ชิงอวี่พลันรู้สึกได้ถึงสายตาเป็นปฏิปักษ์ของพี่สาวที่เพิ่งได้พบกันเป็นครั้งแรก นางสงสัยนัก ไม่รู้ว่ามีเรื่องอันใดต่อกันหรือไม่

เยี่ยนหนิงลั่วระงับแววทะมึนในนัยน์ตา ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา “ข้าไม่ได้กลับมานานหลายปี เกรงว่าน้องชิงอวี่คงจะจำพี่สาวคนนี้ไม่ได้แล้วใช่หรือไม่? เด็กผู้หญิงโตแล้วเปลี่ยนแปลงไปมากเสียจริง ข้าจำได้ว่าแต่ก่อนเจ้าตัวเล็กผอมบาง ตอนนี้กลับโตมางดงามเช่นนี้”

คำพูดนางแฝงความนัยไว้ หากแต่ฟังแล้วไม่รู้สึกผิดปกติอันใด

ทว่าผู้มีปัญญาย่อมรู้ว่าประโยคนี้หวังโจมตีชิงอวี่

นัยน์ตาชิงเยี่ยหลีพลันมีประกายวาบ ท่าทางราวกับต้องการพูดบางอย่าง หากแต่ถูกเด็กสาวด้านข้างห้ามไว้ เขายกย่องชื่นชมนางมาโดยตลอด ย่อมไม่ยอมให้ใครดูถูกนางแม้เพียงนิด

แม้เยี่ยนหนิงลั่วจะพูดกับชิงอวี่ หากแต่สายตากลับเคลื่อนมามองชิงเยี่ยหลี ชิงอวี่มีชีวิตอยู่มาถึงสองชาติ ผ่านประสบการณ์ชีวิตมาหลายสิบปี นางย่อมไม่ใช่คนโง่ นางจะไม่รู้ถึงความหมายในดวงตาเยี่ยนหนิงลั่วได้อย่างไร

คิดดังนั้นแล้วชิงอวี่ก็เอียงคอเล็กน้อย ส่งสายตาเป็นนัยให้คนข้างตัวรับรู้ ชิงเยี่ยหลีไม่เข้าใจสายตาที่นางส่งมา นัยน์ตาสีเขียวแลดูสับสน

เป็นเพราะใบของหน้าชิงเยี่ยหลีหลังเปลี่ยนร่างไม่อาจเผยให้ผู้คนเห็นได้ง่าย ๆ ดังนั้นเขาจึงสวมหน้ากากกลับดังเดิมก่อนที่ทุกคนจะเดินเข้ามา เหลือเพียงนัยน์ตาสีเขียวมีเสน่ห์ที่ส่องประกายสับสนให้เห็นเท่านั้น ไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางจึงมองเขาด้วยสายตาเช่นนั้น

ชิงอวี่ไม่ได้อธิบายอะไร เพียงแต่ส่งยิ้มมองเยี่ยนหนิงลั่ว “ขอบคุณพี่ใหญ่ที่ชม แต่หากเทียบกับโฉมสะคราญแห่งชิงหลานแล้ว ข้ายังห่างไกลนัก”

คำตอบของนางทั้งนอบน้อมถ่อมตน หากแต่ใบหน้าเย้ายวนมีเสน่ห์ของเด็กสาวก็ไม่ใช่ใบหน้าที่อาจมองผ่านได้ง่ายๆเลย

มองตามตรงแล้ว เยี่ยนหนิงลั่วเป็นโฉมงามโดยแท้จริง ความงามของนางเป็นความงามโดดเด่น ยามมองนางจะรู้สึกเหมือนดั่งเงยหน้ามองบัวหิมะที่อยู่บนเขาสูงจนไม่อาจเอื้อมถึง ให้ความรู้สึกไม่อาจเข้าใกล้ได้ ส่วนชิงอวี่นั้นงดงามมีเสน่ห์ดั่งดอกอิงซู่ (1) สะกดให้คนมองหลงใหลไม่อาจถอนสายตา แม้รู้ดีว่าเป็นบุปผางามอาบพิษก็อดอยากเข้าใกล้ไม่ได้

