ตอนที่ 81 บุญคุณช่วยชีวิตก่อเกิดสายสัมพันธ์ (2)

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

ตอนที่ 81 บุญคุณช่วยชีวิตก่อเกิดสายสัมพันธ์ (2)

ไม่มีใครหยุด ไม่มีการเข้ามาช่วย ในเมื่อยอบกายคารวะตามพิธีแล้ว ก็มีแต่ต้องเลยตามเลย ค้อมตัวและทักทายออกไป

มั่วเชียนเสวี่ยผงกศีรษะรับ เอ่ยสองสามคำอย่างสุภาพกลับไปเพื่อเป็นการแสดงคำขอบคุณ

เจี่ยนชิงโยวนิ่งเงียบ นางเพิกเฉยต่อเหล่าน้องสาวที่เกิดจากอนุภรรยาและลูกพี่ลูกน้องหญิงพวกนั้นอย่างสิ้นเชิง หลังจากเห็นว่าพวกนางทำความเคารพเสร็จแล้ว จึงโบกมือไล่ให้พวกนางร่นถอยไปอย่างไม่แยแส จากนั้นก็พามั่วเชียนเสวี่ยเดินเที่ยวชมสวนต่อไป

หยวนหมัวมัวที่เดินตามมาด้านหลังกลับตกใจ ลอบอุทานในอกซ้ำๆ

หนิงเหนียงจื่อผู้นี้แม้จะกล่าวว่าเป็นผู้มีความรู้ไม่ธรรมดา แต่ไม่คิดมาก่อนเลยว่านางจะมีมาดที่สูงส่งถึงเพียงนี้

ไม่หวั่นเกรงยามเมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์ยากลำบาก อาจหาญท้าชนอุปสรรคทั้งปวง!

ทั้งนี้ยังไม่แสดงออกถึงการจงใจประจบประแจงและผูกมัด กิริยาวาจาดูเป็นธรรมชาติเปี่ยมไปด้วยความสง่างามและสูงศักดิ์

สวนของตระกูลเจี่ยนนั้นกว้างใหญ่ไพศาลมาก ยิ่งเดินเข้าไปลึกเท่าไร ทัศนียภาพก็ยิ่งงดงามจับตา สีหน้าของหยวนหมัวมัวเองก็ยิ่งมายิ่งแจ่มใสน่ามองมากขึ้นทุกที

กวาดตามองไปทั่วทั้งเมืองเทียนเซียง ไม่มีสวนแห่งไหนจะใหญ่โตและงดงามได้เท่ากับสวนแห่งนี้อีกแล้ว! นี่คือสวนที่ดีที่สุดที่ผ่านการปรับปรุงแต่งเติมมานานนับศตวรรษ การจัดวางและองค์ประกอบต่างๆ จึงออกแบบมาได้อย่างเหมาะสมและงดงามยิ่ง กล่าวได้ว่ามันกลมกลืนและลงตัวไปแทบทุกจุด เหล่าคุณหนูจากตระกูลสูงศักดิ์ที่ได้มาเยือนสวนแห่งนี้เป็นครั้งแรก ไม่มีใครไม่เผยแววตาอิจฉาริษยาและตื่นตกใจไปกับความอลังการของสวนของจวนเจี่ยน

ภายในเรือนกระจก มีดอกไม้สดนานาชนิดและพืชสมุนไพรล้ำค่าหลากหลายประเภท แม้ในยามฤดูเหมันต์เช่นนี้ พวกมันก็ยังแย่งกันเบ่งบานอวดโฉม งดงามเกินจะพรรณนา

อย่างไรก็ตาม หญิงที่มาจากบ้านนอกนางนี้กลับมองพวกมันด้วยสายตาเรียบเฉย คล้ายกับว่าเห็นจนชินแล้วอย่างไรอย่างนั้น

นี่จึงทำให้นางมั่นใจว่าตัวตนของมั่วเชียนเสวี่ยนั้นจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน การแสดงออกทางสีหน้าของนางจึงยิ่งใส่ใจและกระตือรือร้นมากขึ้น

