บทที่ 86 ไฟแรง

บทที่ 86 ไฟแรง

ช่วย?

ก็เหมือนว่าจะเป็นไปได้!

เยี่ยเฟยเฟยนึกย้อนว่าก่อนหน้านี้อู๋ฝานก็ช่วยตนเองเอาไว้หลายอย่าง ไม่ว่าจะไปส่งเธอที่มหาวิทยาลัย ทำอาหารให้ และเรื่องที่สำคัญที่สุดคือ การที่ทำให้เธอได้มีโอกาสใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยด้วยตัวเธอเอง เขาไม่ได้ปากโป้งอะไรออกไป หากพูดถึงเรื่องนี้ ก็ถือว่าอู๋ฝานไม่เลวเลยทีเดียว

และปัจจุบัน อู๋ฝานกำลังยุ่ง ลูกค้าหลายคนกำลังรายล้อม แม้ว่ามีคนคอยช่วยอยู่ใกล้เคียงแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกได้ว่าเขาค่อนข้างยุ่งอยู่ดี

เพียงแต่ว่า หากเธอช่วยจริง อย่างนั้นเสี่ยวอวิ๋นและเสี่ยวหรูจะไม่เกิดรู้สึกว่าเธอกับอู๋ฝานมีสัมพันธ์อะไรต่อกันยิ่งขึ้นหรอกหรือ? หากไม่แล้วคำอธิบายก่อนหน้าจะไม่สูญเปล่าหรืออย่างไร?

แม้ว่าคำอธิบายทั้งหลายก่อนหน้านี้ จะดูไม่เคยมีผลอะไรเลยก็ตาม

ขณะที่เยี่ยเฟยเฟยกำลังลังเลว่าควรก้าวเข้าไปช่วยดีหรือไม่ อีกหนึ่งเรือนร่างอันงดงามก็ปรากฏตัว เป็นเหตุให้ฝูงชนรอบด้านต่างอุทานกันออกมา

“ถังอวี่เฟยก็มาหรือนี่?!”

“ไม่นึกเลย ว่าอาจารย์อู๋จะดึงดูดมาได้กระทั่งเทพธิดาถัง!”

“ได้ยินมาว่าถังอวี่เฟยลงเรียนวิชาว่ายน้ำ เหมือนว่าอาจารย์อู๋จะเป็นอาจารย์ของเธอ”

“คิดอยากได้เห็นเทพธิดาถังในชุดว่ายน้ำเสียจริง ต้องยอดเยี่ยมไม่ผิดแน่”

“ถ้าหากว่าได้เป็นแฟนของถังอวี่เฟยละก็ ต่อให้อายุสองปีฉันก็ยอม!”

บุคคลที่ทำให้เกิดความอึกทึกฮือฮาขึ้นไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นถังอวี่เฟย!

ทันทีที่ถังอวี่เฟยปรากฏตัว เธอจึงดึงดูดสายตามากมายเข้าหา การสวมใส่เสื้อยืดสีขาวตัวยาว กับกางเกงยีนขาสั้น มันเป็นการเผยส่วนโค้งเว้าของเรือนร่างเธอออกมาอย่างเด่นชัด และขาเรียวยาวขาวงาม มันเปรียบดังไฟกระจ่างท่ามกลางราตรีอันมืดมิด จึงยิ่งดึงดูดสายตาของผู้คน

“อาจารย์อู๋ ไม่นึกเลยว่าจะมาค้าขายอยู๋ที่นี่ ถ้าหากทราบ ฉันคงมาให้เร็วกว่านี้แล้วค่ะ” ถังอวี่เฟยพูดขึ้นมา

ถังอวี่เฟยพูดไปตามปกติ ทว่าแม้เป็นคำพูดปกติของเธอ ก็มีความเย้ายวนแอบแฝงอยู่ภายใน ภายหลังเธอพูดออกมา จึงให้ความรู้สึกว่ามันไม่ใช่คำพูดปกติ กล่าวได้ว่าถังอวี่เฟยเป็นคนที่ไม่จำเป็นต้องประดิษฐ์ประดอย ก็ทำให้ทุกคำพูดและการกระทำดูเป็นเหมือนการยั่วยวนได้

“มาตอนนี้ก็ยังไม่สายไป” อู๋ฝานตอบรับ

สำหรับเด็กสาวคนนี้ อู๋ฝานจำเป็นต้องระมัดระวัง เพราะเธองดงามอย่างล้นเหลือ ทั้งยังรุกอย่างเหลือเชื่อ แม้ว่าบางครั้ง เธอจะไม่ได้เป็นฝ่ายรุกไล่ก็ตาม

“อาจารย์อู๋ยุ่งขนาดนี้ ให้ฉันช่วยนะคะ” ถังอวี่เฟยพูดขึ้นมา

“เฟยเฟย ดูนั่นสิ ถ้าเธอยังไม่เข้าไป จะมีคนเข้าไปแทนแล้วนะ” เสี่ยวอวิ๋นตบแขนเยี่ยเฟยเฟยพร้อมกล่าวบอกเสียงเบา “ทำไมเธอยังไม่คิดร้อนใจอีกล่ะเนี่ย?”

