บทที่6ตอนที่9

ณ ที่ห้องสมุดของอาร์คาซัมนั้นรวมหนังสือมาจากทั่วทุกทวีป

มีหญิงสาวคนหนึ่งที่อุทิศตัวตนของเธอให้กับการอ่านหนังสือเหล่านั้น

ผมสีฟ้าชวนให้นึกถึงท้องนภาปลิวไสวท่ามกลางหน้าต่างที่เปิดอ้าเล็กน้อยและรูปลักษณ์ที่ดูเรียบร้อยยังคงใช้มือเคลื่อนไหวตามตัวอักษรของหนังสือในมือที่เธอถืออยู่ ภาพลักษณ์ที่งดงามราวดั่งตุ๊กตา

หูแหลมที่โผล่มาจากช่องว่างของผมสีฟ้ายาวสลวยแสดงให้เห็นว่าตัวเธอนั้นเป็นเอลฟ์ที่ได้รับพรจากเหล่าภูติ

「…………เฮ้อ」

ตอนนี้เองซีน่า・จูเรียล เธอกำลังอ่านหนังสือด้วยท่าทางผ่อนคลาย ถอนหายใจและก้มหน้าลง

เธอกำลังกังวลกับบางสิ่งบางอย่าง เธอก็ขมวดคิ้วและเหม่อลอยไปในอากาศ

จากนั้นก็จ้องมองมาที่หนังสืออีกครั้ง แต่คราวนี้เหลือบมองไปยังหน้าที่เปิดขึ้นอย่างประหลาดใจ

「อ่าาาา ไม่มีสมาธิเลย。」

หนังสือที่เธออ่านก็เอาไปวางไว้บนโต๊ะ และซีน่าก็มองขึ้นบนเพดานของห้องสมุดพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่

ความรู้สึกที่หมุนวนอยู่ในอกนี้ เธอไม่เข้าใจและไม่อยากจะยอมรับมัน

「นี่มันอะไรกันนะ」

ซีน่าบ่นพึมพำด้วยน้ำเสียงเล็กๆ

เธอคิดว่าแรงกระตุ้นที่อกของเธอจะลดลงหากได้พูดอะไรออกไป แต่ตรงกันข้ามันกลับเพิ่มขึ้นมาอีก

เธอจำได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนเที่ยงวัน

เป็นฉากที่เธอเห็นโนโซมุกับไอริสดิน่าไปรับประทานอาหารกลางวันด้วยกันกับทุกคน

ไอริสเองก็ประหม่าเล็กน้อยขณะที่ถามโนโซมุ โนโซมุเองก็เห็นด้วยกับคำพูดของไอริส

ไอริสเองนั้นดูไม่เป็นตัวของเธอเองเลย แถมยังเผยรอยยิ้มอันแสนงดงามนั่นออกมาจนแม้แต่ซีน่าที่เป็นผู้หญิงด้วยกันยังต้องตกใจ และโนโซมุเองก็หลงใหลในตัวเธอคนนั้นเช่นกัน

「มันคืออะไรกันล่ะเนี่ย ไม่ว่าไอริสจะทำอะไรก็ไม่เกี่ยวกับฉันสิ……」

เมื่อนึกถึงตัวโนโซมุที่หลงใหลในตัวไอริส ความโกรธก็เข้ามาในใจของเธอ อย่างไรก็ตามอาการเจ็บอกมันก็แล่นมากขึ้นไปอีก และเกิดความเสียใจที่อธิบายไม่ได้เกิดขึ้นตามมา นั่นเป็นเพราะว่าเธอเองก็โดนชวนไปทานข้าวด้วยกันแต่กลับปฏิเสธคำเชิญ

ในเวลานั้นเองฟีโอก็เข้ามาขัดจังหวะพวกโนโซมุและไอริส จากนั้นก็พากันไปทำคำขอที่ไอริสรับมากัน

อย่างไรก็ตาม เธอคนนั้นก็ชวนซีน่า แต่ว่าซีน่าก็บอกปัด

「เฮ้อ ทำไมฉันถึงได้ปฏิเสธออกไปกันนะ……」

อย่างไรก็ตาม เธอเลือกที่จะมาที่นี่แทน แต่ซีน่าก็อดรู้สึกไม่พอใจตัวเองที่บอกปัดไปแบบนั้น

ในขณะนั้นเองก็ได้ยินเสียงของเพื่อนสนิท

「ซีน่าจัง?」

「ทิม่าซัง ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่คะเนี่ย?」

เป็นเพื่อนร่วมชั้นของเธอ ทิม่า ไลม์ ที่เรียกซีน่า เธอเองก็ถือหนังสือหลายเล่มไว้ในมือของเธอ

「นั่นสินะคะ……」

หนังสือที่เห็นจำนวนมากนั้นเป็นคำตอบอยู่แล้ว ส่วนใหญ่ก็เป็นเกี่ยวกับเวทย์ธาตุลมและเทคนิคการควบคุมพลังเวทย์

มีเพียงคนเดียวที่ต้องการความช่วยเหลือในด้านการควบคุมพลังเวทย์และใช้เวทย์ธาตุลม ซีน่าจึงได้ยิงคำถามออกไป

「อาา มาร์คุงสินะ……」

「เออออออออออ๋!?」

บางทีเธออาจจะต้องการช่วยมาร์ ด้วยความรู้ที่เธอได้มา เป็นข้อพิสูจน์ได้ว่าเธอพยายามเรียนรู้อย่างหนักเพื่อจะได้ช่วยเขา

แก้มของซีน่าหย่อนลงเล็กน้อยที่เห็นท่าทีของทิม่าที่พยายามอย่างหนัก

 

「ไม่บอกใครหรอกน่า ยิ่งกว่านั้นเกี่ยวกับโนโซมุคุงละคะ ฉันไม่คิดว่าใช้เวลาเพียงแค่สองสามวันเขาจึงจะควบคุมมันได้หรอกนะ แต่ว่ามันก็ไม่มากเท่ากับ “พลังนั่น”……」

「อืมดูเหมือนว่าอัตราความสำเร็จก็เพิ่มขึ้นมากแล้วค่ะ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุนั้นรึเปล่า มาร์คุงถึงพยายามอย่างมากเลยที่จะใช้สกิลผสานในช่วงนี้」