ทางเดินยาวทอดตัวไกลออกไป หลังจากเดินผ่านเส้นทางคดเคี้ยวจำนวนมาก ตลอดสองฝั่งของทางเดินยาวไม่มีทิวทัศน์ไหนที่ซ้ำกันเลย จากที่นางเห็น มีทั้งภูเขาหินจำลอง สวนดอกไม้ และป่าไผ่

และแม้มันจะไม่ได้งดงามเท่ากับสวนโบราณแห่งเมืองซูโจวที่มั่วเชียนเสวี่ยเคยเห็นในชีวิตก่อน แต่ก็นับว่าไม่ห่างไกลจากกันมากนัก

ป่าไผ่ทึบเขียวสดสูงชะลูดตระการตา มวลหมู่แมกไม้ต้นหญ้างอกงามอุดมสมบูรณ์

สุดทางของทางเดินยาว มีแอ่งน้ำขนาดใหญ่อยู่

ในส่วนลึกของตลิ่งล้อมรอบไปด้วยป่าไผ่หนาแน่น ลำไผ่ไหวโยกไปตามแรงลม ซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ ราวกับเสื่อผืนหนา

ไร้เสียงลมฝนพัดพาให้เหนื่อยหน่าย ระลอกคลื่นเย็นส่งให้คิมหันตฤดูนี้ยิ่งปลอดโปร่งมากขึ้น

ดูเหมือนว่าผู้ออกแบบสวนแห่งนี้จะเป็นคนที่ละเอียดอ่อนเอาใจใส่มากทีเดียว

การจะสร้างบรรยากาศที่อบอุ่น ขณะเดียวกันก็แสดงออกให้เห็นถึงความสง่างามไปในตัวด้วยนั้น ดูเหมือนจะเรียบง่าย แต่มีน้อยคนนักที่จะเข้าถึงมันได้จริงๆ…หากปราศจากรากฐานและมรดกตกทอดที่สั่งสมมานานกว่าร้อยปี ไร้ซึ่งการปรุงแต่งบ่มเพาะของวัฒนธรรม ก็ไม่มีทางที่จะสร้างสวนดีๆ เช่นนี้ออกมาได้

ข้างแอ่งน้ำ มีศาลาทรงหกเหลี่ยมหรูหราหลังหนึ่งตั้งอยู่ ภายในศาลานั้นประกอบด้วยโต๊ะหินและเก้าอี้หินเรียบง่าย

เจี่ยนชิงโยวพามั่วเชียนเสวี่ยเข้ามาพักเท้าในศาลา ด้วยศาลาหลังนี้มีขนาดไม่ใหญ่นัก จึงมีเพียงพวกนางสองคนเท่านั้นที่กำลังเพลิดเพลินอยู่ในศาลา ส่วนหมัวมัวและสาวรับใช้ที่เหลือล้วนยืนรอปรนิบัติอยู่ด้านนอก

ขณะที่กำลังดื่มด่ำไปกับทิวทัศน์อันหาได้ยาก ด้านในป่าไผ่ทึบที่อยู่อีกฝั่ง คล้ายกับมีเงาร่างของใครบางคนกำลังเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงอยู่ข้างในนั้น

ผ่านไปไม่นาน ก็มีคนวิ่งออกมาจากข้างใน ร่างนั้นสวมใส่ชุดกระโปรงยาวสีชมพู กระนั้นเสื้อผ้าและผมเผ้าของนางกลับยุ่งเหยิงดูไม่เรียบร้อยเลยสักนิด ร่างนั้นหอบเสื้อผ้าอย่างพะรุงพะรัง ขณะวิ่งก็ยังไม่วายพยายามจัดอาภรณ์บนร่างของตัวเองให้เรียบร้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ท่าทางของนางเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก และแม้จะมีแอ่งน้ำกั้นกลางอยู่ หากแต่มั่วเชียนเสวี่ยกลับรู้สึกว่าที่หางตาของนางน่าจะมีน้ำตาไหลอยู่

เจี่ยนชิงโยวที่อยู่ข้างๆ ไม่ได้มองไปที่ป่าไผ่อีกฝั่ง แต่กลับจ้องมองบนผิวน้ำในแอ่งน้ำที่อยู่ตรงหน้าอย่างเหม่อลอย

