ตอนที่ 79 การมาเยือนของเจี่ยนชิงโยว (5)

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

ตอนที่ 79 การมาเยือนของเจี่ยนชิงโยว (5)

เจี่ยนชิงโยวสวมอาภรณ์ปักลายสีเหลืองสดใสและกระโปรงจับจีบสีเขียวเข้มคลุมจนถึงข้อเท้า ขณะที่ยืนอยู่ตรงนั้น หญิงสาวยังคงดูสง่างามและสงบนิ่ง ขณะเดียวกันภาพลักษณ์ที่แสดงให้เห็นก็ช่างบริสุทธิ์และอ่อนโยนถึงเพียงนั้น ราวกับดอกฝูหรงตูมที่กำลังแย้มกลีบเบ่งบานสะพรั่ง ปราศจากฝุ่นผงใดๆ แต้มแต่งให้ระคายเคืองสายตา

ช่างเป็นความงามตามแบบฉบับโบราณประดุจหลุดออกมาจากภาพวาดก็มิปาน! มั่วเชียนเสวี่ยพร่ำเพ้อในใจ นางคิดต่อกับตัวเองอย่างไร้ยางอายว่า หญิงงามเช่นนี้กลับถูกข้าช่วงชิงจุมพิตไป ไอหยา เรียกว่าเป็นกำไรชีวิตได้เลยนะนั่น!

มั่วเชียนเสวี่ยพยักหน้าชื่นชมเจี่ยนชิงโยวติดๆ การประเมินของเจี่ยนชิงโยวที่มีต่อมั่วเชียนเสวี่ยเองก็สูงมากเช่นกัน

เถ้าแก่เนี้ยที่ยืนอยู่ตรงหน้านางยามนี้ แม้ว่าจะมีพื้นเพมาจากชนบท กระนั้นกลับไม่มีความหยาบคายดังเช่นหญิงสาวชาวบ้านทั่วไปเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกิริยาท่าทางของนางกลับดูสง่าและเป็นธรรมชาติ มีเอกลักษณ์ ทั้งยังไร้ซึ่งการเสแสร้งใดๆ

นางอายุยังน้อย น่าจะสักราวสิบสี่หรือสิบห้าปีเท่านั้นกระมัง เด็กกว่านางสองถึงสามปีเห็นจะได้ นึกไม่ถึงเลยว่าจะแข็งแกร่งและยืนหยัดได้เพียงลำพังจนสามารถมีกิจการใหญ่โตได้ถึงเพียงนี้

ชุดกระโปรงสีฟ้าอ่อนถูกตัดเย็บมาอย่างดี พร้อมด้วยขนกระรอกขดเล็กที่ถูกเย็บเสริมเข้ามาอย่างแยบยลบนชายเสื้อช่วงหน้าอก แม้จะไม่ได้ดูเลอค่าสูงศักดิ์ แต่ก็ดูรื่นตาและเป็นระเบียบเรียบร้อย

ยิ่งเจี่ยนชิงโยวมองดูมันมากเท่าไหร่ ในใจของนางก็ยิ่งเคารพในตัวของอีกฝ่ายมากขึ้นเท่านั้น ทั้งยังรู้สึกเสียดายเกินจะกล่าว บุคคลที่มีความสามารถเช่นนี้ กลับแต่งงานตั้งแต่อายุยังน้อย มิหนำซ้ำนางได้ยินมาว่าสามีของนางเป็นเพียงบัณฑิตต่างถิ่นที่ป่วยกระเสาะกระแสะคนหนึ่งเท่านั้น

นิยามของคำว่าหญิงงามอาภัพคงเป็นเช่นนี้เองสินะ! มิน่าเล่านางถึงได้เข้มแข็งและเด็ดเดี่ยวเพียงนี้!