「ก็นั่นสินะ เพราะเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นนี่น่า」

ทิม่าพยักหน้าเล็กน้อยกับคำพูดของซีน่า

ความรู้สึกที่ซับซ้อนของมาร์ที่ได้รับรู้ถึงพลังที่แท้จริงของโนโซมุ ทำให้ตัวมาร์เองก็อยากที่จะแข็งแกร่งขึ้นเหมือนกับโนโซมุ

ตอนนั้นก็จำได้ดีเลยล่ะ เหตุการณ์ที่ต้องหนีตายจากเจ้านั่น

「บางทีนั่นอาจเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมมาร์คุง ดูเหมือนว่าจะเน้นไปที่การควบคุมพลังเวทย์มากกว่าคิในทุกวันนี้……」

「งั้นเหรอคะ? แต่ว่าสกิลส่วนใหญ่ก็พึ่งคิเป็นหลัก ดังนั้นน่าจะไปเน้นที่ส่วนนั้นก่อน……」

「ตามที่มาร์คุงบอก เขาใช้เวทย์ไม่เก่ง และดูเหมือนว่าเขาจะอยากจะลองอะไรใหม่ๆแน่นอนว่าก็ฝึกพลังคิไปด้วยเช่นกัน……」

「ทั้งสองวิธี สกิลผสานที่ไม่ได้หยุดอยู่ที่แค่เวทย์ แต่ว่าเป็นการควบคุมทั้งสองอย่างสินะ……」

ผลจากการที่มาร์ได้เห็นวิชาดาบของโนโซมุ นั่นทำให้เขาต้องการมีพลังที่เป็นของตัวเองบ้างนั่นคือการค้นพบสกิลผสานซึ่งเป็นความต่างของสองขั้วพลังอย่างเวทย์และคิที่จะใช้ให้มันสอดคล้องในเวลาเดียวกัน ซึ่งมันพึ่งเทคนิคการควบคุมอย่างมากในการคงสภาพ

จนถึงตอนนี้มาร์ไม่ค่อยได้ใช้เวทย์เท่าไรจึงไม่ถนัด เขาเลยเริ่มฝึกเกี่ยวกับเวทย์ไปด้วย

「ยังไงก็เถอะพยายามน่าดูเลยนะคะ」

「เอ่อ ก็ไม่ขนาดนั้นหรอกนะคะ…แต่ว่า……」

มาร์นั้นมีความเข้ากันได้กับเวทย์ธาตุลม และบางทีเพราะเธออยากจะให้มาร์ควบคุมมันได้อย่างสมบูรณ์จึงพยายามหาทางช่วยเหลือและค่อยสอนเคล็ดลับต่างๆให้อยู่เสมอ เพื่อให้มาร์ใช้สกิลผสานได้อย่างถูกต้อง

ทิม่าที่โดนเหน็บแหนบก็มีสีหน้าเขินอาย ขณะใช้ปลายนิ้วแตะขอบปกหนังสือที่เธอถืออยู่และก็พูดด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา

ขณะเห็นท่าทางของทิม่า ซีน่าก็ยิงคำถามออกไป

 

「นี่ ทำไมถึงได้แคร์เขามากขนาดนั้นงั้นเหรอคะ?」

「เอ๋?」

「ที่ฉันจะพูดก็คือมาร์ไม่ใช่คนไม่ดีอะไรหรอกนะ แต่เขาเองก็เป็นคนหัวรั้นและค่อนข้างเป็นคนห้าวๆหน่อย แต่ว่ามันดูค่อนข้างแปลกที่เธอชอบเขาอะไรประมาณนั้น」

ราวกับตอบสนองกับคำว่า “ชอบ” แก้มของทิม่านั้นก็แดงขึ้นไปอีก

「ชะชะชะชะชะชะชอบอะไรกันคะ!」

「……คิดว่ามองไม่ออกรึไงเนี่ย?」

「อ๊าาาาาาาาาา……」

ใบหน้าของเธอตอนนี้แดงก่ำมาก ซีน่าเองตกใจที่เห็นทิม่าเขินจัดขนาดนั้น

ทิม่านั้นเหม่อลอยได้สักพักแล้ว แต่เมื่อเธอถอนหายใจออกมาก็เริ่มพูดช้าๆ

「ตอนแรก…..เขาก็ดูน่ากลัวอยู่หรอกนะคะ….แต่ว่าพอได้คุยด้วยกันแล้วก็……」

ทิม่าสารภาพออกมาตามตรงขณะแหงนหน้ามองบนห้องสมุดราวกับนึกถึงความทรงจำเก่าๆ

ซีน่าเองก็เคยได้ยินเรื่องความบาดหมางของตระกูลฟรานซิสและตระกูลวาเซียร์ต แต่ว่าก็ไม่ได้ยินรายละเอียดอะไรมากนัก ดังนั้น ทิม่า และ มาร์ นั้นรู้กันดีอยู่แค่สองคน

「แต่ว่าดิฉันคงไม่คิดว่าเขาจะมีความรู้สึกดีๆกับฉันหรอกคะเพราะตัวดิฉันนั้นมืดมนเหลือเกิน……」

ทิม่าพูดเช่นนั้นพร้อมกับทำสีหน้าเคร่งขรึม ตัวเธอเองก็ไม่ชอบบุคลิกของตัวเองเช่นกัน

แต่นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าเธอเองก็คอยชื่นชมไอริสเพื่อนของตัวเองที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ

「แต่เมื่อคุณรูกาโต้มาถึง โซเมียก็ตกอยู่ในอันตรายและมาร์ก็คอยปกป้องฉันค่ะ」

ครอบครัวเพียงหนึ่งเดียวที่ไม่มีใครมาแทนได้ของเพื่อนสนิทแสนสำคัญ เด็กสาวที่เป็นเหมือนน้องสาวของทิม่าอีกคน

มาร์เองก็ทนไม่ไหวที่ต้องเห็นทิม่าถูกทำร้ายจากกระสุนเวทย์ที่โจมตีใส่เธอ

ตอนนั้นพวกเขาสองคนเข้าขากันได้ดีมาก ทุกครั้งที่เธอนึกถึงเขา ความรู้สึกเร่าร้อนก็จะพวยพุ่งออกมา