ย่างเข้าฤดูเหมันต์อันหนาวเหน็บ นกยวนยาง[1]สี่ตัวแหวกว่ายเคียงคู่เคล้าคลอ

ดวงตาของเจี่ยนชิงโยวเต็มไปด้วยความอิจฉา แต่ขณะเดียวกันก็แฝงไปด้วยความเศร้าราวกับบุปผาที่ถูกกลบฝังลงไป นางฉีกหมั่นโถวในมือออกแล้วโยนลงไปในน้ำทีละชิ้น ดึงดูดให้นกยวนยางทั้งสี่ตัวนั้นว่ายเข้ามาแย่งอาหาร

มั่วเชียนเสวี่ยส่ายหัวเบาๆ ท่ามกลางจวนหลังใหญ่โตแห่งนี้ ช่างเต็มไปด้วยเรื่องวุ่นวายมากมายเหลือเกิน นางซึ่งเป็นคนนอกไหนเลยจะมีสิทธิ์ยื่นมือเข้าไปยุ่ง แต่กระนั้นก็ไม่จำเป็นต้องชี้ให้นางเห็นด้วยตากระมัง นี่ทำให้นางวางตัวลำบากเล็กน้อย

บางครั้ง…ความไม่รู้ก็ถือว่าเป็นโชคดีอย่างหนึ่ง

ตามที่คาดไว้ เมื่อเงยศีรษะขึ้นมองไปที่ป่าไผ่อย่างไม่ตั้งใจอีกครั้ง นางก็เห็นบุรุษในชุดสีม่วงคนหนึ่งกำลังก้าวออกมาจากด้านในอย่างช้าๆ ด้วยสีหน้าได้ใจราวกับเป็นผู้ชนะ

มั่วเชียนเสวี่ยลอบบ่นในใจ ในวันที่อากาศหนาวเช่นนี้ ไม่กลัวแข็งตายหรืออย่างไร

มาเจอเข้ากับเหตุการณ์กระอักกระอ่วนชวนให้สบถด่าในจวนของผู้อื่นเช่นนี้ มั่วเชียนเสวี่ยก็ไม่หลงเหลืออารมณ์สุนทรีย์ใดๆ ที่จะเที่ยวชมสวนอีก นางหาวออกมาเบาๆ

เจี่ยนชิงโยวที่อยู่ถัดจากนางกลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง เมื่อตระหนักได้ว่านางได้ละเลยสหายผู้นี้ไปชั่วขณะหนึ่ง จึงเอ่ยขอโทษมั่วเชียนเสวี่ยเป็นการใหญ่ แล้วชวนให้นางกลับไปพักผ่อนที่เรือนส่วนตัวของตนเองหลังจากที่สังเกตเห็นว่ามั่วเชียนเสวี่ยน่าจะเหนื่อยมากแล้ว

เรือนส่วนตัวของเจี่ยนชิงโยวไม่ได้หรูหรา แต่สะอาดสะอ้านและเปี่ยมไปด้วยความประณีตและสง่างาม เห็นได้ชัดว่านางเป็นผู้ที่พิถีพิถันเลือก ใส่ใจรายละเอียด และมีรสนิยมสูงคนหนึ่ง

ทั้งภาพวาดอักษรบนผนัง งานรากไม้แกะสลักบนโต๊ะหนังสือ ดอกสุ่ยเซียนสดบนโต๊ะน้ำชา สีและรูป การจัดวางทุกอย่างล้วนลงตัวเข้าคู่กันอย่างถึงที่สุด ชวนให้ผู้ที่พบเห็นรู้สึกประทับใจ

การมาเป็นแขกที่จวนเจี่ยนของมั่วเชียนเสวี่ยในครั้งนี้ นางไม่ได้มามือเปล่า นางเคยได้ยินเจี่ยนชิงโยวพูดถึงครอบครัวของนางมาก่อนหน้านี้แล้ว จึงได้เลือกมาเยือนที่จวนเจี่ยนหลังเวลาอาหารกลางวัน นี่ก็ประจวบเหมาะแก่การมอบขนมที่นางตั้งใจอบมาด้วยมือของตัวเองให้แก่นายท่านเจี่ยน ฮูหยินเจี่ยนและเจี่ยนเหล่าไท่จวินพอดี