เปรียบเทียบเช่นนี้ย่อมเห็นได้ชัดว่าใครคือผู้ชนะ

สตรีเช่นนี้จะเป็นคนขี้กลัวอ่อนแออย่างที่เยี่ยนหนิงลั่วกล่าวงั้นหรือ? กระทั่งคำพูดคำจาทั้งยังการเลือกใช้คำของนางยังแสดงให้เห็นว่านางทั้งฉลาดและมีไหวพริบ

ดังนั้นนัยน์ตาของเยี่ยนหนิงลั่วจึงยิ่งซับซ้อนขึ้น

เยี่ยนชิงอวี่ผู้นี้เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน หน้าตายังคงเหมือนเดิมหากแต่นางกลับไม่ใช่เด็กสาวที่ลังเลปวกเปียกอีกต่อไป ทั้งยังมั่นใจและงดงามสะดุดตานัก

นางเปลี่ยนเป็นเด็กสาวที่มั่นใจในตนเองขนาดนี้แล้วหรือ?

เยี่ยนหนิงลั่วกำมือแน่นอยู่ในแขนเสื้อ หากแต่รอยยิ้มยังคงเดิม “อย่ายืนคุยกันตรงนี้อีกเลย ไม่เช่นนั้นยามท่านพ่อกลับมาถึงจะตำหนิข้าได้ว่าไม่เป็นเจ้าบ้านที่ดี” นางหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “น้องชิงอวี่ก็มาร่วมโต๊ะกับพวกเราที่ห้องโถงใหญ่สิ!”

อย่างไรนางก็ยังมียศองค์หญิง ทั้งยังมีความสามารถเข้าตาเจ้าสำนักละอองหมอกที่มีผู้มีพลังสูงส่งอยู่มากมาย ดังนั้นเยี่ยนหนิงลั่วความสงบใจเย็นและความสง่างามของนางไม่อาจดูถูกได้ แม้ในใจจะคับข้องวุ่นวายอย่างไร หากแต่ก็ยังกดความรู้สึกไม่เผยสีหน้าใดออกมาได้

เยี่ยนหนิงลั่ว ชิงอวี่ทำเพียงส่งยิ้มสุภาพก่อนตอบคำเชิญของเยี่ยนหนิงลั่ว “เช่นนั้นคงไม่ได้ เดิมทีข้าตั้งใจจะออกไปข้างนอก แต่….. ในเมื่อหมดธุระแล้ว ทั้งเสี่ยวเป่ยยังไม่อาจเคลื่อนไหวไปไหนมาไหนเองได้มากนัก ข้าควรกลับไปดูแลเขา”

ในเวลาเช่นนี้ใช้ชิงเป่ยเป็นข้ออ้างได้ดีที่สุด

ได้ยินดังนั้นชิงเยี่ยหลีก็เหลือบมองเด็กสาวข้างกาย ก่อนจะส่งสายตาที่เข้าใจกันเพียงสองคนไปมา จากนั้นเขาจึงมองนางเดินจากไป ชะงักค้างอยู่เช่นนั้นเป็นเวลานาน

จนถึงตอนนี้ เรื่องที่เขากลับมาพบกับนางอีกครั้งยังดูไม่น่าเป็นไปได้

เยี่ยนหนิงลั่วจ้องมองนัยน์ตาโหยหาของชายหนุ่ม ในอกพลันรู้สึกอึดอัดไม่สบายตัวยิ่งนัก ตอนที่ทุกคนกลับมายังห้องโถงใหญ่ บรรยากาศสนุกสนานก่อนหน้าหายไปจนสิ้น ต่างคนต่างหมดอารมณ์กินอาหารหน้าตาน่ารับประทานเหล่านี้

ยามเห็นว่าบรรยากาศกดดันหนักหน่วงนัก ไป๋หลี่จีหรานก็ไม่อาจห้ามตนเอง ถามขึ้นมาในที่สุด “เด็กสาวคนเมื่อครู่….. คือคนที่เจ้าตามหางั้นหรือ?”

