แน่นอนว่าหวังซีเชื่อมั่นในดุลพินิจของหวังเฉิน แต่นี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่นางรู้สึกว่าควรค่าที่จะลงทุนกับเฉินลั่ว
นางกล่าว พี่ใหญ่ ท่านปู่มักจะพูดกับพวกเราบ่อยๆ ว่า เรื่องอะไรที่มีด้านดี ก็ย่อมมีด้านที่ไม่ดีด้วย พวกเราไม่อาจดูแต่ด้านที่ดี โดยไม่คำนึงถึงด้านที่แย่ได้ ไม่ว่าเรื่องอะไรล้วนต้องมองกลับไปกลับมาด้วย…
…สถานะของเฉินลั่วล่อแหลม เขาสนิทสนมกับพวกองค์ชาย ง่ายที่จะถูกดึงเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการแย่งชิงราชบัลลังก์ มิใช่เรื่องดีสักเท่าไรจริงๆ แต่อีกนัยหนึ่ง เพราะเขากับเหล่าองค์ชายมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องขององค์ชายทั้งหมด ขอเพียงเขาไม่สนับสนุนองค์ชายพระองค์ไหนแย่งชิงบัลลังก์โดยการลอบปลงพระชนม์องค์ชายพระองค์อื่น เขาก็ไม่มีทางสูญเสียอำนาจและอิทธิพลอย่างแน่นอน…
…หากเขาคิดเช่นเดียวกับพวกเรา รู้สึกว่าด้วยสถานะของเขานั้นไม่ว่าองค์ชายพระองค์ไหนได้ขึ้นครองราชย์เขาก็ได้ประโยชน์ทั้งสิ้น ก่อนจะมีการกำหนดฮ่องเต้พระองค์ใหม่ เขาจึงสนใจแต่ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มความสามารถเล่า?…
…ข้าดูแล้วเฉินลั่วผู้นั้นไม่เหมือนคนเลอะเลือน เหตุผลที่เข้าใจง่ายขนาดนี้ แม้แต่พวกเรายังรู้ ไม่มีทางที่เขาจะไม่รู้
นางพยายามโน้มน้าวพี่ชายใหญ่ของตัวเองอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ข้ารับปากเขาไปแล้วว่าจะช่วยหาส่วนผสมของผงธูปหอมนั่นให้เขา แทนที่จะคาดเดาอยู่ตรงนี้ มิสู้ใช้โอกาสนี้ไปผูกสัมพันธ์กับเฉินลั่ว ดูว่าเขาคิดอย่างไร แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะสานสัมพันธ์กับเขาต่อหรือไม่ก็ยังไม่สาย!
ทำไมหวังเฉินจะไม่รู้ แต่เขาไม่อยากให้น้องสาวต้องลำบาก
เขาเป็นพี่ชาย มีหน้าที่ปกป้องน้องชายน้องสาว
การสานสัมพันธ์กับผู้ทรงอิทธิพลและเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ เหล่านี้ล้วนเป็นหน้าที่ของเขา
นั่วนั่ว เจ้ากล่าวได้ถูกต้อง เขาไม่อยากแม้แต่จะทำให้น้องสาวรู้สึกผิดหวัง ไม่ว่าน้องสาวพูดอะไร เขามักจะเห็นพ้องด้วยก่อน แล้วค่อยพูดความคิดเห็นของตน แต่เรื่องพวกนี้ล้วนเป็นหน้าที่ของคนเป็นพี่ชายอย่างข้า เจ้าใช้ชีวิตให้สงบและมีความสุข อยากทำอะไรก็ทำสิ่งนั้นเถอะ เรื่องผงธูปหอมก็ดี เรื่องเฉินลั่วก็ดี ส่งมาให้พี่ชายทั้งหมดก็พอ เมื่อไรที่มีเรื่องต้องการให้นั่วนั่วของพวกเราช่วยเหลือ ข้าย่อมไม่เกรงใจเจ้าอย่างแน่นอน