ความคิดนี้บางครั้งก็ส่งผลต่อจิตใจอย่างรุนแรง และบางครั้งก็ให้ความอบอุ่นแก่ตัวเธอเอง

「พูดไม่ค่อยเก่งแต่ว่าก็เป็นห่วงสินะ……」

ทิม่านั้นถ่ายทอดความรู้สึกไม่เก่ง เธอนั้นถอยห่างจากผู้คน ทำให้เธอไม่สามารถเข้าหาผู้คนได้อย่างตรงไปตรงมา

แต่แทนที่จะพูดมันออกมา ตัวเธอนั้นชอบแสดงออกทางการกระทำเสียมากกว่า

สาเหตุก็คงเพราะแบบนั้น เมื่อพูดถึงมาร์แล้ว เธอไม่เคยปฏิเสธเขาเลยแม้แต่น้อย เธอเองก็เป็นคนขี้อาย และเวลาคุยกับคนอื่นมักจะโดนดูถูกอยู่เสมอ

แต่ว่ายามที่ได้คุยกับมาร์เธอสามารถพูดคุยได้อย่างปกติ แต่ว่าเธอเองก็มีข้อบกพร่องร้ายแรงอย่าง “อ่านบรรยากาศไม่ออก” นั่นเอง

「เฮ้อ……」

ซีน่าที่เห็นทิม่าเปิดเผยความในใจของเธอออกมาได้ต่อหน้าคนอื่นก็นับว่ากล้ามากพอแล้ว

สำหรับซีน่าตอนนี้ก็คือหญิงสาวผมดำที่มีท่าทางขี้อายแต่ก็ชักชวนโนโซมุได้โดยไม่ลังเล ความรู้สึกบางอย่างถูกกระตุ้นออกมาจนไม่สามารถอธิบายได้จากส่วนลึกของหน้าอกของซีน่า

ความเงียบเกิดขึ้นระหว่างทั้งสองคน ทั้งหมดที่ได้ยินคือเสียงที่ดังมาจากด้านนอก

อย่างไรก็ตามทั้งสองก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยอีกครั้ง

「เน่ ซีน่า ทิม่าซัง อยู่ด้วยกันเหรอหายากนะเนี่ย?」

「มิมูรุ?」

เป็นมิมูรุนั่นเองเพื่อนร่วมชั้นที่เข้ามาขัดการสนทนาของทั้งสอง ซีน่าแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นเธอโผล่มาในห้องสมุดแบบนี้

「ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ ที่นี่มันห้องสมุดนะ?」

ซีน่าและทิม่าที่มาอยู่ด้วยกันก็เป็นสิ่งที่หายากแล้ว แต่ว่าการที่เห็นมิมูรุเข้ามาในห้องสมุดนั้นแปลกยิ่งกว่า

ท้ายที่สุดแล้วมิมูรุนั้นไม่ชอบคาบบรรยายและไม่ชอบอ่านหนังสือ และโดนอาจารย์อินด้าเทศน์ประจำ

「หืมมมมมมมม ปากเสียจังเลยนะ ซีน่า ! ฉันเองก็อ่านหนังสือนะ!?」

มิมูรุแก้มป่องขณะโต้เถียงกับซีน่าพร้อมกับพูดประชดใส่

มิมูรุก็หยิบหนังสือออกมาราวกับบอกว่า “ดูซะ” แต่ชื่อหนังสือที่เรียงกันอยู่นั่นเป็นอะไรยากๆเช่น การศึกษาการเกิดปฏิกิริยาผันผวนของพลังเวทย์ ไม่ว่ายังไงก็เป็นหนังสือที่ยากกว่าในชั้นเรียนเป็นไหนๆ

「ว่าแต่ ทอมแฟนเธอไปไหนแล้วล่ะ?」

「ทอมอยู่ตรงโน้นแน่ะ……」

เมื่อเห็นมิมูรุชี้ไปก็เจอทอมที่ถือวัสดุด้วยแขนเล็กๆของเขา เมื่อเขาเห็นพวกซีน่าก็วางเอกสารไว้บนโต๊ะและเข้ามาหา

「อ่า สวัสดีนะ ซีน่า ทิม่าซัง มิมูรุ เอาของที่ผมกำลังมองหาอยู่มาให้สินะ ขอบคุณมากเลยนะ」

「…………」

มิมูรุก็หน้าซีดกับคำพูดของทอม จากนั้นซีน่าก็จ้องมองและคิดว่า “น้ำหน้าอย่างเธอเนี่ยนะอ่านหนังสือ”

「……ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นเพราะทอมเองสินะ?」

 

「เอ๋? อะไรเหรอ?」

สายตาของซีน่าจ้องมองไปยังมิมูรุที่โกหกออกมา มิมูรุที่โกหกนั้นก็หน้าแดงเพราะความแตก

ในทางกลับกันทอมนั้นไม่เข้าใจสถานการณ์ตรงหน้า

「ทอมมมมมมมม บากะ――――!」

「เออออออออออ๋ ทำไมล่ะ~~!?」

มิมูรุที่ทนไม่ไหวก็เข้าไปกอดทอมทั้งๆที่อายจนแทบจะมุดดินหนีอยู่แล้ว

มิมูรุพูดว่า “ทำไมไม่ตามน้ำ” หรือ “ทอมควรจะเข้าข้างฉันสิ” แบบนั้นแหละ

ในขณะนี้ ทอมเองก็พยายามทำให้มิมูรุสงบลง

ขณะเฝ้าดูสถานการณ์ของทั้งสอง ซีน่าทำได้เพียงแต่ถอนหายใจเมื่อเห็นเพื่อนของเธอที่กลับสู่สภาพเดิม

อย่างไรก็ตาม ถ้าเสียงดังขนาดนี้เดี๋ยวก็โดนคนรอบข้างมองกันพอดี

มิมูรุที่ตื่นเต้นอยู่นั้นไม่ได้รู้ตัวเลย แม้ว่าจะมีคนจ้องมองมาก็ตาม

「มิมูรุซัง……」

「ทิม่าซังมีอะไรงั้นเหรอ!? เอ่อตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงอ้อนแท้ๆ…อาาาา」

ทิม่านั้นแตะไหล่ของมิมูรุ มิมูรุที่กอดทอมไว้อยู่ก็หันหน้ามามองไปทางทิม่าและพบว่ามีสายตาจำนวนมากกำลังจับจ้อง

「อ่าาาาาาาาาาาาาาา…..ขอโทษค่าาาาาาาา」

แต่ว่าทุกคนในห้องก็ยิ้มแย้มให้กับท่าทางของเธอ จากนั้นเธอก็ปล่อยตัวออกจากทอมและซ่อนตัวอยู่ด้านหลังทอม

อย่างไรก็ตามแล้วข้างหลังจะซ่อนยังไง?