“ชิงโยวขอบคุณผู้มีพระคุณที่ได้ช่วยชีวิตไว้” เป็นอีกหนึ่งการยอบกายคารวะอย่างเต็มพิธีการ

มั่วเชียนเสวี่ยรีบเข้าไปห้ามปราม ประคองนางให้ลุกขึ้นมา “เชียนเสวี่ยเป็นเพียงสะใภ้บ้านนอกคนหนึ่ง ไหนเลยจะกล้ารับการคารวะที่ใหญ่โตเช่นนี้ คุณหนูท่านให้ค่าข้ามากเกินไปแล้ว เชียนเสวี่ยคงรับไว้ไม่ไหว”

“บุญคุณช่วยชีวิต สมควรทดแทนดุจดั่งมหาสมุทร หากแค่การคารวะครั้งเดียวยังทำไม่ได้ เช่นนั้นจะควรค่าแก่การเรียกว่าขอบคุณได้อย่างไร”

“อย่าเรียกว่าผู้มีพระคุณอีกเลย ท่านกับข้าก็อายุไล่เลี่ยกัน หากท่านไม่ถือสา เช่นนั้นก็เรียกข้าด้วยชื่อจริงเถิด ข้าแซ่มั่ว นามเชียนเสวี่ย หรือคุณหนูเจี่ยนจะเรียกข้าว่าเชียนเสวี่ยเฉยๆ ก็ได้”

ให้นางเรียกเจี่ยนชิงโยวว่าคุณหนู อันที่จริงก็ออกจะให้ความรู้สึกคล้ายดูหมิ่นอีกฝ่ายอยู่เล็กน้อย ด้วยสรรพนามดังกล่าวนี้เป็นชื่อเรียกแฝงของผู้หญิงแถวย่านโคมแดงในสมัยปัจจุบัน แม้คำเรียกจะดี แต่กลับให้ความหมายเป็นนัยที่ไม่อาจทนรับได้

หลังจากที่เจี่ยนชิงโยวตกใจอยู่นาน รอยยิ้มงามก็ถูกคลี่ออกมา “เช่นนั้น เชี่ยนเสวี่ยก็สามารถเรียกชื่อส่วนตัวของข้าได้เช่นกัน ข้ามีนามว่าชิงโยว”

“มิตรท่านพรากจากไกลไปนักหนา ในทรวงข้าเสาะแสวงอยู่แห่งไหน เพราะมิตรนี้ที่ข้ายังฝังจิตใจ เฝ้าติดตรงหมองฤทัยไม่เว้นวัน ครั้นนานเนิ่นมิสุดสิ้นดำริคิด แลหากจิตเคี้ยวคดมิสุขสันต์ อาภรณ์ขาวปกฟ้าพร่ำรำพัน น้ำใจท่านยากเกินหยั่งให้เข้าใจ เหล่าพวกหนอนตำราชวนไขว้เขว เอ้อระเหยเที่ยวเตร่เดี๋ยวสิ้นได้ ปล่อยจิตคิดถึงสหายล่องลอยไป ร้องอาลัยแด่เพื่อนเก่าเศร้าโศกา[1]”

มั่วเชียนเสวี่ยร่ำบางประโยคจากในคัมภีร์กวีออกมาเบาๆ “ชิงโยว ช่างเป็นชื่อที่พิเศษโดดเด่นมากจริงๆ”

“ไม่คิดเลยว่าความรู้ของเชียนเสวี่ยนั้นจะกว้างขวางมากถึงเพียงนี้ กลับเป็นชื่อของชิงโยวที่ทำให้ขายหน้าแล้ว”

เจี่ยนชิงโยวเห็นมั่วเชียนเสวี่ยมีคารมคมคาย พูดจาคล่องแคล่วช่างสำบัดสำนวน ความรู้สึกดีที่มีให้แก่อีกฝ่ายก็เพิ่มพูนขึ้นอีกส่วน

เนื่องจากเป็นสิ่งที่พวกนางสนใจเหมือนกัน ทั้งสองคนจึงพูดคุยเกี่ยวกับบทกวีกันอย่างออกรส

มั่วเชียนเสวี่ยสำเร็จการศึกษาจากภาควิชาภาษาจีนของมหาวิทยาลัย ถึงแม้ว่ามั่วเชียนเสวี่ยจะเขียนบทกวีไม่ได้ แต่ความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมาอย่างหนักตลอดช่วงเวลาสิบหกปี ทั้งเรื่องมรดกของบรรพบุรุษที่ตกทอดมากว่าห้าพันปี ทั้งการประดิษฐ์ตัวอักษรและภาพวาดมาตั้งแต่นางยังเล็ก แถมตั้งแต่มาที่นี่นางก็ได้กว้านซื้อหนังสือเป็นจำนวนหลายเล่มเพื่อใช้อ่านเล่นในยามว่าง ทำให้ได้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับช่วงเวลาและสถานที่นี้มากขึ้นไปอีก ทั้งสองคนคุยกันอย่างเป็นธรรมชาติ มีความสุขนัก