ชิงเยี่ยหลีมองหน้าเขาก่อนตอบเพียงหนึ่งคำ “อืม” ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

“แต่นางดูต่างจากคนในม้วนภาพมากเลยไม่ใช่หรือ?” ไป๋หลี่จีหรานถามด้วยความสงสัยนัก

“อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้” ชิงเยี่ยหลีไม่อธิบายต่อ

“ข้าอดสงสัยไม่ได้น้องสาวข้าคนนี้ปกติอยู่แต่ในเรือนไม่ค่อยออกไปไหน ชางไห่อ๋อง ไปรู้จักกับนางได้อย่างไรกัน”

เยี่ยนหนิงลั่วไม่อาจทำใจเชื่อได้ว่าบุรุษที่นางหลงรักมานานจะชื่นชอบคนที่นางเกลียดเช่นนี้ได้ ฟังจากบทสนทนาของคนทั้งคู่เมื่อก่อนหน้า ชิงเยี่ยหลีตามหานางมาโดยตลอด ตามหานางมานานมากแล้ว เรื่องนี้….. มีเรื่องใดที่นางไม่รู้กันแน่?

คำถามนี้ไม่เพียงมีเยี่ยนหนิงลั่วที่สงสัยใคร่รู้ หากแต่เป็นคำถามที่ทุกคนอยากรู้คำตอบนัก

ชายหนุ่มนั้นเย็นชาไร้อารมณ์กับคนทุกคน ยกเว้นเพียงชิงอวี่ “เป็นเรื่องส่วนตัวของอ๋องเช่นข้า ไม่อาจบอกกล่าวได้”

เกรงว่าเรื่องที่เยี่ยนหนิงลั่วชื่นชอบชิงเยี่ยหลีจะมีเพียงอวี้เซียวหนิงที่รู้ นางเป็นเพื่อนสนิทที่เติบโตมาด้วยกัน ไม่มีเรื่องใดที่ไม่คุยหรือบอกกล่าวแก่กัน ดังนั้นเมื่อชิงเยี่ยหลีตอบประโยคเย็นชาเช่นนั้นออกมา อวี้เซียวหนิงก็ส่งสายตาเป็นห่วงให้เยี่ยนหนิงลั่ว เห็นว่านัยน์ตานางพลันทะมึนลง มือที่วางอยู่บนโต๊ะกำแน่น

ใบหน้าเยียบเย็นเช่นนี้ไป๋หลี่จีหรานเคยเห็นมานักต่อนัก ครั้งนี้เขาเห็นย่อมไม่คิดอันใด ทำเพียงเอ่ยขึ้นน้ำเสียงชั่วร้ายเท่านั้น “ข้าเพิ่งจะเคยเห็นเจ้าร้อนรุ่มเช่นนี้! ข้าว่าข้าเห็นเจ้ากอดกับนางกลมเลยนี่? ฮ่า ๆ…..”

ชิงเยี่ยหลีมองไป๋หลี่จีหรานด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ต่อไปจนเขายอมหุบปาก

“…..”

ให้ตาย! เหตุใดต้องทำหน้าตาน่ากลัวเช่นนั้นด้วยเล่า? ข้าก็แค่ล้อเล่นเท่านั้น จำเป็นต้องมองด้วยสายตาอยากสังหารคนเช่นนั้นด้วยหรือ?

ชิงเยี่ยหลีไม่สนใจสายตาเศร้าโศกเสียใจที่มองตอบกลับมา เพียงแต่เอ่ยขึ้นเสียงเบา “ซินเหยียน บอกทหารให้เตรียมตัวกลับ อีกสองวันเราจะเดินทางกลับหลินยวน”

พูดจบเยว่ซินเหยียนและคนอื่น ๆ ก็ชะงักไป “เหตุใดต้องรีบร้อน? ฮ่องเต้ชิงหลานเชิญพวกเราให้อยู่ที่นี่เจ็ดวัน อยู่เพียงสามวันก็กลับไม่เสียมารยาทหรือ?”

“ถูกต้อง เจ้าเจอคนที่ตามหาจึงร้อนใจอยากพานางกลับหลินยวนหรืออย่างไร?” ไป๋หลี่จีหรานถามด้วยความประหลาดใจ

กระทั่งตอนอยู่แคว้นหลินยวน เจ้าหมอยังไม่เคยก้าวเท้าออกจากแคว้นมานานหลายปี ดังนั้นข่าวลือจึงยิ่งแพร่สะพัดไปหลากหลายนัก กระทั่งตัวเขาเองยังได้เห็นชายหนุ่มครั้งสุดท้ายก็เมื่อหลายปีก่อน หากไม่ใช่เพราะเทศกาลหนึ่งร้อยนักบุญในครั้งนี้ เกรงว่าก็คงจะยังไม่ได้พบหน้ากับคนผู้นี้อีกหลายปีนัก

“อืม ข้าอยากพานางกลับหลินยวน” ชิงเยี่ยหลีเอ่ย

เยี่ยนหนิงลั่วแทบจะคงรอยยิ้มสุภาพบนหน้าไว้ไม่ได้อีกต่อไป มือนางกำแน่น พยายามกดความโกรธที่พุ่งพล่านในอก “ชางไห่อ๋องทำเช่นนั้นไม่เหมาะสมไม่ใช่หรือ? เยี่ยนชิงอวี่เป็นสมาชิกในจวนหย่งอันอ๋อง ท่านนำตัวนางไปไม่ได้!”