“ใครอยากไปก็ไป ฉันไม่ไป” เยี่ยเฟยเฟยผู้ซึ่งเมื่อครู่ยืนลังเล พบเห็นเรื่องราวเปลี่ยนไป จึงละทิ้งความคิดจะเข้าไปช่วยเหลือ

ที่ตรงนี้มีนักศึกษามากมาย หากว่าข่าวที่ว่าเธอและถังอวี่เฟยเข้าช่วยเหลืออู๋ฝานเผยแพร่ไปทั่วมหาวิทยาลัย ก็ไม่ทราบแล้วว่าจะมีคนเข้าใจเธอผิดไปกี่คน รูมเมทเข้าใจผิดไปแล้ว อธิบายอยู่นานก็ไม่อาจนำพา นับประสาอะไรกับคนอื่น

“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร” อู๋ฝานเร่งรีบปฏิเสธความหวังดีของถังอวี่เฟย “จะให้ลูกศิษย์มาช่วยเรื่องแบบนี้ได้ยังไงกัน”

อู๋ฝานเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยเจียงโจว ขณะที่ถังอวี่เฟยเป็นนักศึกษา และที่ตรงนี้ก็มีนักศึกษาอีกมากมายรับชมเรื่องราว หากว่ามีเรื่องราวใดเผยแพร่ออกไป หากว่ามีผิวหน้าที่หนาก็คงไม่เป็นไร แต่ทว่าถังอวี่เฟยเป็นผู้หญิง ชื่อเสียงของเธออาจได้รับผลกระทบไม่ดีเอาได้

“อาจารย์อู๋ พวกเราต่างก็เป็นคนคุ้นเคยต่อกัน อย่าทำเหมือนเป็นคนนอกสิคะ” ถังอวี่เฟยตอบรับ ราวกับเธอไม่ได้ตระหนักแม้แต่น้อย ว่ามันอาจส่งผลกระทบต่อตัวเธอเองได้

“ไม่เป็นไรจริง ๆ ครับ” อู๋ฝานปฏิเสธอย่างสุภาพ ทว่าในใจก็ครุ่นคิด ว่าเมื่อไรกันที่เขาและเธอเป็นคนคุ้นเคยต่อกัน? เพียงเพิ่งเคยได้พบเจอในคาบเรียนว่ายน้ำวันนี้เป็นครั้งแรก ก็เท่านั้นเอง

ราวกับกลัวว่าถังอวี่เฟยจะยืนกราน การขยับตัวเคลื่อนไหวของอู๋ฝานจึงเร็วขึ้นไปอีกสองระดับ

พบเห็นดังนี้ ถังอวี่เฟยจึงมองกลุ่มคนก่อนจะพูดขึ้นมา “ทุกคนเรียงแถวนะคะ ทีละคนค่ะ อย่าให้อาจารย์อู๋เหนื่อยจนเกินไปนะคะ”

เห็นได้ว่า คำพูดของถังอวี่เฟยชวนดึงดูด เหล่านักศึกษาจากมหาวิทยาลัยเจียงโจวไม่พูดอะไรตอบ แต่ภายหลังรับฟังคำของเธอแล้ว พวกเขาจึงตั้งแถวกันเป็นระเบียบยิ่งขึ้น ท้ายที่สุด หน้าร้านแผงลอยของอู๋ฝานจึงเกิดแถวเป็นระเบียบเรียบร้อย โดยมีเพียงถังอวี่เฟยและพวกเยี่ยเฟยเฟยที่ยังยืนอยู่ด้านหน้าร้าน

ถังอวี่เฟยมองกลุ่มของเยี่ยเฟยเฟย สุดท้ายจึงเอ่ยคำขึ้น “พวกเธอทางด้านนี้ อยากทานบาร์บีคิวเหมือนกันใช่ไหม? ถ้าใช่ ขอให้ไปต่อแถวด้วยนะคะ”

“พวกเราเป็นเพื่อนของอาจารย์อู๋” เสี่ยวอวิ๋นอดไม่ได้ที่จะต้องพูดขึ้น “และนี่ก็เป็นแฟนของอาจารย์อู๋ด้วย”

พบเห็นสีหน้างงงันและตื่นตกใจของอู๋ฝาน เยี่ยเฟยเฟยถึงกับหน้าแดงอับอาย จนต้องดึงเสี่ยวอวิ๋นไปพูด “หยุดพูดจาอะไรไร้สาระได้แล้ว”

“ฉันไม่ได้พูดไร้สาระนะ เรื่องจริงทั้งนั้น” เสี่ยวอวิ๋นตอบกลับ

“เธอพูดจาไปเรื่อยค่ะ อย่าเชื่อนะคะ” เยี่ยเฟยเฟยหน้าแดงก่ำ โดยเฉพาะภายใต้สายตาของอู๋ฝาน มันทำเธอรู้สึกคิดอยากจะแทรกแผ่นดินหลบหนีให้รู้แล้วรู้รอด

