ตอนที่ 83 พรสวรรค์ที่แข็งแกร่งสุดยอด!

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ

นี่คือพรสวรรค์ของหลิงหลาน เป็นความสามารถมหัศจรรรย์ที่ปรากฏขึ้นตอนที่พลังจิตถึงจุดขอบเขตหนึ่ง ตัวหลิงหลานเองก็ไม่รู้ว่านี่คืออะไร เธอรู้สึกแค่ว่ามันมีประโยชน์มาก ขอเพียงสามารถมองเห็นกระบวนท่าของอีกฝ่าย เธอก็สามารถมองเห็นจุดที่เปราะบางที่สุดของฝ่ายตรงข้าม

หลิงหลานไม่รู้ แต่หมายเลขหนึ่งในมิติการเรียนรู้กลับรู้ว่านี่คืออะไร เพราะเรื่องนี้นี่เอง หมายเลขหนึ่งถึงได้ปลดผนึกหมายเลขห้า อยากให้เขาอบรมสั่งสอนหลิงหลานที่เป็นปีศาจอัจฉริยะคนนี้ ช่วยไม่ได้ พรสวรรค์นี้หายากเกินไปแล้ว ต่อให้อยู่ในประเทศที่มีอารยธรรมระดับสูงของหมายเลขหนึ่ง เด็กที่สามารถครอบครองพรสวรรค์แบบนี้ก็หาได้ยากยิ่งเช่นกัน ถึงขนาดที่มีเพียงหนึ่งไม่มีสอง มันคือการรู้แจ้งเห็นจริง ซึ่งเป็นพรสวรรค์พิเศษด้านการต่อสู้ที่ล้ำค่าที่สุด มันเป็นพรสวรรค์ที่ล้ำเลิศเหมาะสมกับผู้ควบคุมหุ่นรบมากที่สุด

ความคิดหนึ่งแล่นวาบขึ้นมาในสมองของหลิงหลาน ‘โจมตีจุดอ่อน หรือว่าให้อีกฝ่ายลองหยั่งเชิงตามที่ต้องการก่อนแล้วค่อยดูกันอีกที?’

หลิงหลานทำการตัดสินใจในชั่วพริบตา เธอเลือกดูการเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้าม หลิงหลานเป็นคนที่มั่นใจในตัวเอง เชื่อว่าถึงจะให้ออกอีกสักกระบวนท่า ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงผลสุดท้ายได้ นี่ไม่ใช่การมั่นใจในตัวเองอย่างไม่ลืมหูลืมตา หากแต่เป็นยืนยันจากความแข็งแกร่งแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น ในใจเธอก็มีความอยากรู้อยากเห็นอยู่บ้างว่า กระบวนท่าต่อมาของฉินอี้คืออะไรกันแน่?

หลิงหลานที่ตัดสินใจแล้วก็ทำการตอบโต้ตามที่ฉินอี้หวังไว้ มือขวาของเธอกำหมัดทำท่าโจมตีออกมา และเผชิญหน้ากับการโจมตีของฝ่ายตรงข้าม

แววตาของฉินอี้เปล่งประกายดำมืด เขาสะบัดข้อมือทีหนึ่ง แขนของเขาก็ฉับไวราวกับงู มันบิดควงสว่านรัดไปตามแขนขวาของหลิงหลานอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็บีบแขนขวาของหลิงหลานไว้แน่น

จับเขาได้แล้ว! แววตาของฉินอี้ในยามนี้เผยร่องรอยความตื่นเต้นยินดีออกมา คาดไม่ถึงอยู่บ้างเหมือนกันว่าตัวเองสามารถทำสำเร็จได้ในกระบวนท่าเดียว