เจี่ยนชิงโยวมีรอยยิ้มเต็มใบหน้า มั่วเชียนเสวี่ยเองก็เต็มไปด้วยความสนอกสนใจ เป็นเวลานานมากแล้วที่นางไม่ได้พูดคุยกับคนอื่นๆ ด้วยความน่าพอใจเช่นนี้ แม้อาซ้อฟางจะดี แต่นางไม่รู้หนังสือ เรื่องที่นางยกขึ้นมาพูดคุยหากไม่ใช่เรื่องสามีของนางก็หนีไม่พ้นเรื่องของลูกชายนาง

จวี๋เหนียงก็เอาแต่นิ่งเงียบและเฉยชา ส่วนอาซ้อกุ้ยฮวาก็มักจะพูดสุภาพกับนางจนน่าเบื่อ ทั้งหนีจื่อยังสนใจแต่งานเย็บปักถักร้อย ส่วนยายานางยังเด็กเกินไป

ด้านอาซ้อจางดีหน่อยที่ช่างพูด แต่น่าเสียดายที่คำพูดเหล่านั้นล้วนมีแต่เรื่องซุบซิบนินทา อย่างเช่นว่า แม่หมูบ้านนี้ออกลูกแล้ว หรือไม่ก็แม่ผัวกับลูกสะใภ้บ้านนั้นทะเลาะกันอีกแล้วอะไรทำนองนี้…

นับรวมดูแล้วแม้รอบกายนางจะมีสตรีรายล้อมมากมาย แต่กลับไม่อาจหาสหายรู้ใจที่สามารถพูดคุยกันได้อย่างถูกคอเลยสักคน

หยวนหมัวมัวเดินเข้ามาเติมชาให้ทั้งสองคนที่กำลังสนทนากันอย่างออกรสด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม นางไม่ได้เห็นคุณหนูของนางยิ้มแย้มเช่นนี้มานานมากแล้ว

สาวใช้สองสามคนที่ติดตามมารับใช้คุณหนูของพวกนางที่นั่งเยื้องออกไปไม่ไกล ครั้นเห็นมั่วเชียนเสวี่ยนั่งอยู่ในระดับเดียวกันกับคุณหนูในคราแรก ต่างก็ลอบมองหน้ากันพลางคิดกับตัวเองในใจอย่างไม่ใคร่จะพอใจสักเท่าไรนักว่า หญิงชาวบ้านที่ผ่านการแต่งงานแล้วผู้นี้ กล้าดีอย่างไรถึงเรียกชื่อที่แท้จริงของคุณหนูของพวกนาง!

ทั้งนี้เป็นเพราะอุปนิสัยของคุณหนูเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน นางจึงยอมสุภาพต่ออีกฝ่าย สำหรับความสัมพันธ์ฉันมิตรสหาย ในฐานะคุณหนูตระกูลใหญ่ แม้ว่าจะมีพระคุณช่วยชีวิต แต่เพียงให้รางวัลตอบแทนเป็นเงินทองก็นับว่าเพียงพอแล้ว พวกนางจะไม่ยอมให้นางได้มีโอกาสปีนป่ายขึ้นมาทำตัวกำเริบเสิบสาน หาประโยชน์จากคุณหนูของพวกนางเป็นอันขาด!