มิมูรุสูงกว่าทอมดังนั้นก็ไม่ได้เรียกว่าเป็นการซ่อนซะทีเดียว ยังคงมีหูให้เห็น

อย่างไรก็ตามทอมและทิม่าก็ได้แต่ยิ้มเจื้อนๆและซีน่าเองก็กุมขมับ

「ทอม เหนื่อยหน่อยนะ」

「อะฮะฮะ ชินแล้วล่ะ」

ในขณะที่พูดไปเช่นนั้น ทอมก็บอกราวกับว่าช่างมันเถอะ

สำหรับเขาแล้ว การที่ได้เห็นมิมูรุที่ทำตัวน่ารักแบบนี้มันก็ดีสำหรับเขา

จากนั้นทอมก็ลูบหัวมิมูรุ และมิมูรุก็ร้องด้วยความดีใจ

“เมี๊ยว~”ทันใดนั้นแก้มของซีน่าก็แดงเพราะได้ยินเสียงร้องของแมวเหมียว

อากาศอันแสนอบอุ่นรอบๆตัวพวกเขาทำให้ดูผ่อนคลายอย่างมาก แต่ว่าก็มีเสียงเล็กๆเล็ดลอดเข้ามา

「อ่าาาา~พวกคุณกำลังทำอะไรอยู่คะเนี่ย?」

ทุกคนที่อยู่ที่นั่นเงียบเสียงทันที และมีสาวน้อยร่างเล็กผมสีดำเป็นประกายยาวประบ่า

เธอเองก็มีหนังสือหลายเล่มเฉกเช่นเดียวกับมิมูรุ

「โซเมียจังทำไมมาอยู่ที่นี่ล่ะ?」

「เอ๋ ทิม่าซัง สวัสดีค่ะ~~」

โซเมียตอบกลับโดยไม่ใช้เสียงดังมากนักและโบกมือให้กับทิม่า และเผยรอยยิ้มอันแสนร่าเริง เป็นสาวน้อยที่สดใสดั่งดวงตะวันจริงๆ

「โซเมียจังเองก็มาอ่านหนังสือเหรอคะ?」

「ค่า ! มีบางอย่างที่ไม่เข้าใจในชั้นเรียนอยู่บ้าง แต่ว่าพวกคุณมาทำอะไรกันที่นี่คะเนี่ย? แถมยังเอะอะเสียงดังอีกด้วยค่ะ……」

「เอ่อ ก็มิมูรุเหยียบหางตัวเองแล้วก็โวยวาย……」

「โม่ว เรื่องนั้นมันจบไปแล้วนะ! แต่ว่าที่หายากกว่านั้นคือการที่ซีน่าและทิม่าซังอยู่ด้วยกัน แล้วกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่เนี่ย!?」

มิมูรุก็เอนตัวไปข้างหน้าและพยายามขัดจังหวะทั้งสองที่กำลังเปลี่ยนเรื่อง

ซีน่าถอนหายใจเสียงดังเมื่อเห็นมิมูรุกลับมาใช้เสียงดังอีกรอบ จากนั้นโซเมียเองก็ทำท่า “ชู่ววววว” ด้วยรอยยิ้มเกร็งๆ ราวกับบอกว่าช่วยเงียบด้วยค่ะ

「เอ่อมันก็แค่เรื่องบังเอิญทำไมถึงได้สนใจถึงขนาดนั้นกันล่ะ」

「ไม่หรอก จิตวิญญาณของฉันมันกำลังบอกว่าพวกเธอกำลังคุยเรื่องความรัก……」

「อะไรล่ะนั่น ! แมวป่ามีความสามารถอะไรเช่นนั้นด้วยเหรอ?」

「อืมก็ไม่เคยได้ยินหรอกนะ แต่ถ้าพูดถึงแบบนั้นแล้ว……….มิมูรุเธอเองก็น่ารักใช่เล่นนะ」

ซีน่าจ้องมองไปยังมิมูรุที่ทำท่าโอ้อวดด้วยความภาคภูมิใจ

โซเมียเองก็ได้แต่สงสัยอยู่ตลอด แต่ดูเหมือนว่าเธอกังวลเรื่องของมิมูรุมากกว่า

เดิมทีแล้วเธอเป็นคนรักแมว และชอบของน่ารัก ดังนั้นเลยสนใจเป็นพิเศษ

「อืม! หญิงสาวในห้วงแห่งความรักนั้นอ่อนไหว !? ทิม่าซังนั้นกำลังอยู่ในห้วงแห่งความรักสิน้าา~!?」

「เออออออออออออออ๋!?」

ทิม่าที่ดูการพูดคุยของทั้งสามคนก็ประหลาดใจออกมาและตัวสั่นเทา

ขณะนั้นเองแก้มของเธอก็แดงระเรื่อ

「หืมมม ไม่ใช่งั้นเหรอ? ก็เห็นได้ยินชื่อมาร์คุงนี่?」

「……แอบฟังเหรอเนี่ยหะ?」

ซีน่าจ้องมองไปยังมิมูรุด้วยท่าทางตำหนิ แต่มิมูรุก็ได้แต่หัวเราะแห้งๆออกมา

อย่างไรก็ตามเธอรีบเปลี่ยนท่าทาง และรีบเดินไปมาทิม่าที่กำลังตัวสั่น

「กำลังพูดถึงมาร์คุงล่ะสิท่าา!!! เป็นธรรมดาที่จะกังวลนี่น่าเพราะเป็นคนที่เธอชอบนี่!」

「…………」

รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของมิมูรุแผ่ขยายไปทั่วสายตาของทิม่า ขณะที่เมินเฉยต่อสายตาของซีน่า

ทิม่าได้แต่คร่ำครวญ “เอ่อ คือ”

