บทที่ 69 เจ้าต้องรับผิดชอบข้า

สำรับมนตราของชายาอ๋อง

หลังจากพูดจบนางก็วิ่งไปยังสระน้ำสำหรับชมทิวทัศน์และมองหาตำแหน่งคร่าว ๆ ของปิ่นปักผมสีทอง

อย่างไรก็ตามมีดอกบัวถูกปลูกไว้ในสระเพื่อปรับแต่งภูมิทัศน์ ก้นสระจึงเต็มไปด้วยตะกอน และเมื่อยืนอยู่บนฝั่งจึงไม่อาจมองเห็นได้ว่ามันตกลงไปตรงจุดไหน

ฉินปู้เข่อถอดรองเท้าอย่างเร่งรีบและลงไปในสระน้ำเพื่อสำรวจก้นสระด้วยมือเปล่า

ปิ่นปักผมสีทองนี้ถูกพบเมื่อไม่กี่วันก่อน และหลังจากที่นางเจอมันนางก็ขอให้ซวงหวนช่วยปักปิ่นให้นางด้วยความตั้งใจ แต่เกิดอะไรขึ้นกับหมี่โม่หรู่!

“ปิ่นปักผมนี้สำคัญกับเจ้านักหรือ?” หมี่โม่หรู่เกือบกัดฟันพูดเมื่อเขาเห็นว่านางไปค้นหาปิ่นปักผมโดยไม่คำนึงถึงภาพลักษณ์ของนางเลย

“มันสำคัญมาก!” ฉินปู้เข่อยืนขึ้นและจ้องมองเขาอย่างโกรธเคือง “เหตุใดท่านถึงเอาใจยากถึงเพียงนี้! เหตุใดท่านถึงทิ้งของของหม่อมฉัน! ท่านเคยคิดถึงความรู้สึกของผู้อื่นบ้างหรือไม่!”

ในขณะนี้ฉินปู้เข่อโกรธจัด ปิ่นปักผมสีทองนี้ดูเรียบง่ายและไร้ราคา และไม่อาจเข้าตาราชวงศ์และชนชั้นสูงเหล่านี้ได้เลย

แต่ในความทรงจำของนาง มันคือสิ่งที่มาจากอนุหลัวที่ใช้ชีวิตอย่างมัธยัสถ์มาหลายปี ดูเหมือนว่าอนุหลัวจะไม่ได้ซื้อเสื้อผ้าใหม่มาเป็นเวลาห้าหรือหกปีแล้วเมื่อให้ของขวัญชิ้นนี้แก่นาง

“ขึ้นมาหาข้า” หมี่โม่หรู่พยายามสงบลมหายใจ เขาพยายามลดน้ำเสียงของตนให้นุ่มนวลที่สุด

ไม่กี่วันก่อนตอนที่ฉินปู้เข่อมาที่ตำหนัก หมี่โม่หรู่ไม่เคยมองนางเต็มตาเสียด้วยซ้ำ เขาจึงไม่ได้สังเกตเครื่องประดับใด ๆ ของนางเลย เขาเห็นเพียงว่าอ๋องจั่วเสียน เสด็จอาที่เก้าของเขาเล่นปิ่นปักผมสีทองอันนี้

ตัวนางเองก็เคยบอกว่าส่วนใหญ่แล้วนางชอบของกำนัลเพราะคนให้ ฉะนั้นนางจึงให้ความสำคัญกับปิ่นปักผมสีทองอันนี้มากเพราะหมี่เฉินอี้เป็นคนให้อย่างนั้นหรือ?

วันนั้นที่นางถูกลักพาตัวไป มีอะไรเกิดอะไรขึ้นอีกบ้างหลังจากนางพบกับหมี่เฉินอี้?

“หากหาไม่เจอหม่อมฉันจะไม่ขึ้นไป!” ฉินปู้เข่อค่อย ๆ เดินลุยโคลนและจุ่มแขนลงไปในน้ำโดยไม่คำนึงถึงบาดแผลที่แขนของนาง

หมี่โม่หรู่จ้องมองคนที่ยืนอยู่ในน้ำ ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยรังสีอำมหิตที่แผ่ซ่านออกมาอย่างเงียบ ๆ เขาพูดเน้นทีละคำว่า “ข้าสั่งให้เจ้าขึ้นมา”

“ฮึ ท่านทำได้เพียงสั่งหรือ หากท่านมีความสามารถก็ฆ่าหม่อมฉันเลยสิ!” ฉินปู้เข่อกำลังสำรวจโคลนอยู่อย่างจริงจังเอ่ยโดยไม่เงยหน้า