อย่างไรก็ตาม ยิ่งได้ฟังการสนทนาระหว่างทั้งสองคน ดวงตาของสาวใช้หลายคนที่เคยฉายแววกังขาในคราแรกก็เปล่งประกายสว่างวาบ พลันเปลี่ยนทัศนคติจากเดิมที่ดูหมิ่นดูแคลนเป็นเคารพนับถือในตัวอีกฝ่ายทันที

สาวใช้หลายคนล้วนได้รับการฝึกฝนอบรมมาเป็นพิเศษ พวกนางจึงมีความรู้ติดตัวอยู่บ้างเล็กน้อย คุณหนูของพวกนางคือสตรีที่ได้ชื่อว่าเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของเทียนเซียง เปี่ยมไปด้วยความรู้ความสามารถ แต่สะใภ้จากบ้านนอกผู้นี้กลับสามารถนั่งพูดคุยถกเรื่องบทกวีกับคุณหนูของตนได้อย่างไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลยสักนิด

ไม่เพียงเท่านั้น คำพูดของนางมักจะทำให้ดวงตาของคุณหนูเปล่งประกายเสมอ จนบางครั้งก็เผลอทำท่าทางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง

นี่…ไม่เคยมีผู้ใดทำได้เช่นนี้มาก่อนเลย

ทั้งสองคนพูดคุยสนทนากันอย่างมีความสุขจริงๆ แต่น่าเสียดายที่ท้องฟ้าไม่เป็นใจ แม้ยากจะตัดใจได้แต่ก็ต้องกลับจวนกันแล้ว

ท้ายที่สุด จากการเตือนของหยวนหมัวมัว เจี่ยนชิงโยวจึงจำใจกล่าวอำลาโดยมีมั่วเชียนเสวี่ยเดินไปส่งถึงที่หน้ารถม้าด้วยตัวเอง

ทั้งสองคนจูงมือกันไปพลางพูดคุยกันขณะเดินลงไปที่ชั้นล่าง

“ชิงโยวออกมาเที่ยวเล่นข้างนอกไม่ได้บ่อยๆ ถ้าวันไหนเชียนเสวี่ยว่าง ก็แวะมานั่งเล่นที่จวนของชิงโยวได้”

“ข้าจะไปอย่างแน่นอน” นางกำลังอยากเห็นการตกแต่งภายในของจวนตระกูลเก่าแก่ที่มีประวัติสืบทอดกันมาอย่างยาวนานอยู่พอดี ในเมื่อสามารถเข้าไปเยี่ยมชมได้ตามอัธยาศัยทั้งยังไม่ต้องเสียเงินจ้างคนนำทางแม้แต่อีแปะเดียว ทำไมนางถึงจะไม่ไปเล่า

“เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ ข้าถือว่าเจ้ารับปากข้าแล้วนะ ถ้าอย่างนั้นอีกห้าวันข้างหน้าชิงโยวจะส่งรถม้ามารับเชียนเสวี่ยไปเที่ยวชมจวนตระกูลเจี่ยนของข้า”

“น้ำใจของชิงโยว เชียนเสวี่ยขอรับมันไว้ด้วยความเต็มใจ ข้าจะไปเยี่ยมเยือนถึงที่จวนของเจ้าไม่บิดพลิ้วเป็นอันขาด” บนโลกนี้จะหาสหายรู้ใจสักคนที่พูดคุยกันอย่างถูกคอไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

หลังจากส่งเจี่ยนชิงโยวกลับไป ก็เป็นเวลาเกือบถึงยามเซิน[2]แล้ว

ในฤดูหนาวท้องฟ้ามักจะมืดเร็วกว่าปกติ มั่วเชียนเสวี่ยมุ่งเปิดกิจการในช่วงเที่ยงถึงบ่ายเป็นหลัก เนื่องจากช่วงพลบค่ำเป็นเวลาที่เรือเริ่มทยอยกลับเข้าท่า ในเมื่อไม่มีเรือมาจอดเทียบท่าสักลำ คิดจะทำการค้าหวังกำไรในช่วงนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้

หลังจากกำชับให้อวิ๋นอิ๋นลงกลอนประตูและเฝ้าดูแลร้านให้ดี มั่วเชียนเสวี่ยก็เรียกหาหนิงเซ่าชิงและจวี๋เหนียงเพื่อเตรียมออกจากร้านอาหารกลับบ้านไปด้วยกัน

แม้ว่าจวี๋เหนียงจะเป็นน้ำเต้าโง่ แต่นางไม่ใช่คนโง่ ครั้นเมื่อเห็นว่าสองสามีภรรยาตระกูลหนิงเดินเคียงมาด้วยกัน หญิงชาวบ้านผู้รู้สถานการณ์ก็หาข้ออ้างปลีกตัวกลับไปก่อน โดยเอ่ยว่าคนที่บ้านกำลังรอให้นางกลับไปทำอาหารเย็นให้อยู่ จากนั้นก็รีบวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็วชนิดไม่เห็นฝุ่น

