บทที่ 81 ฝูซิงหายตัวไป

ลูกซื้อพ่อให้แม่

“ครับ พวกเราพยายามหาข้อมูลของเธอเมื่อง 6 ปีที่ก่อนแล้วครับ”

วางโทรศัพท์ลง หานซือฉีก็ยืนมองตัวเลขบนหน้าจอลิฟต์ที่ค่อยๆ ลดลงมาเรื่อยๆ ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความลำบากใจ

เขานึกถึงบทสนทนากับพี่รองของตนก่อนหน้านี้

“ทำไมพี่ถึงทำแบบนั้น?” เมื่อตอนที่เขาทะเลาะกับพี่รอง เขาตัดสินใจถามออกไปตรงๆ

“ซือฉี แกไม่คิดว่าฝูเจิ้งเจิ้งน่าสงสัยบ้างหรือไง?” จีหมู่เซี่ยนไม่ได้ตอบคำถามโดยตรง กลับกันเขายังถามกลับไปแทนด้วย

“ที่ว่าน่าสงสัยนั่นมันอะไร?” หานซือฉีสับสน

“ฉันพบว่าเธอคนนี้พยายามเข้าใกล้บ้านหลังนั้นอยู่หลายต่อหลายครั้ง เพราะงั้นฉันเลยจงใจช่วยให้เธอเข้าไปในบ้านนั้นสะดวกขึ้นจนในที่สุดเธอถึงได้ไปเจอห้องลับนั่น”

“เพราะฉันเคยอยู่ที่ห้องนั้นมาก่อน”

“เรื่องที่เธอคนนั้นเล่าให้แกฟังเกี่ยวกับเรื่องเมื่อ 6 ปีที่แล้วใช่หรือเปล่า? แล้วแกก็เชื่อเธอทั้งหมด ซือฉี แกควรจะจับตาดูเธอไว้ให้ดีจะดีกว่านะ”

ดูเหมือนว่าสิ่งที่พี่รองของเขาเตือนนั้นจะไม่ใช่เรื่องไกลตัวซะทีเดียว

พลัน หัวของหานซือฉีเริ่มจะปวดขึ้นมาอีกครั้งแล้ว

——————————–

วันรุ่งขึ้น ที่คาเฟ่ภายในรีสอร์ทฉืออิ๋งลี่หยาง

หานซือฉีและหานซือเซียนกำลังเผชิญหน้ากันอยู่ในนั้น

สีหน้าของหานซือเซียนในวันนี้ ค่อนข้างแตกต่างจากลุคประธานบริษัทหนุ่มผู้ใจเย็นอย่างที่เคย เขาดูมีความกังวลแฝงอยู่บนใบหน้านั้น ทั้งสองนั่งเงียบกันอยู่นานก่อนที่หานซือเซียนจะเป็นฝ่ายพูดขึ้นมา “ซือฉี แกควรจะรู้ไว้ว่าฉันยังคงรักแกอยู่เสมอ”

แม้ผู้เป็นพี่จะพูดเช่นนั้น แต่หานซือฉีก็ยังจิบกาแฟขมๆ ของเขาโดยที่ไม่แม้แต่เงยหน้าขึ้นมามอง

ด้วยท่าทีนี้มันทำให้หานซือเซียนหนักใจ เขาถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “เอาล่ะ ในเมื่อแกอยากจะรู้ ฉันก็จะเล่าให้ฟัง แต่เรื่องมันยาวแล้วก็คงต้องย้อนไปตั้งแต่เมื่อครั้งที่น้าของพวกเรา…”

ย้อนกลับไปเมื่อ 6 ปีก่อน จีหยาฉาน น้องสาวของจีหยาฉูผู้มีอายุห่างกันร่วม 10 ปี เกิดมีสัมพันธ์ลับๆ กับหานเถิงอวี้ นักธุรกิจหนุ่มผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง

แต่หลังจากที่หานเถิงอวี้เบื่อกับจีหยาฉานแล้ว เขาก็ไม่ได้ใส่ใจเธอเหมือนแต่ก่อน ซึ่งมันทำให้จีหยาฉานเกลียดเขาเข้าไส้จนต้องลักพาตัวหานซือฉีซึ่งตอนนั้นอายุได้ 12 ปีออกมาแบบลับๆ เธอซ่อนหานซือฉีไว้ในห้องลับที่บ้านตนเองและเปลี่ยนชื่อของเขาเป็น เหนียนซี่