“มานี่ จับพระชายาขึ้นมาจากสระแล้ว…” หมี่โม่หรู่แสยะยิ้มร้ายกาจ “เติมน้ำในสระให้เต็ม”

“ท่านกล้า!” ก่อนที่อู๋เยว่จะก้าวไปข้างหน้า ฉินปู้เข่อก็ปีนขึ้นมาจากสระและจ้องจะเตะหมี่โม่หรู่ด้วยความเร็วสูง

อู๋เหินก้าวไปข้างหน้าเพื่อจะจับเท้าของฉินปู้เข่อด้วยมือทั้งสองข้าง แต่เขาคาดไม่ถึงว่าลูกเตะของนางจะทรงพลังถึงเพียงนี้ อู๋เหินเซถอยหลังไปหลายก้าวก่อนที่จะหยุดลง

ในขณะเดียวกัน เพื่อป้องกันไม่ให้พระชายาเตะรถเข็นได้อีก หมี่โม่หรู่จึงให้ผู้คนมาล้อมตัวเองเพื่อดูแลความปลอดภัยของเขา

ฉินปู้เข่อหยิบ ‘สายไหมทะลุกำแพง’ ออกจากระบบอย่างรวดเร็วแล้วใส่มันเข้าไปในปากก่อนจะยืนเท้าเอวอย่างมั่นคง หายใจเข้าลึก ๆ แล้วตะโกนว่า “ไปให้พ้นข้า!”

คลื่นเสียงขนาดมหึมากระทบผู้คนตรงหน้านาง ทุกคนในที่นั้นปิดหูด้วยความเจ็บปวด องครักษ์สองคนที่อยู่ใกล้ฉินปู้เข่อมากที่สุดตกตะลึงกับเลือดที่ไหลออกจากหูของพวกเขา

นี่คือพลังของ ‘สายไหมทะลุกำแพง’ หลังจากกินเข้าไปแล้วจะสามารถขยายเสียงได้เป็นร้อยเท่า หากใช้อย่างถูกต้องก็สามารถสวมบทบาทเป็นขุนพลเฮฮาได้อย่างเต็มที่

หมี่โม่หรู่และหมี่ฉงต่างก็ใจสั่น ตับและปอดสั่นสะท้านเพราะเสียงนั้น นอกจากนี้ยังมีอาการเจ็บปวดในหู และหูอื้ออีกด้วย

“สตรีเช่นข้าตกหลุมรักเจ้าตั้งแต่แรกเห็น ตอนที่ตาของข้าบอดเพราะขี้หมา บัดนี้เจ้าจูบข้าและฉวยโอกาสใช้ประโยชน์จากความรู้สึกของข้า บัดนี้ข้าไม่สนใจเจ้าอีกต่อไปแล้ว!” อารมณ์ของฉินปู้เข่อยังคงเต็มไปด้วยความโกรธ

เสียงพูดประโยคนี้ดังขึ้นทำให้องครักษ์ที่เพิ่งลุกขึ้นล้มลงกระแทกพื้นอีกครั้ง แม้แต่น้ำในสระสำหรับชมทิวทัศน์ก็ยังเกิดระลอกคลื่นจากการสั่นสะเทือน และดูเหมือนว่าเครื่องเคลือบในห้องโถงที่อยู่ไม่ไกลจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ ด้วย

ในชั่วพริบตา หินก้อนเล็ก ๆ ก็กระทบคอของฉินปู้เข่อและนางก็ไม่อาจส่งเสียงได้ในทันที

หมี่โม่หรู่ขมวดคิ้วและส่ายหัว เขาใช้เวลานานกว่าจะดึงตัวเองกลับมาสู่ความเป็นจริงจากอาการหูอื้อเพราะเสียงอันดังลั่น

เขาค่อย ๆ ขยับเก้าอี้รถเข็นไปตรงหน้าฉินปู้เข่อ ดวงตาของเขามีรอยยิ้มอ่อน “ข้าไม่สนหรอกว่าอะไรทำให้เจ้าตาบอด เพราะในเมื่อเจ้าบอกว่าเจ้าชอบข้าก็จงชอบต่อไป เมื่อเจ้าได้จุมพิตกับข้าไปแล้ว เจ้าต้องรับผิดชอบข้า”

หลังจากพูดจบเขาก็แตะคอของฉินปู้เข่ออย่างนุ่มนวลแล้วพูดต่อช้า ๆ ว่า “ข้าจะให้คนค้นหาของในสระน้ำให้ได้ และข้าหวังว่าพระชายาจะคืนมันให้กับเจ้าของเดิม ข้าอนุญาตให้การแลกเปลี่ยนส่วนตัวเช่นนี้เกิดขึ้นได้เพียงครั้งนี้เท่านั้น”

ฉินปู้เข่อหยุดนิ่งอยู่กับที่ นางเริ่มหน้ามืด

“ข้าแก้สกัดจุดของเจ้าแล้ว เจ้าไม่ตอบแสดงว่าเจ้าไม่ต้องการหรือ?” หมี่โม่หรู่หรี่ตาลง “พระชายา ข้าแก้แล้วนะ”

ฉินปู้เข่ออ้าปาก ใบหน้าของนางแดงก่ำและไม่อาจเปล่งเสียงออกไปได้

เวรเอ๊ย! ‘สายไหมทะลุกำแพง’ นี้มีผลข้างเคียง!