ถึงจะกล่าวเช่นนี้ ทว่าที่ผ่านมาพี่ชายกลับไม่เคยให้นางช่วยเหลืออะไรมาก่อน
นี่ก็เป็นเพราะเห็นว่านางยังเป็นเด็กน้อยอยู่
หวังซีซาบซึ้งใจยิ่งนัก แต่ที่มากไปกว่านั้นคือความรู้สึกผิด
พี่ชายบ้านอื่น อายุสามสิบยังดูแลตัวเองอย่างดีจนคล้ายอายุเพียงยี่สิบ แต่พี่ชายของนางนั้น ลุกขึ้นมายืนด้วยลำแข้งในวัยสามสิบได้ไม่กี่ปี หางตาล้วนมีร่องรอยเหี่ยวย่นให้เห็นเด่นชัดแล้ว
ถึงแม้เช่นนี้จะดูมีเกียรติผ่าเผยกว่า มั่นคงกว่า ดูทรงอิทธิพลและเหมือนผู้สืบทอดของตระกูลใหญ่มากกว่าก็ตาม ทว่าก็ยิ่งมองออกว่าหลายปีมานี้เขาต้องเหน็ดเหนื่อยมากเพียงใด
เงินทองที่นางใช้จ่ายอย่างสะดวกสบายในทุกวันนั้นล้วนเป็นพี่ชายที่หามาอย่างยากลำบาก
พี่ชายของนางเหน็ดเหนื่อยจนอยู่ในสภาพเช่นนี้!
หวังซีคิดแล้วให้รู้สึกปวดแปลบใจ มองพี่ชายด้วยน้ำตาคลอหน่วย กล่าวว่า แต่ข้าเองก็อยากช่วยเหลือพี่ชายนี่นา! ตอนเด็กท่านบอกข้ากับพี่รองมิใช่หรือว่า พี่น้องต้องสมัครสมานร่วมใจ ความสามัคคีแหลมคมพอตัดทองคำให้ขาดได้ เหตุใดพอพวกข้าโตแล้ว ท่านก็กลับคำพูด…
…ข้ากับพี่รองไม่เคยสนใจอะไรเลยตลอดทั้งปี นอกจากกินอิ่มเล่นสนุกแล้ว ก็ทำแต่เรื่องที่ตัวเองชื่นชอบ แต่พี่ใหญ่นั้น หนึ่งปีสามร้อยหกสิบห้าวัน มีเวลาอยู่บ้านสักหนึ่งเดือนก็ดีแค่ไหนแล้ว พี่สะใภ้นั้นไม่ต้องพูดถึง หลานชายทั้งสองคนแทบจะไม่รู้จักท่านแล้ว…
…ที่ข้ากับพี่รองใช้ชีวิตอย่างมีความสุขความสบายได้ขนาดนี้ ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะมีพี่ใหญ่คอยสนับสนุนช่วยเหลือพวกข้า…
…บัดนี้พวกข้าล้วนค่อยๆ เติบโตขึ้นแล้ว พวกข้าเองก็อยากทำอะไรที่ทำได้ ช่วยเหลือการงานของพี่ใหญ่บ้าง…
…พี่ใหญ่ ครั้งนี้ท่านให้ข้าช่วยท่านเถิดนะเจ้าคะ!…
…ข้าไม่อยากให้พี่ชายต้องเหน็ดเหนื่อยขนาดนั้น
หวังซีมองหวังเฉินอย่างคาดหวัง ในดวงตาคล้ายมีดาราดวงน้อยกำลังเปล่งประกายระยิบระยับอยู่
หัวใจของหวังเฉินแทบจะละลายแล้ว