หานเถิงอวี้พยายามทุกวิธีแต่ก็ยังไม่สามารถหาที่อยู่ของหานซือฉีได้ จีหยาฉูที่ต้องทนทุกข์ทรมานนานนับปี ในที่สุดก็ไม่สามารถทนได้อีก เธอมีปากเสียงกับหานเถิงอวี้ก่อนที่จะจบลงด้วยการที่เธอออกจากบ้านไปอีกคนพร้อมกับลูกชายคนรอง หานหมู่เซี่ยน และเปลี่ยนกลับไปใช้นามสกุล จี ดังเดิม

10 ปีให้หลัง จีหยาฉานป่วยหนัก ก่อนที่เธอจะตาย เธอได้ติดต่อหานซือเซียน ผู้ที่ตอนนั้นเป็นเจ้าของบริษัทเว่ยหานไปเรียบร้อยแล้ว และขอให้เขาช่วยมาพาน้องสามอย่าง หานซือฉี ที่ยังอาศัยอยู่ในห้องลับมาตลอด 10 ปีกลับไป

หลังจากที่รับตัวหานซือฉีกลับมาแล้ว หานซือเซียนก็พบว่าเด็กคนนี้มีทักษะการอ่านเขียนที่อยู่ในระดับสุดยอด แต่ทักษะการเข้าสังคมและดูแลตัวเองนั้นยังต่ำเตี้ยเรี่ยดิน หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า EQ ต่ำ เพราะเหตุนี้หานซือเซียนจึงจัดสถานที่ให้เขาอยู่พร้อมทั้งจ้างครูมาสอนพิเศษในเรื่องต่างๆ ที่ขาดหายไปด้วย

ทว่าเรื่องที่ไม่คาดคิดนั้นก็ยังเกิดขึ้นไม่หยุด หานซือฉีได้รับอุบัติเหตุทางรถยนต์ เป็นผลทำให้สมองของเขาได้รับความเสียหายและสูญเสียความทรงจำไปบางส่วน แพทย์ที่ทำการรักษาบอกไว้ว่า ความทรงจำที่หายไปของเขานั้นจะสามารถกลับมาได้ หากได้รับการชี้นำที่ถูกที่ควร แต่ตัวหานซือเซียนเลือกที่จะไม่ให้น้องชายของเขาจดจำความทรงจำอันแสนเจ็บปวดพวกนั้นอีก เพราะแบบนั้นเขาจึงไม่ยอมพูดอะไรออกมาจนกระทั่งตอนนี้

“เรื่องทั้งหมดก็เป็นแบบนี้แหละ เมื่อแกหายจากอาการบาดเจ็บ แม่กับหมู่เซี่ยนก็กลับมา ส่วนเรื่องหลังจากนั้น แกน่าจะรู้หมดแล้ว” เมื่อเห็นว่าน้องชายของตนมีสีหน้าลังเล เขาจึงพูดเสริมขึ้นอีก “ฉันไม่ได้โกหกแกแม้แต่นิดเดียว”

“ฉันไม่ได้พูดถึงชื่อฝูเจิ้งเจิ้งเลยเหรอ?”

“ไม่ได้พูด! นี่แกกำลังจะบอกว่าไม่เชื่อฉันงั้นเหรอ!?”

หานซือฉีกลับไปเงียบดังเดิม ในตอนนั้นเอง โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น เมื่อเห็นชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอแล้ว เขาก็ส่งสัญญาณให้พี่ชายของเขารู้ว่าเขาจะออกไปรับโทรศัพท์ด้านนอก ขณะที่รับโทรศัพท์อยู่นั้นเอง เขาไม่ได้รู้เลยว่าพี่ชายของเขานั้นมองมายังเขาด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความหมายอยู่เบื้องหลัง

เขาไม่ได้รับโทรศัพท์จนกระทั่งมาถึงที่ลับตาคน

“คุณหานครับ พวกเราพบว่าประวัติการศึกษาของฝูเจิ้งเจิ้งเป็นของปลอมครับ!”

“ของปลอม?”

