตุการณ์จึงกลายเป็นเช่นนี้

จริงอยู่ที่นางเป็นเพียงลูกที่เกิดจากอนุภรรยา แต่อย่างไรเสีย นางก็เป็นลูกสาวของลูกชายคนที่สองของตระกูลเจียงเหมือนเจียงเชี่ยน อีกทั้งการมาครั้งนี้เจียงเชี่ยนก็เป็นคนออกตัวเชิญนางมาเอง จู่ๆ จะส่งนางกลับไป ทำเช่นนี้ไม่ไว้หน้ากันเลยสักนิด

เจียงเพ่ยหันขวับไปมองเจียงซื่อ

อากัปกิริยาของเจียงซื่อยังคงสงบนิ่งดังเดิม

เจียงเพ่ยใจสลายในชั่วพริบตา

นางรู้สึกลึกๆ ว่ากำลังถูกหลอกให้ติดกับ ซึ่งหลุมกับดักนี้นางก็เป็นคนกระโจนเข้าไปเองเสียด้วย คราวนี้ต่อให้อยากร้องไห้แค่ไหนก็ร้องไม่ออก

สายตาจับจ้องไปที่เจียงเชี่ยนที่กำลังตะโกนเรียกให้คนข้างนอกเข้ามา เจียงเพ่ยพยายามรวบรวมสติของตัวเอง

นางไม่คิดจะอ้อนวอนเจียงเชี่ยน แต่หันไปดึงแขนเสื้อของเจียงซื่อพลางเอ่ยขอร้องอย่างน่าเวทนาว่า “พี่สี่ ข้าผิดไปแล้ว”

การรู้จักพลิกแพลงเช่นนี้ ถ้ามองในมุมลูกอนุภรรยาที่เติบโตมาภายใต้การควบคุมของแม่ใหญ่อย่างเซียวซื่อก็นับว่าไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

เมื่อเห็นว่าเจียงซื่อไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ใดๆ เจียงเพ่ยจึงใช้มือข้างหนึ่งตบเข้าที่แก้มของตัวเอง “ข้ากินขี้เข้าไปจำนวนมาก ปากถึงได้เหม็นเน่าเช่นนี้ ข้าไม่ควรยั่วโมโหพี่สี่ พี่สี่ยกโทษให้ข้าเถอะ”

คราวก่อนที่ท่านย่าไล่นางออกจากเรือนฉือซิน นางก็ขายหน้าไปแล้วครั้งหนึ่ง หากครั้งนี้ถูกพี่รองส่งตัวกลับไป เกรงว่านางคงไม่มีทางได้ออกจากจวนอีกเป็นแน่

แม้เสียงตบแก้มจะดังไปทั่ว แต่เจียงซื่อก็เฝ้ามองฉากตรงหน้าด้วยสีหน้าเย็นชาอย่างไร้สุ้มเสียงตอบสนอง

สมน้ำหน้า ลูกอนุที่ได้แต่งงานกับผู้ชายที่ดีถึงสองครั้ง แต่ครั้งแรกก็ต้องเป็นม่าย ส่วนครั้งที่สองก็ถูกหลอกจนตาย

คนเรานี่มันต่างกันจริงๆ

“น้องสี่ ดูสิ…” เจียงเชี่ยนแรกให้เจียงซื่อหันมาสนใจเจียงเพ่ย

นางเชิญเจียงเพ่ยมาเองกับมือ การถูกเจียงซื่อบังคับให้ส่งนางกลับไปกับการถูกตบหน้าต่างกันตรงไหน แต่สุดท้ายนางก็ทำได้เพียงจำใจยอมทำตาม

ถึงตอนนี้ท่าทีของเจียงเพ่ยก็ดูเจียมเนื้อเจียมตัวขึ้นมาถนัดตา นางไม่กล้าหาเรื่องเจียงซื่ออีกแล้ว

“น้องหกไม่อยากกลับจริงๆ งั้นหรือ” เจียงซื่อเอ่ยถาม

เจียงเพ่ยรีบพยักหน้า “ข้าอยากกลับพร้อมพวกพี่ๆ”

“ในเมื่อเจ้าทำตามที่ตกลงกันไว้แล้ว อยากทำอะไรก็เชิญ”

เมื่อเห็นว่าเจียงซื่อเอ่ยดังนั้น เจียงเชี่ยนจึงหัวเราะทำทีเออออไปตามน้ำ “เอาเถอะ อย่างไรเสียก็เป็นพี่น้องกัน จะมีเรื่องบาดหมางใดที่แก้ไม่ได้บ้าง มาพร้อมกันก็กลับพร้อมกันน่ะดีแล้ว ข้าเตรียมอาหารที่ห้องบุปผาไว้พร้อมแล้ว น้องๆ ไปทานกับข้าเถอะ”