ทำการค้า เดินทางไปทั่วทุกหนทุกแห่ง ยุ่งอยู่ข้างนอกตลอดทั้งปี ตรากตรำทำงานหนักก็ลำบากจริงๆ เหน็ดเหนื่อยก็เหน็ดเหนื่อยมากอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ทำให้น้องชายน้องสาวจดจำอยู่ในใจ รับรู้ และซาบซึ้งใจได้ เขารู้สึกว่าความทุกข์ยากและความเหน็ดเหนื่อยทั้งหมดนั้นคุ้มค่าแล้วจริงๆ
มิใช่ว่าท่านพ่อมิได้ให้ทางเลือกแก่ข้า หวังเฉินตบมือของน้องสาวยิ้มๆ อย่างอิ่มเอมใจ กล่าวเสียงอบอุ่นว่า ข้าชอบทำการค้า แล้วก็ชอบเดินทางไปทั่วทุกหนแห่ง ไม่ได้รู้สึกเป็นทุกข์ เจ้ากับน้องรองไม่ต้องรู้สึกผิดต่อข้า
เขาเรียนหนังสือจนถึงระดับซิ่วไฉแล้ว แต่เมื่อเทียบกับการรับราชการ เขาชอบการรับช่วงต่อดูแลกิจการของตระกูลมากกว่า
เพียงแต่ว่าการค้านั้นเมื่อทำไปถึงระดับหนึ่งแล้ว ในบ้านไม่มีบุตรหลานรับราชการเลยก็ไม่ได้เหมือนกัน หลายปีมานี้บรรดาลูกพี่ลูกน้องชายต่างก็ประสบความสำเร็จทยอยกันออกไปรับราชการแล้ว เพียงแต่ว่าตำแหน่งไม่ค่อยสูงเท่าไรนัก ก่อนหน้านี้เขาเห็นน้องรองเฉลียวฉลาด มีพรสวรรค์ด้านการเรียนเป็นพิเศษ ยังกังวลว่าน้องรองจะไม่อยากเรียนหนังสือ เขาต้องไปคัดสรรคนที่ออกไปรับราชการจากครอบครัวญาติสายอื่นมาแล้วเสียอีก
คิดไม่ถึงว่าน้องรองจะชอบเรียนหนังสือมากกว่าทำการค้า
นี่เป็นผลลัพธ์ที่ทุกคนต่างพึงพอใจ
ส่วนหวังซี หวังเฉินหวังให้นางได้แต่งงานกับคนที่นางชอบสักคนมากกว่า และมีชีวิตอย่างเป็นสุขภายใต้การปกป้องดูแลของพี่ชายทั้งสองคนไปตลอดชีวิต
เขากล่าว เจ้าได้แต่งงานกับสามีที่เจ้าปรารถนา ใช้ชีวิตกับสามีอย่างให้เกียรติซึ่งกันและกันได้ ก็เป็นการตอบแทนข้าที่ดีที่สุดแล้ว ส่วนเรื่องอื่น มีพี่ชายช่วยจัดการให้เจ้า เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลใจ
หวังซียิ้มร่า
ผู้ใหญ่ในบ้านล้วนคาดหวังเช่นนี้กันทั้งนั้น ความปรารถนาตั้งแต่เด็กของนางก็คือการได้แต่งงานกับคนที่ชอบเช่นกัน
นี่ก็ไม่ขัดแย้งกันนี่นา! นางมิได้นั่งลงข้างพี่ชาย แต่วิ่งไปด้านหลังนวดบ่าให้เขาอีกครั้ง ท่านดู ข้าค้นพบการค้าเส้นไหมป่าด้วยมิใช่หรือ เห็นได้ชัดว่าข้าก็ยังมีสมองอยู่บ้าง
นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว หวังเฉินไม่รั้งรอที่จะกล่าวชมน้องสาวเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ว่าไม่ยอมเอ่ยปากเรื่องจะผูกสัมพันธ์กับเฉินลั่ว