“ใช่แล้วครับ! ส่วนที่แปลกอีกอย่างหนึ่งก็คือผมพบสถานีตำรวจหลังจากตรวจสอบตามที่อยู่บนบัตรประชาชนของเธอที่คุณหานจัดหามาให้ นอกจากนั้นผมยังพยายามหาข้อมูลจากชื่อของเธอแล้วก็ฝูซิงที่อยู่ในสัญญาเช่าบ้าน แล้วก็พบว่าข้อมูลทั้งหมดของทั้ง 2 คนนี้ว่างเปล่าครับ! ในส่วนของข้อมูลก่อนหน้า 6 ปีที่แล้ว ผมไม่ได้เบาะแสอะไรมาเลยจริงๆ”

“ลองหาข้อมูลเกี่ยวกับคดีใหญ่ของหลี่หมิงเมื่อ 6 ปีที่แล้วด้วย”

“รับทราบครับ”

เมื่อวางโทรศัพท์ไปแล้ว หัวของหานซือฉีก็ปวดขึ้นมาอีก

ควรจะถามเสี่ยวเมิ่งเพื่อขอให้มาช่วยนวดให้หน่อยดีหรือเปล่านะ?

ในตอนที่เขากำลังนวดขมับอยู่และเตรียมที่จะออกจากรีสอร์ทฉืออิ๋งลี่หยางแล้ว ทันใดนั้นฝูเจิ้งเจิ้งก็โทรเข้ามา

ทันทีที่รับโทรศัพท์ เขาก็ได้ยินเสียงของเธอทั้งแหบพร่าและเหมือนจะร้องไห้อยู่ “ซือฉี ฝูซิงหายไป!”

คำพูดนั้นทำเอาหานซือฉีช็อกไปทั้งตัว เขารีบถามกลับไป “ตอนนี้เธออยู่ไหน?”

“ฉันอยู่ที่ทางเข้าซูเปอร์มาร์เก็ตตรงจัตุรัสอวี้รื่อ”

เขารีบวางโทรศัพท์แล้ววิ่งไปยังลานจอดรถอย่างรวดเร็ว

รถคันหรูของหานซือฉีนั้นวิ่งไปตามถนนด้วยความเร็วจนกระทั่งไม่นานเขาก็มาถึงซูเปอร์มาร์เก็ตที่ฝูเจิ้งเจิ้งอยู่ ชายหนุ่มจอดรถไว้อย่างสะเปะสะปะก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปหาฝูเจิ้งเจิ้งผู้ที่กำลังยืนอยู่ที่หน้าประตูด้วยท่าทีร้อนรน

พลันเมื่อเธอเห็นหานซือฉีมา หญิงสาวก็เหมือนกับได้พบผู้ช่วยชีวิต เธอจับมือเขาไว้และปล่อยโฮออกมา “ซือฉี ฝูซิงหายไปแล้ว!”

“ไม่เป็นไร ไม่ต้องกังวล ค่อยๆ พูดนะ” นี่เป็นครั้งแรกที่หานซือฉีได้เห็นฝูเจิ้งเจิ้งตื่นตระหนกถึงเพียงนี้ เขาลูบหลังและคอยปลอบประโลมให้เธอใจเย็นลงก่อน

หานซือฉีรู้ดีว่าฝูซิงเป็นเด็กฉลาดและมีไหวพริบ จากทางที่เขาเข้ามา บริเวณรอบๆ ห้างนั้นมีทั้งผู้คนและยามรักษาความปลอดภัยอยู่มากมาย ดังนั้นเขาจึงไม่คิดว่าฝูซิงจะโดนลักพาตัวไปทำอะไรมิดีมิร้าย อย่างน้อยๆ เด็กคนนั้นก็น่าจะไปเล่นอยู่ที่ไหนซักแห่งภายในซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งนี้

ฝูเจิ้งเจิ้งพยายามสูดหายใจเข้าลึกๆ อยู่หลายครั้งเพื่อที่จะให้ตัวเองสงบลง กระนั้นแล้วเสียงของเธอก็ยังคงสั่นไม่หยุด “เมื่อประมาณครึ่งชั่วโมงก่อน ฉันพาฝูซิงมาที่ซูเปอร์มาร์เก็ตนี่ด้วยและซื้อขนมที่เขาชอบให้ แต่ในตอนที่ฉันกำลังจะกลับ ฉันบังเอิญทำถุงขาด ก็เลยบอกให้ฝูซิงยืนกินขนมรอไปก่อน ฉันจะไปซื้อถุงใหม่ และประมาณ 2-3 นาทีให้หลัง เมื่อฉันกลับมา ฝูซิงก็หายไปแล้ว ฉันหาเขาไปทั่วแต่ก็ไม่เจอเลย!”