ฉินอี้เชื่อว่า ขอเพียงควบคุมหลิงหลานเอาไว้ได้ ก็เท่ากับว่าได้รับกุญแจสู่ชัยชนะ

แต่ความจริงจะเป็นแบบนี้จริงๆ เหรอ? ความตื่นเต้นยินดีในใจฉินอี้ยังไม่ทันหายไป ท่วงท่าต่อมายังไม่ทันจะออกตาม เขาก็รู้สึกได้ว่าไหล่ของตัวเองเจ็บปวดขึ้นกะทันหัน พลังมหาศาลโจมตีใส่มัน ในขณะเดียวกัน เขาก็รู้สึกได้เพียงสายตาเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นฉับพลัน หลิงหลานที่เดิมทีอยู่ในสายตาพลันกลายเป็นเพดานที่สูงเกินกว่าจะปีนป่ายของหอต่อสู้ มือที่เดิมทีจับแขนขวาของหลิงหลานไว้นั้นรู้สึกเหมือนกับจับปลาไหลที่ลื่นเกลี้ยงเกลา พริบตาเดียวก็ลื่นหลุดออกจากมือเขา…

“โครม” เสียงหนึ่งดังขึ้น ร่างกายของฉินอี้กระแทกลงกับพื้นของหอควบคุมอย่างหนักหน่วง ความเจ็บปวดแสนสาหัสบนร่างกายทำให้เขามึนงงอยู่บ้าง เขาพยายามประคองร่างกายท่อนบนให้ลุกขึ้น ก่อนจะเห็นหลิงหลานที่ยืนอยู่ตรงขอบสนามประลองสูงๆ กำลังก้มลงมองเขาด้วยใบหน้าเย็นชา….

ก้มลงมอง? ฉินอี้ได้สติขึ้นมาโดยพลันแล้วค่อยพบว่าเขาร่วงลงมาที่ด้านล่างสนามประลอง พูดอีกอย่างก็คือ เขาพ่ายแพ้ในการต่อสู้รอบนี้แล้ว กฎของการแข่งขัน เมื่อนักสู้ถูกโจมตีจนออกจากเขตของสนามประลองก็จะถูกตัดสินว่าแพ้ทันที

นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? เขาจับหลิงหลานไว้แล้วชัดๆ เห็นได้ชัดว่าชัยชนะอยู่ตรงหน้า ทำไมสุดท้ายเขาถึงถูกโจมตีจนออกนอกสนามล่ะ? การประลองรอบนี้ เขาพ่ายแพ้ได้แปลกประหลาดมากจริงๆ ฉินอี้กำหมัดต่อยกับพื้นด้วยความขุ่นเคือง ในใจรู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง

พอเห็นฉินอี้ทำหน้าบูดบึ้งไม่พอใจ อาจารย์ก็ถอนหายใจน้อยๆ ความแข็งแกร่งของฉินอี้กับหลิงหลานห่างชั้นกันมากเกินไปจริงๆ ดังนั้นฉินอี้ถึงได้ไม่รู้ว่าเขาพ่ายแพ้อยู่ในเงื้อมมือของหลิงหลานได้ยังไง

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะอธิบายข้อสงสัยให้ฉินอี้ เขาตะโกนเสียงดังอย่างเฉียบขาดว่า “รอบนี้ หลิงหลานเป็นฝ่ายชนะ เลื่อนสู่เจ็ดอันดับแรกได้สำเร็จ”

บางทีเด็กคนอื่นๆ อาจจะเห็นเหมือนอยู่ท่ามกลางเมฆหมอก แต่พวกอาจารย์ที่รับชมการต่อสู้ตรงสนามต่างมองเห็นได้ชัดเจน ตอนนั้นฉินอี้รัดแขนขวาของหลิงหลานได้สำเร็จ ตอนที่เขาเพิ่งจะจับตัวอีกฝ่ายไว้ มือของหลิงหลานที่เดิมทีกำหมัดอยู่นั้นก็พลันกางนิ้วออก ความยาวของนิ้วมือที่ยืดออกมาแตะไหล่ของฉินอี้ได้พอดี