จากมุมมองของเขา หวังซีได้ช่วยเหลือกิจการของตระกูลโดยบังเอิญ ถือเป็นเรื่องให้เล่นสนุกก็พอแล้ว ถ้าให้มาศึกษาสิ่งนี้อย่างเอาจริงเอาจัง กระทั่งให้ออกหน้าไปดูสีหน้าของผู้คน พูดเรื่องที่ไม่เต็มใจ กระทำสิ่งที่ขัดกับความต้องการเหล่านั้นเพื่อการค้าของตระกูล นั่นไม่เหมือนกันอย่างสิ้นเชิงแล้ว
นอกจากนี้เรื่องของเฉินลั่วนั้น เขายังมีความกังวลอื่นอยู่ด้วย
ปฏิเสธหมอหลวงของสำนักหมอหลวงที่ถวายการรักษามาหลายชั่วอายุคนแล้วมาหาท่านหมอเฝิงให้ไปถวายการรักษาฮ่องเต้ ไปหาคนที่วัดต้าเจวี๋ยให้ช่วยแยกแยะส่วนผสมของผงธูปหอม ยังมีเรื่องคุณสมบัติพิเศษของยางกำยานอีก…ล้วนทำให้หวังเฉินรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดา น้ำในนี้ช่างลึกนัก
ไม่ระมัดระวังเพียงนิดเดียว อาจทำให้หวังซีเผชิญกับอันตรายโดยไม่รู้ตัวได้
เขาจึงยิ่งรับปากไม่ได้
หวังซีคิดเพียงว่าพี่ชายกลัวตนจะได้รับความลำบาก ยืนกรานไม่ให้นางยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการผูกสัมพันธ์กับผู้อื่นในจิงเฉิงของครอบครัว
นางก็เลยยิ่งอยากช่วยเหลือพี่ชายมากขึ้น
หวังเฉินเห็นนางจับเรื่องนี้ไว้แน่นไม่ยอมปล่อย จึงคุยเรื่องผงธูปหอมกับนาง หมายจะเบี่ยงเบนความสนใจของนาง เจ้าบอกว่าอยากหาคนมาช่วยแยกแยะส่วนผสมของผงธูปหอมให้เฉินลั่วมิใช่หรือ เจ้ามีแผนการอย่างไร เรื่องถัดจากนี้ส่งต่อให้ท่านหมอเฝิงดีหรือไม่ เขาไม่เพียงเชี่ยวชาญเรื่องทำเครื่องหอมเท่านั้น ความรู้เรื่องยาก็มีมากเช่นกัน จัดการธุระให้ใครก็ระมัดระวังเอาใจใส่ จะต้องช่วยเฉินลั่วได้อย่างแน่นอน
คำพูดของหวังเฉินกลับทำให้หวังซีสะดุดใจ คิดอะไรขึ้นมาได้อย่างชาญฉลาด กล่าวว่า เรื่องผงธูปหอมยังคงให้ข้าเป็นคนจัดการดีหรือไม่ เนื่องจากเรื่องนี้ข้าเป็นคนรับมา หากไม่มีเหตุผลที่ดีพอ จู่ๆ ข้าก็ไม่สนใจอย่างกะทันหัน ผู้อื่นจะคิดอย่างไร…
…ไม่แน่เฉินลั่วอาจคิดว่าพวกเรากำลังบ่ายเบี่ยงเขาอยู่ก็เป็นได้!…
…เรื่องของข้าผู้อื่นยังเก็บไปใส่ใจ เรื่องที่ข้ารับปากผู้อื่นแล้วกลับทำไม่ได้ นี่คงไม่ดีแล้ว!…
…เมื่อครู่ข้าเองก็ขบคิดเรื่องนี้อย่างละเอียดแล้ว…
…ข้าเป็นบุตรสาว แม้นตระกูลของพวกเราจะเคยมีเรื่องที่กูไหน่ไนเป็นคนดูแลครอบครัวมาก่อน แต่คนทั่วไปนั้น บุตรสาวถือเป็นแขก เมื่อเติบโตแล้วต้องแต่งงานกับผู้อื่น ไม่มีเหตุผลให้สอดมือเข้าไปยุ่งเรื่องของตระกูลเดิม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องใหญ่อย่างการผูกสัมพันธ์กับผู้ทรงอิทธิพลประเภทนี้…