ระหว่างที่ถามต่อ หานซือฉีก็มองรอบๆ ตัวไปด้วย “เธอได้ลองถามคนละแวกนี้แล้วหรือยัง?”

“ฉันถามไปหลายคนแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครเห็นฝูซิง”

“โอเค ไม่ต้องกังวล ซิงซิงเป็นเด็กฉลาดมากๆ แถมนี่เป็นชานเมือง เขาจะต้องไม่เป็นอะไร เดี๋ยวฉันจะช่วยเธอหาอีกแรง”

ทั้งสองคนแยกย้ายกันออกไปหาเด็กน้อยจนทั่วซูเปอร์มาร์เก็ตอีกครั้ง ก่อนจะกลับมาเจอกันที่เดิม คราวนี้หานซือฉีพาเธอเข้าไปในห้าง

“ฉันหาข้างในมาหลายรอบแล้ว ไม่เจอหรอก ”

แต่ถึงอย่างนั้นหานซือฉีก็ไม่ได้หยุดฝีเท้า เขาเดินตรงไปยังห้องควบคุมเพื่อขอดูกล้องวงจรปิดจากทางซูเปอร์มาร์เก็ต

“ลูกชายของผมหาย ประมาณครึ่งชั่วโมงที่แล้วที่ประตูทางทิศใต้ ช่วงเช็คกล้องวงจรปิดช่วงเวลานั้นที ได้โปรด”

ได้ยินเช่นนั้น พนักงานทั้งสองคนก็รีบช่วยกันเช็กหาเหตุการณ์ที่ได้บันทึกไว้เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนทันที

ฝูเจิ้งเจิ้งตีหัวตัวเองแรงพร้อมกับหลับตาลง เพราะเธอมัวแต่วิตกกังวลมากเกินไปจนลืมคิดถึงวิธีขอดูกล้องวงจรปิดไปเสียสนิทเลย

วีดีโอที่บันทึกไว้ย้อนกลับมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงช่วงเวลาครึ่งชั่วโมงที่แล้ว

“นั่นเขา! เขาอยู่นั่นค่ะ!” ฝูเจิ้งเจิ้งจับตามองวีดีโอตลอดจนเห็นฝูซิงปรากฏขึ้นมาที่ทางเข้า มันเป็นตอนที่เธอบอกให้ฝูซิงยืนรอด้านนอกและตนเองเข้าไปซื้อถุงใหม่

พวกเขาทั้งหมดยังคงดูวีดีโอต่อไปเพื่อจะดูว่าฝูซิงไปไหน แต่แล้วฝูเจิ้งเจิ้งก็ตะโกนขึ้นมาอีกครั้ง “นั่นมันครอบครัวของนายไม่ใช่เหรอ!?”

ภายในวีดีโอนั้น มีหานเถิงอวี้และจีหยาฉูปรากฏตัวขึ้นมาพร้อมกับถือถุงขนมขณะคุยกับฝูซิงด้วย ทางด้านฝูซิงเองก็หันไปมองด้านในซูเปอร์มาร์เก็ตด้วยความลังเลก่อนจะยอมออกไปกับทั้งสอง

“ในเมื่อเป็นพวกเขาที่พาตัวซิงซิงไป เธอไม่ต้องกังวลแล้วล่ะ” จากนั้นหานซือฉีก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและกดโทรออก

หลังจากที่โล่งใจขึ้นมาบ้างแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็ตะโกนออกมาด้วยความโกรธ “แล้วพวกเขาทำแบบนี้ได้ยังไง! มาพาฝูซิงไปโดยที่ไม่บอกฉันซักคำ! ไม่คิดบ้างหรือไงว่าฉันจะกังวลน่ะ!?”