แน่นอนว่าการสัมผัสเล็กน้อยนี้ไม่สามารถซัดฉินอี้กระเด็นออกไปได้ แต่พวกอาจารย์ต่างก็เป็นผู้แข็งแกร่งที่มีประสบการณ์มากมายและสายตาเฉียบคมผ่านศึกมานับร้อย พวกเขาเห็นว่าพริบตาที่หลิงหลานกางนิ้วมือแตะไปที่ฉินอี้ นิ้วมือก็สั่นรัวๆ หลายครั้ง นี่ทำให้พวกอาจารย์คาดเดาเทคนิคที่หลิงหลานใช้ออกมาได้อย่างรวดเร็ว นี่เป็นวิชาลับบางอย่างที่คล้ายคลึงกับหมัดหนึ่งนิ้วที่สอง มีประสิทธิภาพซ้อนทับพลัง

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากพวกอาจารย์ไม่ได้ต่อสู้กับหลิงหลานด้วยตัวเองก็เลยไม่สามารถยืนยันระดับพลังวิชาลับของหลิงหลานได้ ดังนั้นพวกเขาเลยไม่รู้ว่าหลิงหลานซ้อนทับพลังไปกี่ครั้ง แต่ว่าพละกำลังนี้ไม่น้อยแน่นอน ไม่อย่างนั้นหลิงหลานคงไม่สามารถซัดฉินอี้ออกจากสนามประลองได้ง่ายๆ

การแสดงความสามารถอันยอดเยี่ยมของหลิงหลานทำให้สายตาของพวกอาจารย์เปล่งประกายขึ้นมา พวกเขาทยอยกันผงกศีรษะ ทำหน้าตื่นเต้นยินดี มีหลายคนร้อนใจอยู่บ้าง อยากจะออกหน้ารับหลิงหลานเป็นศิษย์ที่สั่งสอนแต่เริ่มแรกตอนนี้เลย ทว่าเมื่อพวกเขาเห็นอาจารย์ที่อยู่รอบๆ ต่างส่งสายตาทั้งหมดเพ่งเล็งไปที่ตัวหลิงหลานบนสนามประลอง อาจารย์เหล่านี้ก็ได้แต่เก็บฝีเท้าลงทอดถอนใจ รู้ว่าเรื่องนี้ไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น คู่แข่งมากเกินไปแล้ว

อาจารย์ในสถาบันสามารถเลือกศิษย์ที่สั่งสอนแต่เริ่มแรกได้อย่างอิสระ จำนวนก็ไม่มีขีดจำกัด เช่นเดียวกัน นักเรียนก็มีสิทธิเลือกอาจารย์เริ่มแรกที่ตัวเองต้องการได้ เพียงแต่ว่านักเรียนสามารถเลือกอาจารย์ได้แค่คนเดียวเท่านั้น นี่ก็พูดได้ว่า ถ้าหากอาจารย์เหล่านี้อยากจะกลายเป็นอาจารย์เริ่มแรกที่ของหลิงหลาน พวกเขาก็จำเป็นต้องทำให้หลิงหลานเลือกเขาด้วยความสมัครใจ นี่เป็นเรื่องที่ยากลำบากมากอย่างไม่ต้องสงสัย อาจารย์ของสถาบันต่างก็มีข้อดีของตัวเอง ใครจะไปรู้ว่าหลิงหลานจะเลือกใคร

………..