…หากอนาคตเฉินลั่วเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการแย่งชิงราชบัลลังก์แล้วเขาเลือกถูกฝั่ง นั่นยิ่งไม่มีอะไรให้ต้องพูด อิทธิพลของตระกูลพวกเราในจิงเฉิงต้องเพิ่มขึ้นอีกระดับเป็นแน่ อย่างน้อยก็รับประกันได้ว่าตระกูลของพวกเราคงอยู่อย่างปลอดภัยไปได้อีกสามสิบปี…
…แต่ถ้าเขาเลือกผิด ก็ไม่มีอะไรต้องหวาดกลัว อย่างมากข้าก็หลบเลี่ยงปัญหาโดยการแต่งงานออกไปเสีย…
…บุตรสาวแต่งงานกับผู้อื่นก็ไม่มีความเกี่ยวข้องกับตระกูลเดิมแล้ว ยึดทรัพย์ก็ยึดไปไม่ถึงตระกูลของสามี นอกจากนี้ข้าก็แค่สนิทสนมกับเฉินลั่วเล็กน้อยเท่านั้น…
…หากมีคนคิดหาประโยชน์จากเรื่องนี้จับตาดูไม่ยอมปล่อยจริงๆ อย่างมากตระกูลของพวกเราก็สร้างข้อกล่าวหาโคมลอยครั้งหนึ่ง บอกว่าเพราะไม่อยากให้คนเข้าใจผิดคิดว่าตระกูลหวังกับเฉินลั่วมีความสัมพันธ์อะไรกัน ถึงได้ให้ข้าแต่งงานออกไป…
…ไม่แน่ว่าอาจประจบฮ่องเต้พระองค์ใหม่ได้ด้วย
ยิ่งคิดหวังซีก็ยิ่งรู้สึกว่าเช่นนี้เป็นไปได้
นางกล่าวอย่างกระตือรือร้น พี่ใหญ่ท่านวางใจเถิด ข้าจะไม่อวดเก่ง หากเห็นว่าสถานการณ์ไม่ถูกต้อง ข้าจะรีบวางมือทันที คำที่ท่านบอกข้ามาตั้งแต่เด็กข้าล้วนจดจำเอาไว้ในใจแล้ว อะไรก็ไม่สำคัญเท่าชีวิตของตัวเอง เงินหมดค่อยหาใหม่ก็ได้ แต่ชีวิตเมื่อหมดไป ทิ้งเงินไว้กองใหญ่ อาจเป็นการทิ้งไว้ให้คนที่ตัวเองไม่ชอบได้ใช้ก็เป็นได้ มิสู้หาทางใช้ให้หมดด้วยตัวเองดีกว่า!
หวังเฉินฟังแล้วหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ กล่าวว่า นี่มันหลักการผิดเพี้ยนอะไรกัน! เรื่องของเฉินลั่ว ข้าจะคิดดูอีกที อย่างที่เจ้ากล่าวมา พวกเราไม่อาจผิดคำพูด พวกเราจะช่วยจัดการเรื่องผงธูปหอมให้เขาก่อนก็แล้วกัน
นี่เป็นถ้อยคำที่พี่ชายใหญ่ของนางมักจะใช้เพื่อประวิงเวลาออกไปก่อน หวังซีไม่เชื่อ!
นางยังอยากโน้มน้าวพี่ชายใหญ่ของนางต่อ แต่ท่านหมอเฝิงที่มองพวกเขาสองพี่น้องโต้เถียงกันเจ้าประโยคหนึ่งข้าประโยคหนึ่งอยู่ด้านข้างกลับกระแอมไอเบาๆ ครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นอย่างกะทันหันว่า เจ้าใหญ่ ข้าคิดว่าที่อาซีกล่าวมามีเหตุผล!