อวี้เซียวหนิงที่อยู่ด้านข้างแอบดึงเยี่ยนหนิงลั่วที่เกือบเสียการควบคุมอารมณ์ไว้ จากนั้นเปิดปากเอ่ย “ถูกต้อง ไม่ว่าชางไห่อ๋องจะสูงส่งเหนือคนทุกคนเว้นคนผู้เดียวในแคว้นหลินยวน แต่ก็ไม่อาจนำตัวคนของแคว้นอื่นไปได้ตามใจชอบ เรื่องนี้เกี่ยวพันกับความสัมพันธ์ระหว่างแคว้น ไม่อาจทำตามที่ท่านเห็นสมควรเพียงผู้เดียวได้”

“ข้าพูดไปแล้วว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของอ๋องผู้นี้ ผู้ใดก็ไม่มีสิทธิ์ยุ่งเกี่ยว” บรรยากาศรอบตัวชิงเยี่ยหลีพลันเย็นยะเยือกลง ร่างสูงลุกขึ้นยืน นัยน์ตาสีเขียวไร้อารมณ์ “นางไม่ใช่สกุลเยี่ยน มีนามว่าชิงอวี่ ทั้งยังไม่ได้มาจากแคว้นชิงหลาน นางคือคนจากโลกของข้าเท่านั้น ไม่ว่าใครก็ไม่อาจขัดขวางข้าได้!”

น้ำเสียงเยือกเย็นและคำพูดรุนแรงแผ่กำจายพลังอำนาจ ส่งผลให้ทุกคนสะดุ้งไปในพลัน

ชิงเยี่ยหลีไม่รั้งรอ หันหลังเดินออกไปทันที เขายังไม่ลืมสายตาที่ชิงอวี่มองเขาก่อนนางจากไป

“เขาจะพานางไปจริง ๆ หรือ?”

ผ่านไปครู่หนึ่ง อวี้เซียวหนิงถึงเอ่ยถามขึ้น

เยว่ซินเหยียนหน้าตายังสับสนเล็กน้อยอยู่ หากแต่ก็เอ่ยตอบ “พี่เยี่ยหลีไม่เคยเอ่ยขอสิ่งใด มีเพียงเรื่องเดียวที่ไม่หยุดมือคือเรื่องตามหาสตรีในม้วนภาพนั่น ซึ่งเขาตามหานางมาหลายปีแล้ว เขากล่าวว่านางเป็นคนสำคัญมาก ตอนแรกข้าก็คิด….. แม้นางไม่ใช่คนรักของเขา เช่นนั้นก็คงจะเป็นคนสนิทของเขาเป็นแน่ สิ่งที่เขาตัดสินใจแล้วไม่มีใครอาจเปลี่ยนแปลง”

“แต่นางเป็นชาวชิงหลาน หย่งอันอ๋องไม่มีทางเห็นด้วยกับเขาแน่!”

อวี้เซียวหนิงไม่อยากให้เพื่อนรักตนต้องเศร้าโศกเสียใจ แม้ชางไห่อ๋องจะไม่ได้ชอบนาง หากแต่ก็ทำเกินกว่าเหตุ

ไป๋หลี่จีหรานได้ยินดังนั้นก็หัวเราะเสียงดัง จากนั้นยักไหล่ตนอย่างช่วยไม่ได้ ยกพัดขึ้นพัดตนด้วยท่าทางหล่อเหลา “เช่นนั้นแสดงว่าเจ้าไม่ได้เข้าใจชิงเยี่ยหลีดี ฝีมือของเขาสูงส่งถึงเพียงนั้น ผู้ที่ยอมติดตามเขารุ่งเรือง ผู้ต่อต้านถูกสังหารสิ้น หากฮ่องเต้ชิงหลานและหย่งอันอ๋องไม่เห็นด้วย เช่นนั้นเขาต้องประกาศสงครามระหว่างแคว้นด้วยความโกรธเกรี้ยวเป็นแน่ เขาอาจจะมียศเป็นเพียงอ๋อง หากแต่ในมือเขากุมอำนาจทางการทหารของทั้งแคว้นหลินยวน ฮ่องเต้หลินยวนเชื่อมั่นในตัวเขาเต็มที่ หากชิงเยี่ยหลีต้องการสงครามย่อมไม่ห้ามแน่”