“พี่รอง พวกเราควรไปทำความเคารพโหวฮูหยินก่อนหรือไม่” คุณหนูห้าเจียงลี่เอ่ยถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ

“ช่างเถอะ โหวฮูหยินมีธุระต้องทำมากมาย ข้าเองก็เรียนไปแล้วว่าน้องๆ จะมาพักอยู่ที่นี่สักสองสามวัน ท่านก็บอกให้พวกเจ้าตามสบาย”

เจียงลี่ถอนหายใจอย่างโล่งอก และไม่เอ่ยสิ่งใดออกมาอีก

เจียงเพ่ยที่ยังคงมีรอยนิ้วมือสีแดงปรากฏอยู่บนแก้มก้มหน้าเดินตามเข้าไปในห้องบุปผา

อาหารบนโต๊ะถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ ไม่นานนักบรรดาสาวรับใช้ก็ถือขนมอบผลไม้เดินเรียงแถวเข้ามา

“น้องๆ นั่งเถิด” เจียงเชี่ยนทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นางกล่าวเชื้อเชิญด้วยท่าทีสบายอารมณ์

แต่แล้วบรรยากาศก็กลับสู่ความอึมครึมอีกครั้ง ผลไม้สดที่ถูกตักเข้าปากกลับไร้ซึ่งรสชาติ

เจียงเชี่ยนไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ

สำหรับนางแล้ว การที่เจียงซื่อยอมมาก็เท่ากับบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ ส่วนเรื่องอื่นๆ นั้นนางไม่ยี่หระเลยแม้แต่น้อย

เสียงฝีเท้าดังขึ้นพร้อมกับเสียงหัวเราะของชายหนุ่มที่กำลังเดินเข้ามา “อาหารพร้อมหรือยัง ข้าหิวจะแย่แล้ว…”

พูดออกมาเพียงครึ่งประโยค ชายหนุ่มทำทีว่าเพิ่งสังเกตเห็นเจียงซื่อและคนอื่นๆ เลยจงใจทำให้ประโยคท่อนหลังขาดไป

เจียงเพ่ยลุกขึ้นยืนเป็นคนแรก “ท่านพี่เขย”

เจียงซื่อหันไปทักทายชายหนุ่มตามเจียงเชี่ยว

ชายหนุ่มรูปร่างผอมกับใบหน้าซีดเซียวผู้นี้คือเฉาซิงอวี้ ผู้มีสถานะเป็นฉังซิงโหวซื่อจื่อ

เจียงซื่อและคนอื่นๆ ค้อมศีรษะทำความเคารพ เฉาซิงอวี้ไร้เสียงตอบ เขาอาศัยจังหวะนี้ลดสายตามองไปที่เจียงซื่อ

น้องสาวภรรยาที่หน้าตาสะสวยผู้นี้ตราตรึงอยู่ในใจของเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นในงานแต่งงานของเขาและเจียงเชี่ยน

ในตอนนั้นเด็กสาวผู้นี้ยังอยู่ในวัยแรกรุ่น นางที่ยืนรวมอยู่กับบรรดาพี่สาวน้องสาวของนางมองมาที่เขาด้วยสายตาไร้ซึ่งความรู้สึก เฉกเช่นดอกไม้ตูมที่ขึ้นอยู่บนภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ ความงามที่แฝงไปด้วยความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวได้ทิ้งร่องรอยไว้บนหัวใจของเขา

ในเวลานั้นเขาเพียงแต่คิดว่า เขาจะทำให้เด็กสาวผู้นี้ตกเป็นของเขาให้ได้เพื่อจะให้คุ้มค่ากับที่เกิดมาเป็นชาย

เจียงเชี่ยนที่เฝ้ามองอากัปกิริยาของเฉาซิงอวี้โกรธควันแทบออกหู

จากประสบการณ์ที่ผ่านมา นางไม่สนใจว่าชายหนุ่มจะโหยหาสตรีนางไหน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่านางจะอดทนต่อการกระทำโง่เขลาที่ชายหนุ่มแสดงต่อหน้าธารกำนัลได้

นางเชิญบรรดาน้องๆ มาที่จวน หากเกิดเรื่องขึ้น ท่านย่าคงไม่ปล่อยนางไว้แน่

“ข้าลืมให้คนไปแจ้งท่านว่าน้องๆ มาถึงกันแล้วเจ้าค่ะ” เจียงเชี่ยนรีบสาวเท้าก้าวไปตรงหน้าเฉาซิงอวี้ พลางแอบบีบแขนชายหนุ่มภายใต้แขนเสื้อ