สองพี่น้องตะลึงงัน
แม้นท่านหมอเฝิงกับท่านปู่ของหวังซีจะเป็นสหายสนิทกัน ทว่าเขาวางตัวเป็นแขกบ้านแขกเมืองมาโดยตลอด นอกจากเรื่องยาและการรักษาแล้ว ก็ไม่เคยยื่นมือเข้ามายุ่งเรื่องอื่นๆ ของตระกูลหวัง
การแสดงความคิดเห็นของตัวเองออกมาจนทำให้คนรู้สึกประหลาดใจเช่นนี้นับว่าเป็นครั้งแรก
หวังเฉินอดเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจไม่ได้
ท่านหมอเฝิงกล่าว เจ้าใหญ่ ข้ารู้ว่าเจ้ารักน้องชายน้องสาว เจ้าเองก็เป็นพี่ใหญ่ที่ดีมากผู้หนึ่ง แต่การรักมิได้หมายความว่าเจ้าต้องตัดสินใจแทนพวกเขาทุกเรื่องและช่วยเหลือพวกเขาทุกอย่าง หากเป็นเช่นนั้น พวกเขาจะแตกต่างอะไรกับดอกไม้ในเรือนกระจกเหล่านั้น?…
…ครั้นพานพบกับลมหนาวหรือสายฝน เจ้ามากันลมกันฝนให้พวกเขาไม่ทัน แล้วพวกเขาจะทำอย่างไร
ท่านหมอเฝิง! หวังเฉินกล่าวอย่างไม่เห็นด้วย ทว่าถูกท่านหมอเฝิงยกมือห้ามเอาไว้
เจ้าฟังข้าพูดให้จบ เขากล่าว ข้ารู้ว่าเจ้าจะพูดอะไร เจ้าคิดว่าคนกับดอกไม้ไม่เหมือนกัน ดอกไม้ไม่อาจกางร่มกันลมให้ตัวเอง เจ้ารองกับอาซีเฉลียวฉลาดเพียงนี้ จะยืนรอเจ้ามาหาอยู่ตรงนั้นอย่างโง่งมได้อย่างไร…
…แต่เจ้าเคยคิดหรือไม่ หากเจ้าช่วยตัดสินใจให้พวกเขาทุกครั้งที่มีปัญหา ไม่ว่าพานพบเรื่องอะไรก็ช่วยเหลือพวกเขาตลอด เมื่อผ่านไปนานวันเข้า พวกเขาจะคิดว่าอย่างไรพี่ใหญ่ข้าก็ช่วยเหลือข้า อย่างไรพี่ใหญ่ข้าก็ตัดสินใจให้ข้า พวกข้าไม่จำเป็นต้องคิดอะไรมาก โยนให้พี่ใหญ่ข้าก็พอแล้ว…
…กระทั่งวันหนึ่งต้องเผชิญกับปัญหาที่พวกเขาต้องไปจัดการด้วยตัวเอง ยกตัวอย่างเช่น ปัญหาระหว่างสามีภรรยา ความขัดแย้งระหว่างแม่สามีลูกสะใภ้ เจ้าก็จะช่วยพวกเขาจัดการไปทีละอย่างทีละเรื่องอย่างนั้นหรือ เจ้าคิดว่าเช่นนี้เหมาะสมแล้วหรือ…
…วันใดที่แค่เรื่องเล็กน้อยเหล่านี้พวกเขายังจัดการได้ไม่ดี เจ้าคิดว่าพวกเขาจะมีชีวิตอย่างสงบสุขได้หรือ…
…เช่นนั้นที่เจ้าอุตส่าห์ช่วยเหลือน้องชายน้องสาวมาอย่างยากลำบากนั้น จะไปมีประโยชน์อะไร…
…นี่มิใช่ว่าเจ้ากลับหัวเป็นหางเทียมม้าใส่เกวียนหรอกหรือ…
…ให้ปลาคนมิสู้สอนคนจับปลา…
…หลักการข้อนี้เจ้าย่อมเข้าใจดี แต่เข้าใจอย่างเดียวไม่มีประโยชน์ เจ้าต้องทำได้ด้วยถึงจะใช้การได้!
……………………………………………………………..
ตอนต่อไป