เธอมองไปรอบๆราวกับขอความช่วยเหลือ และก็เจอโซเมียน้องสาวของเพื่อนสนิท

เธอคิดจะพึ่งพาสาวน้อยอายุ 11 ปี ที่มีจิตใจกล้าแกร่งเหมือนพี่สาวของเธอ บางทีเธออาจจะช่วยได้

 ทิม่าคาดหวังเช่นนั้น……。

「เอ่อ หนูเองก็สนใจ เรื่องราวเป็นมายังไงเหรอคะ?」

「เอ๋!?」

ความคาดหวังนั้นพังทลาย

ตรงกันข้ามกับความรู้สึกของทิม่า โซเมียโน้มตัวมาข้างหน้าพร้อมแววตาเปล่งประกาย

「เอ่อ โซเมียจังเองก็สงสัยเหมือนกันเหรอเนี่ย?」

「ค่า อยากได้ยินจากปากตรงๆเลยเอาไว้ใช้อ้างอิงในอนาคต……」

「เอ่อ ในอนาคตเหรอ ยังเร็วไปหน่อยนะสำหรับโซเมียจัง……」

「อืม งั้นเหรอคะ? แต่ว่าเพื่อนร่วมห้องหนูเองก็มีเรื่องอะไรแบบนี้นะคะ……」

「เอ๋!?」

ถ้าอย่างงั้นก็หมายความว่าเพื่อนร่วมชั้นของโซเมียอายุ 11 ปี เคยมีประสบการณ์แบบนั้นแล้วเหรอ อีกอย่างทิม่าเองก็ยังไม่เคยจับมือผู้ชายคนไหนนอกจากพ่อของเธอเลย แน่นอนเรื่องจูบเองก็ไม่เคยเช่นกัน

แต่ว่านะ จุจุ๊บ ตอนอายุ 11 ปี

จากนั้นทิม่าก็จิ้นภาพของเด็กชายและเด็กหญิงคู่หนึ่ง

ทั้งสองต่างสบตากัน ระยะห่างค่อยๆเข้าใกล้มากขึ้นจนลมหายใจรดต้นคอ

ในที่สุดใบหน้าของทั้งสองก็แนบชิดกันแล้วก็……。

「อ๊าาาาาาาาาาา……」

หลังจากคิดแบบนั้นใบหน้าของทิม่าเองก็แดงก่ำสุดๆ ดูเหมือนว่าเพราะจิ้นภาพแบบนั้นทำให้สมองคิดแต่เรื่องแบบนั้น

「เอ๊ะ? แหย่มากเกินไปหรอเนี่ย?」

มิมูรุจ้องมองไปยังทิม่าที่กำลังเขินจนตัวสั่น ก็เลยลองจิ้มแก้ม จึก จึก แต่ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ

ซีน่าโกรธและพูดว่า “เธอนี่มันตัวปัญหาจริงๆเลยนะ” ขณะที่พยายามลากมิมูรุไปเพื่อกำจัดต้นตอ

อย่างไรก็ตาม เมื่อเอื้อมมือออกไปก็เห็นโซเมีย ด้วยเหตุผลบางอย่าง เธอจึงดึงมือที่ยื่นออกมาด้วยแววตาใสซื่อบริสุทธิ์

「อะ เอ่อ อืม โซเมียจัง ? นั่นเรื่องจริงงั้นเหรอ?」

「ค่ะ แต่เมื่อพูดถึงลันซ่าจัง ดูเหมือนว่าเพื่อนของเธอก็ทำค่อนข้างบ่อย อย่าง แมรี่และเคียน่า……」

「งั้นเหรอ……」

โซเมียพยายามนับนิ้วขณะเรียกชื่อเพื่อนของเธอไปด้วย

มือเดียวไม่พอแถมยังใช้สองมือ แม้แต่มือทั้งสองก็ไม่เพียงพอ

「เอ่อ ลืมมันไปเถอะนะโซเมียจัง……」

「เอ๋ งั้นเหรอคะ?」

ซีน่าหัวเราะแห้งๆ จะผุดออกมากี่ชื่อถ้าไม่หยุดไว้เนี่ย?

ความคิดแปลกๆผุดขึ้นในใจเธอ เมื่อเธออารมณ์เสียเพราะได้ยินเรื่องรักๆใคร่ๆของเหล่าน้องๆที่คืบหน้า

「บางทีเอง โซเมียจังก็ด้วยเหรอ……」

「เอออ๋ หนูเหรอคะ? หนูไม่เคยทำอะไรแบบนั้นหรอกค่ะ พ่อและพี่สาวก็บอกให้หนูรักตัวสงวนตัวด้วยสิคะ!」

「ใช่แล้วล่ะ ต้องแบบนั้นสิ……」

โซเมียตอบด้วยน้ำเสียงร่าเริง เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ได้มีประสบการณ์แบบนั้น

「ก็พอเข้าใจอยู่หรอกนะในกรณีของพวกเธอที่ไม่สามารถตัดสินคู่ครองได้ง่ายๆ ช่างโชคไม่ดีเลยนะ……」

โซเมียยิ้มแบบเหงาๆเล็กน้อย แต่ว่าตัวเธอก็ดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเป็นเด็กสาวอายุเพียง 11 ขวบ

หากลองคิดดูให้ดีเธอเป็นคนของตระกูลฟรานซิส เช่นเดียวกับไอริส ดูเหมือนว่าจะต้องเลือกคู่ครองที่เหมาะสมกับฐานะตนเอง

ในขณะที่รับรู้เรื่องนี้ ซีน่าเองก็เห็นใจต่อสถานการณ์ของครอบครัวพวกเธอ

เอลฟ์ผู้สูญเสียบ้านเกิดจากการรุกรานเมื่อสิบปีก่อนและเสียหลายอย่างที่สำคัญ

เดิมเป็นเผ่าพันธุ์ที่อายุยืนยาว ก็เลยมีลูกหลานยาก

เอลฟ์ที่สูญเสียสถานที่อยู่อาศัยก็ได้ลดจำนวนลงเป็นอย่างมากแต่เสี่ยงต่อการสูญพันธ์

เพื่อเป็นการตอบโต้มาตราการนั่น เอลฟ์ที่พอมีอายุมากมักจะแต่งงานกับบุคคลที่เหมาะสมเพื่อผลิตทายาท

แน่นอนเรื่องราวการแต่งงานก็มาถึงตัวซีน่าเช่นกัน แต่ในเวลานั้นเธอไม่สามารถใช้เวทย์ภูติได้ ก็เลยไม่สามารถหาคู่ครองได้นั่นเอง