เยี่ยเฟยเฟยรู้สึกว่าตนเองไม่ควรอยู่ที่นี่ต่อ ดังนั้นจึงลากตัวเสี่ยวอวิ๋นและเสี่ยวหรูก้าวเดินออกไป

“เฟยเฟย เธอเป็นอะไรเนี่ย? ทำไมจะกลับแล้วล่ะ”

“ใช่แล้ว บาร์บีคิวของฉันยังไม่ได้เลย ฉันยังอยากกินบาร์บีคิวของอาจารย์อู๋อยู่นะ”

“หยุดพูดจาไร้สาระ แล้วไปกันได้แล้ว”

พวกเยี่ยเฟยเฟยทั้งสามคนเร่งรีบเดินไกลห่างออกไป ขณะที่ถังอวี่เฟยมองอู๋ฝานด้วยท่าทีหยอกเย้า “อาจารย์รักกับศิษย์ หุหุ ไม่นึกเลยว่าอาจารย์อู๋จะเป็นคนแบบนี้ ฉันเองก็เป็นศิษย์คนหนึ่ง พอจะเก็บเอาฉันไปพิจารณาบ้างได้ไหมคะ? ไม่สิ พวกเราเองก็มีสัมพันธ์เช่นอาจารย์กับศิษย์เหมือนกันได้ใช่ไหมคะ?”

“แค่กแค่ก” อู๋ฝานต้องกระแอมไอเสียงแหบออกมา ไม่เพียงแค่ตกใจ แต่เขายังรู้สึกเขินอาย “นักศึกษาเสี่ยวอวิ๋นก็เพียงพูดเล่นไปเรื่อยครับ”

“จริงเหรอคะ?” ถังอวี่เฟยยิ่งเผยดวงตาราวกับพบเจอเรื่องสนุก

“นักศึกษาถัง อยากทานอะไรครับ?” อู๋ฝานเร่งรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

ถังอวี่เฟยพบเห็นว่าถูกเปลี่ยนหัวข้อสนทนา จึงเพียงมองอู๋ฝาน เป็นสายตาที่ทรงเสน่ห์ดึงดูด อู๋ฝานแทบคิดอยากตะโกนออกมาเสียให้ได้ เป็นเขาไม่นึกคิดว่าถังอวี่เฟย ผู้ซึ่งยังคงเป็นนักเรียนนักศึกษา จะมีเสน่ห์ถึงขนาดนี้ได้

นับเป็นโชคดีที่ถังอวี่เฟยไม่คิดเข้าพัวพันกับเรื่องราวจนเกินไป ภายหลังได้ทานอะไรแล้วเธอจึงกลับไป

เพียงแต่ว่า เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับอู๋ฝานก็ยังคงดำเนินต่อไป โดยเฉพาะกับสองโฉมงาม ทั้งถังอวี่เฟยและเยี่ยเฟยเฟย ไม่ว่าใครต่างก็ชวนดึงดูดค้นหา จึงเป็นเหตุให้นักศึกษามหาวิทยาลัยเจียงโจว ยิ่งมีความสงสัยต่อร้านของอู๋ฝาน สุดท้ายจึงยิ่งเป็นการทำให้กิจการของอู๋ฝานเติบโตไม่หยุด

จนกระทั่งถึงเวลาปิดหอพักของมหาวิทยาลัย เรื่องราวทางฝั่งอู๋ฝานจึงค่อยสงบลง ทว่าก็ยังมีอีกหลายคนทานอยู่ อย่างไรแล้วลูกค้าสัญจรที่นี่ก็ไม่ได้มีเพียงแต่นักศึกษาที่อยู่ในมหาวิทยาลัย แต่ยังมีนักเรียนนักศึกษาที่อยู่ละแวกใกล้เคียง รวมถึงลูกค้าทั่วไปที่แวะเวียนมา

“เถ้าแก่ ขอเนื้อสิบไม้ ปีกไก่ห้าไม้ ต้นหอมสิบไม้… แล้วก็เบียร์ด้วยหนึ่งลัง จำได้ใช่ไหม ขอด่วนด้วยนะ”

ขณะใกล้เวลาเที่ยงคืน ที่ร้านของอู๋ฝานยังคงมีกลุ่มวัยรุ่นแวะเวียนเข้ามา ขณะเดินเข้าใกล้ร้าน ศีรษะนั้นส่ายโงนเงนไปมา ขณะยืนนิ่ง ขาก็สั่นไปมา ทั้งในปากยังคาบไม้จิ้มฟันเอาไว้ ในตอนที่มองคนอื่น พวกเขาจะเอียงศีรษะ และมองอีกฝ่ายโดยใช้หางตา

คนเหล่านี้แทบจะมีคำว่า ‘คนเลว’ เขียนเอาไว้กลางหน้าผากก็ไม่ปาน