ไม่พูดถึงความกลัดกลุ้มของฉินอี้แล้ว หลิงหลานได้ยินคำประกาศของอาจารย์ผู้ตัดสินแล้วก็ลงจากสนามประลองทันที กระบวนท่าของฉินอี้ทำให้เธอรู้สึกแปลกใหม่อยู่บ้าง เธอไม่นึกเลยว่าแขนคนจะสามารถบิดจนกลายเป็นรูปทรงหมาฮวา[1]ได้ ดูเหมือนว่าถึงแม้ทักษะทางกายภาพพื้นฐานก่อนหน้านี้ของเธอจะขยายไปจนถึงขีดจำกัดของมนุษย์ แต่อย่างน้อยที่สุดมันก็ยังนับว่าเป็นขอบเขตที่มนุษย์สามารถทำได้ ไม่เหมือนกับฉินอี้…เมื่อเห็นท่ารัดแขนของเธอราวกับงูก็ไม่ปาน หลิงหลานก็รู้สึกเสียวฟัน สูดลมหายใจเย็นยะเยือกอย่างหนักหน่วง

สมควรตาย เธอเกลียดสิ่งมีชีวิตประเภทเลื้อยที่ไม่มีขาแบบนี้ ต่อให้เธอสัมผัสมามาก ฆ่าไปมาก และกินไปมาก แต่ว่าเกลียดก็คือเกลียด ความคิดนี้ไม่สามารถกำจัดออกไปได้โดยอาศัยการเข่นฆ่าพวกมัน

หลิงหลานลงมาได้ไม่นาน อู่จย่งที่ได้อันดับสองของห้องเอก็ลงมาเช่นกัน คู่ต่อสู้ของเขาคืออันดับที่สิบสี่แต่เดิมของห้องเอ ซึ่งเป็นคนที่อ่อนแอที่สุดในหมู่พวกเขา

ความแข็งแกร่งของอู่จย่งกดฝ่ายตรงข้ามได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้อู่จย่งยังเป็นนักสู้สายความเร็วที่มีความเร็วฉับไวเป็นพิเศษ ทำให้คู่ต่อสู้ของเขาถูกดึงเข้าไปอยู่ในจังหวะของเขา สุดท้ายคู่ต่อสู้ก็ตั้งท่าไม่ทัน ไม่สามารถต้านทานกำปั้นที่อู่จย่งโจมตีมา ก็เลยถูกซัดกระเด็นออกจากสนามประลอง และถูกตัดสินว่าแพ้ทันที เนื่องจากการโจมตีการโต้กลับรวดเร็วยิ่ง ถึงแม้อู่จย่งจะลงจากสนามประลองช้ากว่าหลิงหลานเล็กน้อย แต่พวกเขาก็ใช้กระบวนท่าไปมากกว่าสี่สิบท่าแล้ว

ต่อจากนั้นนักเรียนหลายคนก็ทยอยกันลงมา ฉีหลงเป็นนักเรียนที่ประลองเลื่อนสู่ 7 อันดับแรกเสร็จเป็นคนที่สี่ของปีหนึ่งห้องเอ เมื่อเห็นฉีหลงทำหน้าตื่นเต้น หลิงหลานก็รู้ว่าฉีหลงต้องต่อสู้ได้สะใจมากแน่นอน ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ได้ดูพึงพอใจแบบนี้

“รู้สึกยังไงบ้างที่สู้กับคู่ต่อสู้ที่คล้ายคลึงกัน?” หลิงหลานอดเอ่ยถามด้วยความใคร่รู้ไม่ได้

ฉีหลงอ้าปากกว้างกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “สะใจมาก ต่อไปถ้าเบื่อๆ ฉันก็ไปหาเจ้านั่นและต่อสู้กันได้” การประลองรอบนี้ต่อสู้ได้ตื่นเต้นเร่าร้อน มีชีวิตชีวาเป็นพิเศษจริงๆ และก็ทำให้ฉีหลงแลปลดปล่อยพลังอันแรงกล้าภายในร่างกายของตัวเองออกมาได้จนหมด

หลิงหลานได้ยินคำพูดนี้ก็ยืนไว้อาลัยสวีจื้อจือในใจครู่หนึ่ง ถูกคนที่บ้าการต่อสู้มาติดพัน มองเห็นวันที่ถูกกดขี่อย่างน่าอนาถล่วงหน้าในอนาคตของสวีจื้อจือได้เลย