อย่างไรก็ตามเธอก็ปฏิเสธทุกอย่างและมาที่อาร์คาซัมแห่งนี้ ป่าที่ไหม้เกรียมและครอบครัวที่สูญเสียอยู่ในป่าและร่างของสัตว์อสูรสีดำนั่น

ในแง่นั้นเองทั้งสองคน ทั้งโซเมียและซีน่าก็มีปัญหาในการเลือกคู่ครอง

「เรื่องมันวุ่นวายเนอะ……」

ซีน่าพูดเช่นนั้นขณะลูบหัวโซเมีย

สภาพแวดล้อมที่เด็กตัวเล็กๆได้เกิดมานั้นค่อนข้างจำกัด อาจเป็นเพราะเธอเคยสัมผัสมันตอนเด็กๆ

แน่นอน ตอนเด็กพวกเราทำอะไรไม่ได้มากหรอก แถมความสามารถที่ฝึกฝนมาอย่างดีก็ใช้ไม่ได้ผลกับสัตว์อสูรสีดำ

อย่างไรก็ตาม เธอยังคงยิ้มอย่างอ่อนโยน

「ท้ายที่สุดแล้วมันก็เปลี่ยนไปแล้วนี่ซีน่า」

ทอมที่ไม่ได้คุยกับมิมูรุก็หันมาคุยกับซีน่า

ซีน่าพยายามเผชิญหน้ากับความรู้สึกผิดที่ทำให้เพื่อนตัวเองต้องบาดเจ็บด้วยการเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรสีดำด้วยตัวคนเดียว สุดท้ายก็คงไม่พ้นการถูกฆ่าตายอยู่ดี

อย่างไรก็ตามเป็นเวลาสองปีที่เธอสามารถเอาชนะเจ้านั่นได้ด้วยความช่วยเหลือจากคนที่เธอพบในสถาบัน

ความผูกพันที่ก่อตัวขึ้นนั้น ทำให้เธอในตอนนี้ยิ้มออกมาได้ เพราะเธอได้รับรู้ถึงพลังนั่นแล้ว เพราะเธอเข้าใจถึงความหัวแข็งของเธอ แต่ตอนนี้ก็เปลี่ยนแปลงมันได้แล้ว

「ก็อาจจะเป็นเช่นนั้นอยู่หรอก แต่ฉันเองก็ยังไม่ประสีประสาเรื่องความรักเท่าไร……」

เธอใช้ชีวิตมาจนถึงตอนนี้ด้วยเป้าหมายที่จะล้มศัตรูและกู้บ้านเกิดเมืองนอนเธอกลับคืนมา เธอคิดว่าเธอเองก็ต้องแต่งงานกับใครสักคนเมื่อคิดถึงเผ่าพันธุ์แล้ว แต่ว่าตัวเธอในตอนนี้ยังไม่เข้าใจของสิ่งที่เรียกว่า “ความรัก”

แต่ว่าก็มีคนที่อยากจะช่วย เพื่อนซี้และแฟนหนุ่มของเธอกำลังยิ้มมาหาฉัน สาวน้อยตรงหน้าที่ยิ้มพร้อมกับความรักในครอบครัว

「และ……」

เด็กชายธรรมดาทั่วไปที่กวัดแกว่งดาบอยู่ทุกวันที่เห็นได้ดาษดื่น

ความยุ่งยากมากมายที่เขาต้องประสบพบเจอ เช่นพลังที่เขามีไว้ต้องปิดซ่อนมันเอาไว้และต้องรักษาสายสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนสมัยเด็กของเขา สถานการณ์ที่แสนสิ้นหวังและหดหู่ใจ แต่ว่าเขาก็ยังยื่นมือออกมาช่วยฉันได้โดยไม่ลังเล

ยังไงก็ตามเธอก็ยังไม่เข้าใจความหมายของความรัก……。

มือของซีน่านั้นยื่นออกมาแตะริมฝีปากอย่างเป็นธรรมชาติ

「ยังไงก็ตามซีน่าซังเคยจูบกับโนโซมุซังใช่ไหม? ถ้างั้นก็ช่วยบอกโซเมียหน่อยว่าตอนนั้นซีน่าซังรู้สึกยังไงเหรอ?」

「……เอ๋!?」

「อ่านั่นสินะคะ ! ซีน่าซังกับคุณโนโซมุจูบกันนี่น่า!」

จุจุจุจจุจุจจูบ คำพูดเหล่านั้นวนเวียนอยู่ในหัวของซีน่า

เธอนึกขึ้นมาได้ตอนที่เธอต้องช่วยโนโซมุ ซึ่งกำลังโดนพลังของเทียแมตครอบงำ

เวทย์พันธสัญญาใช้เรียกสติของเขาให้กลับคืนมา และสิ่งที่ทำในตอนนั้นก็คือ…

ตอนนั้นเองซีน่าก็หน้าแดงก่ำหัวหมุนติ้ว และความร้อนผ่าวเกิดขึ้นบนใบหน้า เธอเองก็เริ่มสติหลุดลอยเพราะความเขินอาย

「นั่นสินะคะ ! ได้โปรดบอกหนูด้วยเถอะค่ะ ! รู้สึกยังไงเหรอคะ! ท้ายที่สุดแล้วรสชาติมันเหมือนมะนาวไหมคะ?!?」

「ทำไมถึงได้อยากรู้อยากเห็นขนาดนั้นล่ะ! ลันซ่าที่เธอพูดถึงเองก็น่าจะทำแบบเดียวกันนี่!」

「เอ๋ แค่นั้นไม่เป็นไรหรอกค่ะ !? พวกเราก็แค่หอมแก้มกันแค่นั้นเอง แต่ว่าเวลาจูบทางปากนี่รู้สึกยังไงกันแน่คะ……」

「เอ๋!? นั่นหมายความว่าไง!?แล้วไปจูบกันตอนไหน!?」

「ตอนที่ไปเดทค่ะ!」

โซเมียที่อยู่กับโนโซมุก็จำได้ว่าโดนสะกดรอยตามมา นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าซีน่าไม่เคยรู้ว่าโซเมียเคยจูบไปแล้วนั่นเอง