หานซือฉีพยายามติดต่อไปยังครอบครัวของเขาอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่มีใครรับโทรศัพท์เสียที เขาเองก็เริ่มจะอารมณ์เสียด้วยแล้วเช่นกัน ชายหนุ่มเปลี่ยนไปโทรหาประชาสัมพันธ์แทนและพบว่าครอบครัวของเขาออกจากบ้านไปตั้งแต่เช้า แล้วยังไม่กลับเข้ามา มันเลยทำให้เขาต้องคิดว่าจะทำอย่างไรต่อครู่หนึ่งก่อนจะพาฝูเจิ้งเจิ้งออกไป

“พวกเราจะไปไหนกันน่ะ?” ฝูเจิ้งเจิ้งถาม

“พวกเขาน่าจะพาซิงซิงไปเล่นอยู่ ไปรอที่รีสอร์ทฉืออิ๋งลี่หยางเถอะ”

เมื่อทั้งสองมาถึงรถของหานซือฉี พวกเขาก็พบว่ามีใบสั่งถูกแปะติดไว้ที่หน้ารถ หานซือฉีไม่สนใจ เขาดึงมันออกแล้วมุ่งหน้าไปยังรีสอร์ทฉืออิ๋งลี่หยางทันที

ในช่วงบ่าย ที่รีสอร์ทนั้นมีเมนูเนื้อเป็นอาหารกลางวันกัน แต่ฝูเจิ้งเจิ้งไม่อยู่ในอารมณ์ที่หิวหรืออยากจะกินอะไร เธอนั่งลงตรงหน้าโถงทางเข้าโดยมีหานซือฉีนั่งรออยู่ข้างๆ

เพียงไม่นานที่นั่งรอ หานเถิงอวี้และจีหยาฉูก็เดินเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มพร้อมกับฝูซิง

ในทันทีที่ฝูเจิ้งเจิ้งเห็นฝูซิง เธอก็รีบรุดเข้าไปดึงฝูซิงมาไว้ในอ้อมแขนของตนทันที หลังจากที่กอดจนใจชื้นขึ้นแล้ว เธอก็ดีดนิ้วเข้าไปที่หน้าผากของเจ้าตัวเล็กทีหนึ่งและเริ่มดุเขา “ฝูซิง! ลูกออกไปวิ่งเล่นโดยที่ไม่บอกหม่ามี๊อีกแล้วนะ! ลูกรู้ไหมว่าแม่เป็นห่วงลูกขนาดไหน! ทำไมลูกถึงยิ่งโตยิ่งไม่เชื่อฟังฮะ!!”

ฝูซิงได้แต่ปากจู๋ขณะโดนบ่น เมื่อผู้เป็นแม่พักหายใจ เขาถึงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเศร้า “หม่ามี๊…ฝูซิงบอกปู่กับย่าแล้วว่าจะรอหม่ามี๊ แต่พวกเขาบอกว่าหม่ามี๊อนุญาตให้ฝูซิงไปเล่นกับเขาได้แล้ว…”

หานซือฉีโอบกอดฝูซิงกับฝูเจิ้งเจิ้งเสร็จก็หันไปต่อว่าพ่อและแม่ของเขาเช่นกัน “พ่อครับ แม่ครับ ทำไมถึงพาซิงซิงไปโดยที่ไม่บอกอะไรเลยล่ะ?”

“แม่กลัวว่าถ้าบอกคุณฝูแล้ว เธอจะไม่ยอมให้พวกเราพาซิงซิงไป…”

“ไปเล่น!” หานเถิงอวี้ชิงพูดขึ้นมาก่อนที่ภรรยาของเขาจะได้พูดจบ

“อ๊า ใช่ๆ พาไปเล่นน่ะจ้ะ” จีหยาฉูรีบพูดตามน้ำ

พาไป? ไปไหน? ฝูเจิ้งเจิ้งรู้สึกประหลาดใจที่เห็นทั้งสองคนต่างพากันหลบตาเธอ แต่ในเวลานี้เธอไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนั้น อย่างน้อยๆ เธอก็ได้ลูกชายคืนมาแล้ว ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้เธอจะดูโกรธเคืองและดุเขาไปแล้ว แต่นั่นก็เพราะความใจร้อนของเธอเอง และเพราะความใจร้อนนี้มันเลยพลอยทำให้เธออารมณ์เสียมาจนถึงตอนนี้