“นาย…อย่ามากเกินไปนัก” หลิงหลานกล่าวอย่างอ่อนแรง ในเมื่อโชคดีกลายเป็นเพื่อนร่วมห้องกัน ยังไงเธอก็ต้องกอบกู้ชะตากรรมในอนาคตของสวีจื้อจือเอาไว้

“วางใจเถอะ ลูกพี่ ฉันควบคุมตัวเองได้ ไม่ทำร้ายเขาหรอก” ฉีหลงกล่าวถึงตรงนี้ก็จ้องมองหลิงหลานอย่างเศร้าสร้อยทันที “ถ้าเกิดลูกพี่ยินดีต่อสู้กับฉัน ฉันก็จะไม่ไปหาเขา ต่อสู้กับลูกพี่ยังน่าตื่นเต้นมากกว่า”

ทุกครั้งที่เขาแลกเปลี่ยนฝีมือกับหลิงหลาน ถึงแม้ว่าเขาจะถูกทารุณ แต่ว่าหลังจากนั้นเขาก็รู้สึกตลอดว่าตัวเองแข็งแกร่งขึ้นมานิดหน่อย ดังนั้นเขาถึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้ต่อสู้กับหลิงหลานอย่างสุดก้นบึ้งหัวใจ แต่น่าเสียดายที่ช่วงเวลาก่อนหน้านี้หลิงหลานไม่ยอมลงมือเลย ทำให้เขาหดหู่ใจมาก

หลิงหลานได้ยินคำพูดของฉีหลงก็ตัวสั่นเทิ้มฉับพลัน จากนั้นก็ตอบกลับทันทีว่า “ทักษะของสวีจื้อจือไม่เลวมากๆ เป็นคู่ต่อสู้ที่ดี ฉีหลง สายตาของนายไม่เลวเลยนะ” ถ้าฉันต้องตายไม่สู้ให้คนอื่นตายสวีจื้อจือ นายก็ถวายตัวเองหน่อยละกัน! หลิงหลานทิ้งมิตรภาพเพื่อนร่วมชั้นที่มีอยู่น้อยนิดของตัวเองออกไปนอกโลกที่ไกลแสนไกลโดยไม่ลังเล

ให้ตายเถอะ ถ้าเกิดถูกเจ้าเด็กฉีหลงพัวพันขึ้นมาจริงๆ เธอก็ต้องใช้ชีวิตอยู่ในโลกต่อสู้ทั้งกลางวันและกลางคืนน่ะสิ นี่มันรับไม่ไหวแล้วจริงๆ นะ

คำพูดของหลิงหลานทำให้ฉีหลงพยักหน้ารับ เขาเองก็คิดว่าที่เขาเลือกมาก็ไม่เลวมากๆ คนที่ชอบต่อสู้อย่างเขาถูกหลิงหลานทารุณนั้นก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ต่อสู้กับลั่วล่างและหานจี้จวินก็รู้สึกว่าลงมืออย่างรุนแรงได้ยาก ดังนั้นเขาเลยต่อสู้อย่างถึงอกถึงใจไม่พอ ตอนนี้เขาเจอสวีจื้อจือ เพื่อนร่วมชั้นที่ต่อสู้อย่างเถรตรงบ้าคลั่งเหมือนกัน ต่อสู้แล้วก็ไม่ต้องกังวลอะไร อารมณ์เขาก็เลยดีเป็นพิเศษ

ฉีหลงวางแผนไว้แล้ว ถ้าเกิดลูกพี่หลานมีเวลาว่าง เขาก็จะไปหาลูกพี่หลานและต่อสู้ (ทรมานตัวเอง) ถ้าเกิดลูกพี่หลานไม่ว่าง เขาก็จะไปหาสวีจื้อจือต่อสู้ฆ่าเวลา (ทรมานคนอื่น) พอสวีจื้อจือหมดแรงแล้ว เขาค่อยไปต่อสู้กับลั่วล่างและหานจี้จวิน….