อย่างไรก็ตามทั้งโซเมียและซีน่าเองก็ไม่ได้รู้เลยว่าคุยกันคนละเรื่องอยู่

สำหรับซีน่าเธอได้ค้นพบข้อเท็จจริงต่างๆมากมายก่อนที่จะรู้ตัวซีน่าก็เล่าเรื่องให้ฟัง

อย่างไรก็ตาม มิมูรุที่กำลังจ้องมองทั้งสองคนที่เล่าเรื่องราวอันร้อนแรงให้ฟังก็ยิ้มแย้ม

「แต่ตอนนี้โนโซมุมีไอริสดิน่าอยู่แล้ว! และตอนนี้พวกเขาก็รับคำขอไปทำอยู่ด้วยกัน! แล้วตอนนี้โนโซมุกับไอริสดิน่ากำลังทำอะไรอยู่กันแน่นะ?~」

อาการแน่นหน้าอกกลับมาพองโตขึ้นอีกครั้งและมีสีหน้าซีดๆของซีน่า

ดูเหมือนว่าเธอจะไม่รู้ว่ามีฟีโออยู่ด้วย แต่ตอนนี้ไม่สำคัญแล้ว

「……มิมุรุ มาหลังชั้นหนังสือกันเถอะ」

「……เอ๋?」

ซีน่าพยายามลากเพื่อนตัวเองไปที่หลังชั้นหนังสือ โซเมียที่เห็นท่าทางของซีน่าเองก็ดูแปลกๆเล็กน้อย

「ซะ ซะ ซีน่าเธอไม่ควรทำหน้าแบบนั้นนะ ดะ ดูสิ โซเมียเองก็หัวเราะแล้วเห็นไหม?」

「……หัวเราะ」

ซีน่าตะลึงกับความพยายามของมิมูรุที่จะเปลี่ยนเรื่องด้วยรอยยิ้ม

เห็นได้ชัดว่าตอนนี้กำลังอารมณ์เสียสุดๆเลยล่ะ ปกติแล้วซีน่าจะเป็นคนคุมตัวเองอยู่ แต่ตอนนี้เธอฟิวส์ขาดแล้ว

「ซีน่าซังน่าจะต้องการเจ้านี่นะคะ?」

เมื่อพูดอย่างนั้นโซเมียก็หยิบหนังสือเล่มหนาขนาดพันหน้าออกมา นี่คือหนังสทอที่มิมูรุตามหาให้ทอม

โซเมียเองก็ยังไม่ยอมหยุดอยู่แค่นั้น

「อ่าอืม ถ้างั้นจะขอยืมนะ」

「จะทำอะไรกับเจ้านั่นน่ะ ?? ถ้าเอามาฟาดกันได้มีสลบแหงๆ!」

เสียงร้องของมิมูรุดังโหยหวนจากขวาไปซ้ายและซีน่าก็เอาหนังสือนั่นที่ถูกนำเสนอโดยโซเมียมาถือด้วยมือข้างหนึ่ง

จากนั้นเธอก็ทำท่าขู่อย่างชัดเจน

「ใครก็ได้ช่วยด้วย!!」

มิมูรุรู้สึกได้ว่าตอนนี้ตัวเธอกำลังตกอยู่ในอันตรายและต่อต้านอย่างสิ้นหวัง

ดังที่เห็นซีน่าหยิบมันขึ้นมาและเล็งไว้อย่างแม่นยำ

มิมูรุยังคงอาละวาดอย่างสิ้นหวัง แต่มือของซีน่านั้นก็ใหญ่เกินไป

ซีน่าพามิมูรุไปด้วยรอยยิ้มเช่นนั้นและเสียงกรีดร้องก็ดังไปทั่วห้องสมุด

อย่างไรก็ตามเพราะเสียงกรีดร้องนั่นทำให้พวกซีน่าโดนดุอย่างแรงจากบรรณารักษ์และถูกไล่ออกจากห้องสมุด

◆◇◆

หลังจากโดนไล่ออกมาและกลับไปที่ห้องพักของตัวเอง ซีน่าก็ยังคงสับสน

เครื่องแบบนั้นยับไปหมด แต่ตอนนี้เธอใจเต้นรัวมาก

จนกระทั่งกลับมาถึงที่ห้องพักถ้อยคำที่เธอพูดในห้องสมุดนั้นก็ยังคงก้องอยู่ในหัว

“อยู่ด้วยกันสองต่อสองไม่มีใครมาขวาง โนโซมุและไอริสกำลังทำอะไรกันแน่นะ~”

ภายในใจของเธอราวกับแตกร้าวเป็นเสี่ยงๆ เธอแหงนหน้ามองขึ้นไปบนเพดานที่คุ้นเคย

「ถึงงั้นก็เถอะ แม้จะไม่ได้อยู่กับเขาแล้วก็ตาม……」

ซีน่าหันไปทางด้านข้าม แก้มของเธอบวมเป่งด้วยความอารมณ์เสีย และเธอก็ย่อตัวเล็กน้อยและคุกเข่า

ท่าทางเหมือนกับเด็กน้อย

ซีน่ายังคงนิ่งไปครู่หนึ่ง แต่เมื่อเธอวางมือทาบอกและหายใจออกมา เธอก็กลับมานอนหงายอีกครั้งและจ้องมองเพดานอีกรอบ และค่อยๆหลับลงอย่างช้าๆ

ในที่สุดร่างกายของเธอก็ค่อยๆเรืองแสงจางๆ มันคือพลังภูติ

การใช้พลังเวทย์ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

ซีน่าปกติแล้วจะไม่ใช้สิ่งนี้เล่นๆ แต่เธอไม่มีทางเลือกเพราะกังวลเกี่ยวกับสองคนนั้นที่เข้าป่าไป

โชคดีที่นี่คือห้องส่วนตัว ไม่มีวี่แววของคนข้างห้อง พลังเวทย์ค่อยๆเพิ่มขึ้นขณะที่เธอให้ความสนใจกับสิ่งรอบข้าง

พลังเวทย์ของเธอไหลออกมาคล้ายกับเวทย์แห่งพันธสัญญา

เธอเพิ่มพลังเวทย์ชั่วคราว แทนที่กระจายไปรอบๆ เช่นเดียวกับการทำสัญญากับภูติ เธอรวบรวมพลังเวทย์ไว้จุดหนึ่งของร่างกาย