พูดถึงตรงนี้ไป๋หลี่จีหรานก็หยุดพัก ก่อนจะส่งสายตามองทุกคนอย่างมีความหมาย “หากเมื่อเจ็ดปีก่อนไม่ทะลวงด่านข้ามขั้นจนต้องหลับใหลไปนาน เกรงว่าแคว้นชิงหลานในวันนี้คงกลายเป็นแคว้นแพ้สงคราม!”

จนกระทั่งถึงวันนี้ ยังไม่อาจมีผู้ใดได้สัมผัสพลังที่แท้จริงของเขา

ในฐานะดวงดาวแปลกประหลาดที่ร่วงหล่นจากสรวงสวรรค์ กระทั่งท่านโหราจารย์ที่ล่วงรู้ถึงความลึกลับของดวงดาวยังไม่อาจทำนายชะตาเขาได้ บอกได้เพียงว่าชะตาของคนผู้นี้อยู่เหนือความคาดหมายนัก

“หือ? ท่านพี่ ท่านกลับมาเร็วเช่นนี้เลย? ทำธุระเสร็จแล้วหรือ?” ชิงเป่ยกำลังอ่านตำราแพทย์และกำลังทำความเข้าใจประโยคกำกวมเข้าใจยากประโยคหนึ่งในตำรา หากแต่สายตากลับเหลือบเห็นชิงอวี่ที่กลับเข้ามาหลังจากออกไปได้ไม่นาน ดังนั้นจึงถามขึ้นอย่างประหลาดใจ

ชิงอวี่เห็นสีหน้าดีใจของเขาแล้วคลี่ยิ้มออกมา “ข้าไม่ทันได้ออกไป เพียงเดินเล่นนิดหน่อยแล้วก็กลับมา ”

“เหตุใดจึงไม่ออกไป?”

“เป็นเพราะข้าไปได้ครึ่งทางธุระก็จัดการตนเองไปแล้ว!” ชิงอวี่พูดเสียงกลั้วหัวเราะ “เจ้าอ่านอะไรอยู่? มีจุดไหนที่ไม่เข้าใจหรือ?

“อืม ตรงหญ้าโคมเงิน มันมีพิษร้ายแรง หากแต่ตรงนี้กลับบอกว่าสามารถฟื้นฟูร่างกายอ่อนแอให้กลับมามีพลังชีวิตได้ หากแต่คนที่มีร่างกายอ่อนแอ ร่างกายย่อมมีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่นนั้นแล้วพิษไม่สังหารเขาหรือ?” ชิงเป่ยถาม ไม่ว่าคิดอย่างไรก็ไม่อาจทำความเข้าใจได้

“ตอนนี้เจ้าอาจยังไม่รู้ ถึงหญ้าชนิดนี้จะเป็นหญ้าพิษ ร่างกายอ่อนแอเปราะบางของคนไข้มีอาการป่วยกัดกินอยู่แล้ว ซึ่งก็จะแผ่พิษชนิดหนึ่งออกมาเช่นกัน ฉะนั้นยามพิษสองชนิดนี้ผสานเข้าด้วยกันจะต้านกันเองจนพิษสลาย”

“เช่นนี้นี่เอง” ชิงเป่ยพยักหน้าเข้าใจ “ศาสตร์แพทย์และพิษช่างน่าประหลาด…..”

ชิงเป่ยถอนหายใจด้วยความประหลาดใจ ฉับพลันร่างกายก็แข็งเกร็ง ดวงตาเบิกกว้าง ใบหน้าแสดงสีหน้าไม่อยากเชื่อออกมาก่อนจะร้องขึ้นด้วยความตกตะลึง “ช….. ชางไห่อ๋อง?!”

เชิงอรรถ

ดอกอิงซู่ หรือ ดอกป๊อปปี้ คนไทยเรียกดอกฝิ่น