ในจวนหลังนี้มีคนมากเกินไป ลำพังมั่วเชียนเสวี่ยคนเดียวคงจะทักทายได้อย่างไม่ทั่วถึง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่านางไม่มีเหตุผลอันใดที่จะไปประจบเอาใจคนพวกนั้น ดังนั้นนางจึงเตรียมของมาเพียงสามชุดเท่านั้น

การมอบของขวัญให้แก่ผู้อาวุโสยามพบหน้า เป็นสิ่งที่นางปลูกฝังมาจากการทำกิจการมานานหลายปี จนบัดนี้ได้แปรเปลี่ยนเป็นความเคยชินไปแล้ว

เพิ่งจะเอนหลังลงกับเบาะนุ่มๆ บนตั่งยาวภายในห้อง สาวใช้ทั้งหลายก็กระวีกระวาดรีบเข้ามาปรนนิบัติ

ทั้งรินน้ำชา เติมน้ำ ยกของว่างมาให้ บีบนวดไหล่ ทุบขา เช็ดหน้า…

มองดูกลุ่มคนที่วุ่นวายหากแต่กลับยังอยู่ในระเบียบ มั่วเชียนเสวี่ยก็ถอนหายใจอย่างเงียบๆ ความแตกต่างของชนชั้นสูงเป็นมันเช่นนี้นี่เอง

ขณะที่ดื่มชา มั่วเชียนเสวี่ยก็หวนนึกถึงบรรยากาศเศร้าสร้อยรอบตัวเจี่ยนชิงโยวยามอยู่ที่ศาลาเมื่อสักครู่นี้​ นึกถึงภาพที่หญิงสาวหน้านิ่วคิ้วขมวดคิดไม่ตก ก็พูดไปอย่างติดตลกว่า “ดูเจ้าสิ ทั้งที่ชีวิตสุขสบายราวกับอยู่ในทุ่งดอกไม้แท้ๆ แต่กลับขมวดคิ้วตลอดทั้งวัน ประเดี๋ยวเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นขึ้นมาจะไม่งามเอานะ”

เจี่ยนชิงโยวถอนหายใจเบาๆ หลังจากได้ยินคำพูดของมั่วเชียนเสวี่ย “ข้าก็เป็นเพียงดอกไม้ผ้าในจวนหลังใหญ่โตแห่งนี้ ถูกห่อหุ้มด้วยผ้าไหมชั้นดีอย่างแน่นหนา กระนั้นก็เป็นเพียงภายนอกที่แสดงออกมาให้เห็นเท่านั้น ไหนเลยจะเหมือนกับเชียนเสวี่ยที่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระตามใจ คิดสิ่งใดก็พูดออกไปได้อย่างเปิดเผย ชีวิตเต็มไปด้วยสีสัน สำหรับข้าแล้ว นั่นต่างหากถึงจะเรียกว่าเป็นชีวิตที่สวยงามอย่างแท้จริง”

“เจ้าไม่เคยรู้สึกว่าข้าเป็นคนหยาบคายไม่รู้มารยาทบ้างเลยหรือ ลองมองดูเจ้าสิ นี่ต่างหากถึงจะเรียกว่าคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์อย่างแท้จริง” มั่วเชียนเสวี่ยหัวเราะร่าขณะยกถ้วยชาขึ้นจิบ “กิริยาวาจาชดช้อย ไม่รีบหรือไม่ช้าจนเกินไป ไม่หยิ่งยโสวางตัวสูงส่ง ทั้งยังไม่หดหัวจนพาลให้ดูต้อยต่ำ ควรค่าแก่คำนิยามว่าสง่างามและอ่อนโยนอย่างถึงที่สุด…”