ฝูเจิ้งเจิ้งกุมมือฝูซิงไว้แล้วพูด “ฉันจะพาฝูซิงกลับบ้านค่ะ”

“นี่มันก็เย็นมากแล้ว ทำไมไม่พาเขากลับไปหลังจากทานอาหารด้วยกันแล้วล่ะ?” จีหยาฉูเหมือนจะเดาได้ว่าฝูเจิ้งเจิ้งโกรธมากๆ เธอจึงพูดด้วยรอยยิ้มหวังว่าหญิงสาวจะยอมใจอ่อน

“ไม่ค่ะ ขอบคุณมาก” ทว่าฝูเจิ้งเจิ้งก็ยังคงปฏิเสธ เธออุ้มฝูซิงขึ้นมาและพร้อมจะออกไปแล้ว

“ซิงซิง…” จีหยาฉูดูจะไม่อยากให้เขาจากไปเสียเท่าไหร่

“เดี๋ยวผมจะพาพวกเขากลับบ้าน” หานซือฉีเดินนำออกมา

จีหยาฉูจับแขนหานซือฉีไว้ และพูด “ซือฉี! ให้คุณหลี่ไปส่งเถอะ พ่อของลูกมีเรื่องจะคุยด้วยนะ”

นั่นไม่ใช่ทางเลือก หากแต่เป็นประโยคคำสั่ง เพราะพูดจบ เธอก็หันไปยังประชาสัมพันธ์แล้วบอกพนักงานต้อนรับ “ช่วยไปตามคุณหลี่ให้ขับรถมาที่นี่ทีจ้ะ”

มองจีหยาฉูที่มีท่าทีแปลกๆ ฝูเจิ้งเจิ้งก็ไม่ได้พูดอะไรและเดินออกไปพร้อมกับฝูซิงในอ้อมแขน

หลังจากที่ฝูเจิ้งเจิ้งและฝูซิงเดินออกไปแล้ว หานเถิงอวี้ก็พูดขึ้นมา “ซือฉี มะรืนนี้จะเป็นวันเกิดเค่อเหริน พวกเราวางแผนที่จะจัดงานวันเกิดให้เธอที่โรงแรมโอเร็นเต็ลฮ่าวจิง ฉันจะชวนครอบครัวของเธอ ญาติ รวมถึงเพื่อนมาด้วยเพื่อที่จะได้ประกาศเรื่องงานแต่งงานของแก”

“ไม่ครับ!” หานซือฉีปฏิเสธทันที

“ฉันจัดทุกอย่างไว้หมดแล้ว แกแค่ไปกับเค่อเหรินแล้วช่วยกันซื้อแหวนหมั้นก็พอ” หานเถิงอวี้ยืนยันคำเดิมโดยไม่คิดจะสนใจคำพูดของเขา และก่อนที่หานซือฉีจะได้พูดอะไรไปมากกว่านี้ เขาก็หันหลังกลับไปโดยไม่แยแสอะไรทั้งนั้น

“ซือฉี ไม่ช้าก็เร็วลูกก็จะต้องแต่งงานกับเค่อเหรินอยู่แล้วนะ” จีหยาฉูพูดอย่างอ่อนโยน แต่ถึงกระนั้นน้ำเสียงของเธอก็ไม่ได้ต่างอะไรกับหานเถิงอวี้นัก “รีบนอนซะ พรุ่งนี้ลูกมีงานต้องทำเยอะ”

จากนั้นเธอก็วางถุงขนมลงไปบนมือของหานซือฉีและเดินจากไปเช่นกัน

มองไปยังครอบครัวทั้งสองที่รีบเดินออกไป สีหน้าของหานซือฉีก็ดูมัวหมองลง คิดเหรอว่าเขาจะไม่เข้าใจว่าสองคนนั้นคิดอะไรอยู่?

พวกเขากลัวว่าถ้าปล่อยให้งานแต่งงานเลื่อนออกไปเรื่อยๆ มันจะมีปัญหาใหญ่ตามมาล่ะสิ!

“ป๊ะป๋า!”

———————————————————————————————————-

คุยกับผู้แปล

โอยยยย ลากเฉียวเค่อเหรินไปเก็บดิ๊ หนักอกหนักใจจริงจริ๊งงงงงง