เฉาซิงอวี้ที่เพิ่งได้สติปรับสีหน้าเริงร่ากล่าวว่า “ข้าไม่รู้ว่าพวกเจ้ามาถึงกันแล้วจึงได้พรวดพราดเข้ามา เชี่ยนเอ๋อร์ เจ้าดูแลน้องๆ ให้ดีล่ะ ส่วนข้าจะไปนั่งกินในห้องตำรา”

เจียงเชี่ยนโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง “เชิญเจ้าค่ะ”

การมาของเฉาซิงอวี้ทำให้บรรยากาศเริ่มมีชีวิตชีวา

“พี่รอง ท่านพี่เขยทานอาหารกับพี่ทุกวันงั้นหรือเจ้าคะ”

“ใช่สิ” เจียงเชี่ยนยิ้มละไม

“ท่านพี่เขยกับพี่รองดูรักกันมากจริงๆ” เจียงเพ่ยยิ้มกริ่ม

เจียงเชี่ยนกำตะเกียบในมือแน่นจนนิ้วมือเริ่มขาดเลือด แต่ใบหน้าของนางยังคงเปื้อนรอยยิ้ม “อย่ามาหยอกเย้าพี่รองนะ”

หลังจากมื้ออาหารที่แสนเป็นกันเองสิ้นสุดลง เจียงเชี่ยนจึงยกถ้วยชาขึ้นมาจิบพลางเสนอว่า “สวนดอกไม้ในจวนโหวงดงามยิ่งนัก น้องๆ ไม่ต้องขัดเขิน ออกไปเดินเล่นเสียเถอะ”

“พี่รองไม่ไปด้วยกันหรือ” เจียงลี่ถามขึ้น

เจียงเชี่ยนยิ้มบางพลางเอ่ย “ไปสิ ข้าต้องไปเดินเล่นเป็นเพื่อนพวกเจ้าอยู่แล้ว”

เมื่อได้ยินว่าเจียงเชี่ยนจะไปด้วย เจียงลี่ก็รู้สึกสบายใจ

นี่คงเป็นนิสัยขี้ระแวงของนาง เพราะเกรงว่าการออกมาต่างที่อาจมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น

“หินภูเขาจำลองนี้มาจากหนานหู ส่วนศาลาบนเขานั้นมีชื่อว่าศาลาปาอิน ช่วงนี้เหมาะแก่การขึ้นไปนั่งรับลมอย่างยิ่ง…” เจียงเชี่ยนกล่าวอย่างนุ่มนวล ให้ความรู้สึกว่าเป็นพี่สาวที่แสนดี

เจียงเชี่ยวชี้นิ้วพลางเอ่ย “พี่รอง ดอกโบตั๋นตรงนั้นกำลังบานได้ที่พอดีเลย พวกเราไปชมกันเถอะ”

เจี่ยงเชี่ยนผงะเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยอย่างยิ้มแย้มว่า “ข้าไม่ถูกกับกลิ่นของดอกโบตั๋นเท่าไหร่ อย่างนี้แล้วกัน ข้าจะไปนั่งพักบนศาลา พวกเจ้าก็เดินชมกันตามสบาย”

“พี่รอง ข้าก็อยากไปนั่งในศาลาด้วยเหมือนกัน” เจียงเพ่ยรีบเอ่ยทันควัน

เจียงลี่พยักหน้าเห็นพ้องเนื่องด้วยมีความคิดในหัวที่ว่า มีเรื่องน้อยก็ทุกข์น้อย

เมื่อเจียงเชี่ยวที่กำลังตื่นเต้นกับดอกโบตั๋นเห็นว่ามีหลายคนถอนตัวจึงเข้าไปลากแขนเจียงซื่อพลางถาม “ไปชมบุปผากันไหม”

“ไปสิ” เจียงซื่อพยักหน้าอย่างอารมณ์ดี

เจียงเชี่ยนมองตามเจียงซื่อและเจียงเชี่ยวที่กำลังเดินไปยังแปลงดอกโบตั๋น แววตาของนางฉายแววเยียบเย็น

“แปลกมากที่ในยามนี้ดอกโบตั๋นของจวนโหวยังคงบานสะพรั่ง” เจียงเชี่ยวซึ่งยืนอยู่ข้างพุ่มไม้สูดลมหายใจเข้าปอด จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า “ดอกโบตั๋นดอกใหญ่ขนาดนี้ กลิ่นเลยแรงเกินไปบ้าง”

ท่ามกลางธรรมชาติสีแดงเข้มสลับกับสีเขียวอ่อน แต่ใบหน้าของเจียงซื่อกลับซีดเผือดราวกับหิมะ

นางได้กลิ่นเหม็นเน่าของความตายปะปนมากับกลิ่นฉุนของดอกไม้