เจี่ยนชิงโยวมองไปที่มั่วเชียนเสวี่ยอย่างจริงจังและพูดออกมาจากใจว่า “ชิงโยวไม่รู้หรอกว่าตนนั้นสง่างามและอ่อนโยนจริงหรือไม่ แต่สิ่งหนึ่งที่ชิงโยวสามารถตอบเจ้าได้อย่างแน่นอน นั่นคือเชียนเสวี่ยเจ้าเป็นสตรีที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้ใดเลย ไม่ว่าจะเป็นความสง่ารอบตัว กิริยามารยาท ความรู้ความสามารถ หรือแม้กระทั่งความคิดความอ่านของเจ้า ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าคุณหนูจากตระกูลสูงศักดิ์ทั้งหลายสักนิด ในทางตรงกันข้าม ชีวิตของเจ้ากลับมีอิสระและมีสีสัน เป็นชีวิตที่อยู่ในโลกความเป็นจริงอย่างแท้จริง เจ้ารู้ว่าตัวเองต้องการสิ่งใดและกล้าที่จะวิ่งไล่ตามมัน ชิงโยวรู้ดี ตราบเท่าที่เชียนเสวี่ยมีความมุมานะมากพอ เชียนเสวี่ยย่อมสามารถใช้ชีวิตที่หรูหราและมีความสุขที่สุดได้”

เมื่อเห็นว่าอีกคนเริ่มที่จะหดหู่ขึ้นมา มั่วเชียนเสวี่ยเองก็รู้สึกเขินอายเล็กน้อยที่ได้รับคำชมจากนาง ดังนั้นจึงยิ้มและพูดหยอกไปว่า “นี่ก็คือเหตุผลที่เจ้าทำหน้าอมทุกข์ตลอดทั้งวันหรือ ข้าก็เผลอเข้าใจผิดคิดไปว่าเจ้ามีปัญหาเรื่องความรักเสียอีก”

นางถามด้วยรอยยิ้ม หากแต่ในใจของเจี่ยนชิงโยวกลับตกตะลึงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

หญิงสาวหลุบตาลง ก้มมองเงาสะท้อนในถ้วยชาในมือของตนเองอย่างครุ่นคิด หลังจากลังเลชั่วครู่ นางก็ยกถ้วยชาขึ้นจิบแล้ววางมันลงคล้ายกับตัดสินใจได้แล้ว

ผ่านไปครู่หนึ่ง นางจึงเงยหน้าขึ้นและส่งสายตาเป็นเชิงบอกให้หยวนหมัวมัวไล่สาวใช้ทั้งหมดในห้องให้ออกไปข้างนอก

มั่วเชียนเสวี่ยที่เห็นเช่นนั้นก็เก็บรอยยิ้มหยอกล้อกลับมาทันที พินิจไปที่เจี่ยนชิงโยวอย่างระมัดระวัง

หลังจากหยวนหมัวมัวไล่คนทั้งหมดออกไปแล้ว ตัวเองก็ไปยืนขวางเฝ้าหน้าประตูไว้ เพราะไม่อาจลงกลอนปิดประตูได้ ด้วยนี่เป็นกฎเกณฑ์ของตระกูลชนชั้นสูง

แม้บริเวณรอบๆ จะไม่มีใครอยู่แล้ว แต่เจี่ยนชิงโยวก็ยังไม่ปริปากพูดอะไรออกมาเสียที ทำเพียงปรายตามองไปยังภาพวาดดอกท้อบนฝาผนังอย่างอาวรณ์

มั่วเชียนเสวี่ยมองตามสายตาของนางไป นั่นคือภาพดอกท้อบานสะพรั่งภาพหนึ่ง ในภาพมีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังร่ายรำ ดูคล้ายกับเจี่ยนชิงโยวเป็นอย่างมาก

เนิ่นนานหลายอึดใจทีเดียวกว่าที่จะได้ยินเสียงเจี่ยนชิงโยวกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเนิบนาบว่า “ข้าพบเขาเมื่อสองปีก่อน ในวันนั้นข้าไปสวดขอพรให้กับบรรพบุรุษของตระกูลที่วัดฮั่นซาน หลังจากไหว้พระเสร็จแล้ว เห็นว่าบนเขามีดอกท้อบานสะพรั่ง ก็เลย…”

[1] นกยวนยาง คือ นกเป็ดน้ำแมนดาริน ชาวจีนเชื่อว่านกชนิดนี้จะมีคู่เดียวไปจนตายแม้คู่ของมันจะตายไปก็ตาม