บัดนี้นางเป็นใบ้และจะไม่อาจพูดได้ไปอีกสามวัน

“ตอบข้าสิ!” หมี่โม่หรู่รู้สึกว่าความอดทนของเขากำลังจะหมดลง เดิมทีเขาไม่ได้ต้องการจะช่วยนางหาปิ่นปักผมสีทอง แต่หลังจากได้ยินสิ่งที่นางพูด เขาก็รู้สึกใจอ่อนโดยไม่รู้ตัวและต้องการให้โอกาสนาง

ฉินปู้เข่อหน้ามืด นางหมุนตัวไปมาแล้วใช้มือจับคอของตนไว้

นางอยากคุยด้วย! แต่บัดนี้ตอบไม่ได้!

นางทำอะไรได้บ้าง! นางสิ้นหวังแล้ว!

นางทำได้เพียงสะบัดแขนเสื้อและเตรียมจะกลับสวนเฉินอวี้ด้วยความสิ้นหวัง

“ข้าสั่งให้เจ้าตอบข้า เจ้าต้องรับผิดชอบข้า เจ้าไม่เต็มใจหรือ?!” หมี่โม่หรู่คว้าข้อมือของนางอย่างรวดเร็วแล้วออกแรงบีบอย่างรุนแรง

เขาบังเอิญบีบบาดแผลของนาง

แผลไฟไหม้ที่เพิ่งฟื้นตัวนั้นเพิ่งจะจุ่มลงในน้ำ แต่คราวนี้กลับถูกบีบอย่างแรงอีกครั้ง และลำคอของนางก็ไม่อาจส่งเสียงได้ จึงไม่มีทางที่จะบรรเทาความเจ็บปวดได้ด้วยการตะโกน ฉินปู้เข่อรู้สึกเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส

นางต้องการหลุดพ้นจากมือแข็งแกร่งราวกับคีมเหล็กของหมี่โม่หรู่ แต่นางเกรงว่าบาดแผลจะบาดเจ็บรุนแรงขึ้น ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงกระทืบเท้าอยู่กับที่ และความเจ็บปวดนั้นทุกข์ทรมานจนทำให้น้ำตาไหลออกมา

หมี่โม่หรู่กลับมารู้สึกตัวและปล่อยมือ ฉินปู้เข่อจับแขนที่บาดเจ็บทันทีและสะบัดแขนไปมาเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดในขณะร้องไห้เงียบ ๆ

“เจ้า…เจ้าพูดไม่ได้หรือ?” หมี่โม่หรู่ถามอย่างไม่มั่นใจขณะมองดูท่าทางวุ่นวายของสตรีตรงหน้าเขา

ฉินปู้เข่อเงยหน้าขึ้นด้วยความหวาดกลัว นางพยักหน้าก่อนจะส่ายหัวอย่างรุนแรง จากนั้นเดินไปยังสวนเฉินอวี้ด้วยน้ำตา และเขาก็ไม่ได้ยินเสียงคร่ำครวญจากนางเลยแม้แต่นิดเดียว

หมี่โม่หรู่จ้องมองแผ่นหลังของนางอย่างครุ่นคิด เขาคิดว่านางเป็นใบ้เพราะการสกัดจุดของเขา แต่เขามั่นใจว่าเขาได้แก้สกัดจุดนางไปแล้วและนางก็ต้องสามารถพูดได้อย่างสมบูรณ์

นอกจากนี้โดยปกติแล้ว การสกัดจุดให้เป็นใบ้นั้นแม้จะทำให้ไม่สามารถพูดได้ แต่หากนางขยับลิ้นและลำคออย่างหนัก ก็ยังสามารถส่งเสียง ‘โอ๊ย’ ได้ แต่ตอนนั้นนางไม่ส่งเสียงเลยและเงียบราวกับเป็นใบ้

ราวกับว่ามีบางอย่างแวบเข้ามาในใจของเขา หมี่โม่หรู่รู้สึกว่าสถานการณ์เช่นนี้ดูเหมือนจะเพิ่งเกิดขึ้นไม่นานมานี้

……………………………………………………………………………