ซีน่าเชื่อมต่อพลังเวทย์เข้ากับวงจรเวทย์คล้ายๆกับการเป้ดเวทย์พันธสัญญา

วงจรเวทย์ที่แต่เดิมควรจะหายไปตามปกติ โดยที่เธอไม่ต้องทำอะไร แต่ว่าเธอก็ใส่พลังเวทย์ลงไปอย่างต่อเนื่อง

เธอไม่รู้เลยว่าทำมันลงไปทำไม อย่างไรก็ตาม เมื่อการเชื่อมต่อขาดหายไปแล้ว เธอก็รู้สึกได้ว่าราวกับมีรูเกิดขึ้นใจกลางอกของเธอ

วงจรเวทย์พลังทลายในทันใด

จากนั้นเธอก็ค่อยๆขยายวงจรเวทย์ที่ไม่มั่นคงนั่นอย่างอ่อนโยนราวกับเป็นสิ่งสำคัญ

「เฮ้อ……」

ซีน่ารู้สึกเหงายามที่เธอหลับตาและรู้สึกถึงโลกอันแสนมืดมิดและฝันถึงตอนที่ตัวเองหนีออกมาจากบ้านเกิด จากนั้นเธอก็ยิ้มออกมาด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น

ตามตรงแล้วไม่ใช่เรื่องที่ดีที่จะเชื่อมต่อวงจรเวทย์โดยไม่บอกอีกฝ่ายหนึ่ง เวทย์พันธสัญญาคือการนำสองตัวตนที่แตกต่างมารวมกัน มันเป็นอันตรายอย่างมากหากใช้งานผิดวิธี

หลังจากการต่อสู้กับมังกรแห่งความตาย เธอพยายามเชื่อมต่อกับมันอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม เมื่อตื่นขึ้นมาก็จะพบเจอกับเรื่องราวเก่าๆที่หยุดไม่ได้

ใบหน้าของเขาที่ยิ้มอย่างเศร้าๆจากที่ไหนสักแห่งและใบหน้าของเพื่อนในวัยเด็กของเขาที่เห็นแล้วก็เจ็บปวดไปทั้งใจ

มันคล้ายกับอาการเดียวที่เกิดขึ้นที่ห้องสมุดในวันนี้

「นี่ฉันแคร์เขามากขนาดนั้นเลยเหรอ……」

ฉันจำได้ตอนที่คุยกับทิม่าเรื่องมาร์

นอเหนือจากวงจรเวทย์ที่ค่อยๆเปิดออก มันเป็นตัวแทนแห่งความกังวล

ภาพที่ดำสนิทของเธอค่อยๆสว่างขึ้น ขณะที่เธอยังคงหลับตาอยู่ นั่นเป็นเพราะว่ามีแสงสีขาวส่องประกายท่ามกลางโลกอันแสนมืดมิด

เมื่อเธอเห็นสิ่งนั้น ซีน่าก็คลายยิ้มออก ตอนที่ได้เห็นแสงสว่างความรู้สึกทุกอย่างก็กระจ่างชัดราวกับว่าเป็นเรื่องโกหก

สิ่งที่เธอมองอยู่ในตอนนี้คือหัวใจของเขา มันเป็นร่างของคนที่เคยช่วยชีวิตเธอเอาไว้และคอยดูแลเพื่อนๆของเขา

พลังเวทย์กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับความสัมพันธ์กับเขาผ่านทางร่างกายของเธอ

จากนั้นแสงเล็กตรงหน้าเธอก็ระเบิดเข้าไปในความมืดมิดพร้อมกับแสงจ้าเป็นประกาย

ลมกรรโชกแรงกระทบร่างกายของซีน่า แต่ถึงแบบนั้นเธอก็ยังคงยิ้มอยู่

แสงสลัวที่แผ่กระจายไปพร้อมๆกันล้อมรอบร่างของซีน่า เธอรู้ว่าราวกับกำลังถูกตัวเขานั้นห่อหุ้มไว้อยู่

「ฮะฮะ……!」

เธอหัวเราะออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ

ในไม่ช้าความรู้สึกเหล่านั้นก็ทะลุผ่านไปเหมือนกับก้อนเมฆ ซีน่าก็ยืนรับลมทั้งๆแบบนั้น

อย่างไรก็ตามภาพที่พัดผ่านเข้ามาในครั้งถัดไปก็คือเปลวเพลิงสีแดงสดที่ทำให้นึกถึงบ้านเกิดที่หายไป

「……เอ๋ ? อะไรกันเนี่ย!?」

ซีน่าประหลาดใจกับฉากตรงหน้า

เปลวไฟนั้นส่องสว่างทั่วร่างของโนโซมุ ตัวเขานั้นกำลังหันหลังเผชิญหน้ากับ ลิซ่า และเคน ดั่งกระจกที่สะท้อนอยู่

และตัวตนนั้นเป็นภาพของมังกรยักษ์ที่บ้าคลั่งกำลังฉายขึ้นไปบนอากาศซ้อนทับกับร่างของโนโซมุ

「ไม่ดีแล้ว! ต้องรีบกลับ!!」

ความตึงเครียดผ่านเข้ามาในทันที ความวิตกกังวลและความหวาดผวาบีบคั้นหน้าอกของเธอ และซีน่าก็กรีดร้องออกมาก่อนที่เธอจะรู้ตัว

 

 

ชี้แจงอีกนิด

 

ถึงจะเห็นตอนแบบนี้อ่านกัน10-20นาทีต่อตอน แต่ตอนแปลจริงๆมันเยอะมากเลยนะครับ ไหนจะต้องเกลาคำเอย อะไรเอย

นิยายเรื่องนี้ ตอนหนึ่งยาวไม่ต่ำกว่า 30 หน้ากระดาษ เพราะงั้นได้วันละ 2 ตอนนี่ก็ดีแล้วครับ ขอบคุณครับ ถ้าเข้าใจ

เพราะมันยาวมากผมแปลตอนหนึ่งประมาณ 4 ชั่วโมงกว่า บางตอนล่อไป 6 ชั่วโมง ช่วงนี้ผมแปลนิยายอย่างเดียวไม่ได้เล่นเกมส์เลยสักนิด~

ขอบคุณครับที่อ่านจนถึงตอนนี้