ช่วยไม่ได้นี่นา ใครใช้ให้พละกำลังของฉีหลงยอดเยี่ยมผิดปกติมากเกินไปจริงๆ ถึงได้จำเป็นต้องใช้การต่อสู้มาเผาผลาญพลังงานของเขาที่เยอะเกินไป

“ตอนนี้เรี่ยวแรงไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม” หลิงหลานกังวลอยู่บ้างว่าฉีหลงจะอดใจไม่ไหวเล่นมากเกินไปหรือเปล่า

ฉีหลงได้ยินคำพูดนี้ก็รีบส่ายหน้า เขาแบกรับโทษฐานนี้ไม่ได้หรอกนะ เขาโบกแขนของตัวเองอย่างสุดแรง บอกหลิงหลานว่าพลังกายของเขายังเต็มเปี่ยม

ถึงแม้ว่าภายนอกฉีหลงจะดูเหมือนไม่แยแสและคิดน้อยอยู่บ้าง แต่เขาไม่ใช่คนที่มุทะลุอะไรแน่นอน ตรงกันข้ามเขาเป็นคนประเภทคมในฝัก ในใจเขามีขีดจำกัดล่างอยู่ รู้ว่าเล่นก็ส่วนเล่น แต่ต้องมีขีดจำกัด การเลื่อนจาก 13 อันดับแรกสู่ 7 อันดับแรกไม่ใช่จุดสิ้นสุด การประลองจาก 7 อันดับแรกสู่ 4 อันดับแรกในรอบต่อไปก็จะตามมาติดๆ ถ้าหากเขาเล่นมากเกินไปจริงๆ เขาก็จะใช้พลังกายไปเกือบหมด ถ้าเขาพ่ายแพ้ขึ้นมาจริงๆ ต่อให้เขาให้อภัยตัวเองได้ เขาเชื่อว่าลูกพี่หลิงหลานของเขาจะไม่มีทางปล่อยเขาไปเหมือนกัน หลิงหลานจะต้องลงมือฆ่าเขาด้วยตัวเองแน่นอน

ช่วงเวลาที่คบหากันมาครึ่งปี ทำให้ฉีหลงรู้ดีว่าหลักการของหลิงหลานคืออะไร หลิงหลานมีหลักการเพียงข้อเดียว นั่นก็คือห้ามแพ้ในศึกที่สามารถเอาชนะได้เป็นอันขาด ถ้าหากไม่แน่ใจว่าจะแพ้หรือชนะก็ต้องคิดหาวิธีเอาชนะ ถ้าเกิดรู้ว่าแพ้แน่นอน หลบได้ก็หลบ หลบไม่ได้….ถ้างั้นก็สร้างเงื่อนไขทุกอย่างที่สามารถเอาชนะได้ขึ้นมา และเอาชนะมันซะ

หรือพูดอีกอย่างก็คือ หลิงหลานเป็นคนที่เกลียดชิงชังความพ่ายแพ้ นี่เป็นโรคย้ำคิดย้ำทำอย่างหนึ่งที่หลิงหลานนำมาจากชาติก่อน เนื่องจากชาติที่แล้วหลิงหลานพ่ายแพ้จนต้องจ่ายด้วยชีวิต ดังนั้นหลิงหลานจะแพ้ไม่ได้

ในฐานะที่ฉีหลงเป็นลูกน้องของหลิงหลาน ก็ยิ่งไม่สามารถพูดว่าแพ้ได้ง่ายๆ ยิ่งไม่สามารถตกม้าตายในช่วงเวลาสำคัญได้ นอกเสียจากฉีหลงไม่อยากยอมรับหลิงหลานเป็นลูกพี่แล้ว…..

………………………………………………

[1] ขนมของจีน เป็นแป้งที่นำมาบิดเป็นเกลียวแล้วนำไปทอด