มั่วเชียนเสวี่ยยกมือขึ้นปิดปาก กลั้นยิ้มอย่างรู้ทัน

มองดูริมฝั่งแม่น้ำที่ทอดยาวเป็นสาย แสงสีส้มยามอาทิตย์อัสดงที่กระจายระบายสีไปทั่วท้องฟ้า ในใจพลันก็เกิดความรู้สึกเบิกบานและเต็มอิ่ม ด้วยอย่างไรกลับไปที่บ้านเวลานี้ก็ไม่มีอะไรให้ทำมากอยู่ดี ใช้โอกาสนี้เดินเล่นด้วยกันกับหนิงเซ่าชิงก็เป็นความคิดที่ไม่เลวเลย

หนิงเซ่าชิงเพียงยิ้มรับ ไม่ได้ตอบว่าดีหรือไม่

มั่วเชียนเสวี่ยวิ่งเหยาะๆ ไปจนถึงริมฝั่งแม่น้ำ

หนิงเซ่าชิงส่ายหัว ทอดสายตามองไปยังที่ไกลๆ พร้อมกับบอกให้คนที่วิ่งเล่นอยู่ลดความเร็วลงเสียบ้าง เสียงพร่ำบ่นสองสามประโยคของเขาดังลอยมาให้ได้ยินเป็นระยะๆ ว่า “เจ้าโตจนป่านนี้แล้วยังทำเป็นเด็กๆ ไปได้…”

แม้ปากจะเอ่ยตำหนิไปเช่นนั้น แต่ดวงตาของเขากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้มความและเอ็นดู สองเท้าของเขาอดไม่ได้ที่จะเร่งความเร็วขึ้นเล็กน้อย เพื่อจะได้ไม่ตามหลังอีกคนมากจนเกินไป

ซูชีซ่อนตัวอยู่ในเงามืด ยืนอยู่ที่ริมแม่น้ำอีกฝั่ง วันนี้เป็นวันดีที่ร้านอาหารของนางเปิดกิจการอย่างเป็นทางการ เขาจะไม่มาได้อย่างไร

ขอเพียงแค่ได้เฝ้ามองนางอยู่ห่างๆ เพียงเท่านี้เขาก็พอใจแล้ว

ตัวเขายังไม่เข้าใจตัวเองนักว่าเหตุใดเขาถึงได้เป็นห่วงเป็นใยหญิงสาวนางหนึ่งที่เพิ่งจะพบหน้ากันเพียงไม่กี่ครั้งมากถึงเพียงนี้

กกอ้อกอสีเขียวสด หยดน้ำค้างเป็นเกล็ดใส

คะนึงหาคนรัก เหนือน่านน้ำแห่งใด

ทวนกระแสวารีไป หนทางยาวไกล

ล่องตามผืนน้ำใหญ่ พบดวงใจกลางสายธาร

ยามเมื่อได้เห็นใบหน้าที่งดงามและรอยยิ้มที่สดใสของมั่วเชียนเสวี่ยแล้ว หัวใจของเขาก็พลันเต้นระรัว อดยิ้มตามนางไม่ได้เลย

เสียงฝีเท้าของหญิงสาวช่างแผ่วเบา ร่างเล็กผอมเพรียวเคลื่อนไหวกลางสายลมอย่างอิสระ และใบหน้าที่ยิ้มแย้มก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ… ในที่สุดเขาก็ได้เห็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่ออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจนางอีกครั้ง ขณะที่เขากำลังจะก้าวเท้าออกไป ทันใดนั้นการเคลื่อนไหวก็เป็นอันต้องหยุดชะงักลง

[1] เป็นบทกวีหนึ่งที่เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายของโจโฉ ชื่อ ‘ต่วนเกอสิง’ หรือ ‘ลำนำเพลงสั้น’ เป็นทำนองเพลงลำนำของกรมดุริยางค์ในยุคราชวงศ์ฮั่น สำนวนแปลของทวีป วรดิลก

[2] ยามเซิน ช่วงเวลา 15.00-17.00 น.