ตอนที่ 336 – สติปัญญาของอสูรมาร

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

ตอนที่ 336 – สติปัญญาของอสูรมาร

ชางหลงตัวนี้ไม่ได้ตอบทันที ทว่าก้มหัวมองชางหลงน้อยที่ถูกขังในม่านพลังมายาของพัดแห่งสวรรค์และโลกาตัวนั้น “ปล่อยมัน”

โม่เทียนเกอขยับนัยน์ตา ยกมือ พัดแห่งสวรรค์และโลกากลับเข้ามือ ม่านพลังมายาหายไปทันที

ชางหลงคำรามใส่ชางหลงน้อยตัวนั้นหลายคำ ชางหลงน้อยเงยหน้ามอง ผงกหัว ดำน้ำหายไปจากผิวน้ำ

“เจ้าพูดได้แล้ว”

“มนุษย์ โปรดสาบานว่าเจ้าจะรักษาสัจจะ ไม่ฆ่าอสูรทะเลในบริเวณนี้อีก อย่างนี้ข้าจึงจะบอกความลับต่อเจ้า”

โม่เทียนเกอยิ้ม “เจ้าไม่บอกความลับข้า ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าความลับของเจ้ามีค่าให้ข้าสาบานอย่างนี้หรือไม่”

ในดวงตาชางหลงปรากฏแววโกรธแค้น เอ่ยว่า “เจ้ามั่นใจในความแข็งแกร่งของตัวเองขนาดนี้เลยหรือ”

โม่เทียนเกอโบกพัดแห่งสวรรค์และโลกาในมือ เอ่ยอย่างชืดชาว่า “หลายวันขนาดนี้แล้ว พวกเจ้ายังไม่รวมตัวกัน ข้าคิดว่าพวกเจ้าอสูรทะเลในยามปกติก็เข่นฆ่ากันเองกระมัง ศัตรูที่มีความแค้นต่อกันหนึ่งฝูง ถึงข้าจะสู้ไม่ได้ หนีกลับไม่ใช่ปัญหา”

วาจาที่ชางหลงตัวนี้พูดดูเหมือนจริงใจมาก แต่โม่เทียนเกอกลับรู้ว่าวาจาของมันไม่สามารถเป็นความจริง ใช้ชีวิตอย่างสันติมาหลายพันปี? เช่นนั้นอสูรทะเลเหล่านี้ในยามปกติล้วนกินหญ้าทะเลกันหรือ ผู้อ่อนแอเป็นเหยื่อผู้แข็งแกร่งเป็นกฎธรรมชาติ ระหว่างพวกมันก็เป็นความสัมพันธ์แบบการฆ่าและถูกฆ่า, ล่าและถูกล่าอยู่แล้ว มหาสมุทรไม่เคยสงบสันติเสมอมา วาจาเหล่านี้ที่ชางหลงตัวนี้พูดก็แค่โกหกนาง หากนางเชื่อหมดจริง ๆ เช่นนั้นนางก็เป็นคนโง่แล้ว

ชางหลงไม่พูดจาแล้ว ดวงตาอันเต็มไปด้วยสติปัญญาจับจ้องโม่เทียนเกอ ผ่านไปนานมาก มันเอ่ยว่า “เจ้าชาญฉลาดมาก คล้ายกับเจ้านายในอดีตของข้ามาก”

โม่เทียนเกอได้รับคำชมของมัน สีหน้ายังคงไม่สั่นไหว สายตาของนางทอดมองชางหลงอย่างนิ่งเฉย ถามว่า “ความลับของเจ้าเล่า จะบอกข้าหรือไม่”

ไม่รู้เพราะอะไร ชางหลงตัวนี้รู้สึกว่าในสายตาอันสงบนิ่งของนางเจือความเย้ยหยันเศษเสี้ยวหนึ่งเอาไว้ นี่เป็นความรู้สึกลวงกระมัง? ชางหลงกะพริบตา ใช้จิตหยั่งรู้สื่อสารกับนางต่อไป “ข้าบอกความลับนี้ต่อเจ้าก่อนก็ได้ แต่เจ้าจำไว้นะว่าถ้าได้ยินความลับนี้แล้วเจ้ายังไม่รามือ เช่นนั้น พวกเราเหล่าอสูรทะเลที่มีความแค้นในยามปกติก็จะร่วมมือกันจัดการเจ้าที่เป็นมนุษย์ก่อน!”

จุดนี้โม่เทียนเกอเชื่อ ถึงแม้พวกมันเหล่าอสูรทะเลในยามปกติจะเข่นฆ่ากันเอง แต่นางที่เป็นมนุษย์หนึ่งคนจู่ ๆ มาที่น่านทะเลผืนนี้ คุกคามต่อชีวิตของอสูรทะเลทั้งหมด พวกมันก็จะเลือกร่วมมือกันก่อน

“เจ้าวางใจ ข้าไม่โง่ ข้าไม่เคยเอาชีวิตของตัวเองมาล้อเล่น”

น้ำเสียงของนางสงบเกินไป ชางหลงสั่นหัว โยนความกังขาเศษเสี้ยวออกจากสมอง กล่าวว่า “สิ่งที่ข้าจะบอกเจ้าคือ ใกล้ ๆ กับน่านทะเลผืนนี้มีเกาะแห่งหนึ่ง ข้างบนมีสมบัติที่ผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งคนหนึ่งทิ้งเอาไว้!”

มันหยุดชั่วครู่ ผลคือกลับไม่เห็นโม่เทียนเกอมีปฏิกิริยาอันใด นางยังคงมองตนเองด้วยรอยยิ้มเจือความเย้ยหยันเศษเสี้ยวเอาไว้ นี่ทำให้ชางหลงที่มีปัญญาเหนือกว่าอสูรมารตัวอื่นตัวนี้ไม่เข้าใจเป็นที่สุด “เจ้าไม่อยากได้สมบัติพวกนี้หรือ”

โม่เทียนเกอผงกศีรษะ พูดอย่างสบายอารมณ์ว่า “ยังมีเล่า?”

“……ข้าสามารถบอกเจ้าถึงตำแหน่งแน่ชัดของสมบัติ หากเจ้าทำลายม่านพลังที่อยู่ข้างนอก สมบัติพวกนั้นก็จะเป็นของเจ้าทั้งหมด……” พูดถึงตอนท้าย ชางหลงตัวนี้กลับพูดต่อไม่ออกอยู่บ้าง ไม่รู้เพราะอะไร มันรู้สึกอยู่ตลอดว่ามนุษย์ที่อยู่เบื้องหน้าคล้ายกับจะไม่มีความสนใจต่อเนื้อหาที่มันพูดเลย

โม่เทียนเกอเก็บรอยยิ้มอย่างกะทันหัน ถอนหายใจออกมา “เจ้ายังอยากจะพูดใช่หรือไม่ว่าสมบัติพวกนั้นเป็นสิ่งที่เจ้านายในอดีตของเจ้าทิ้งเอาไว้ เจ้านายเจ้าเป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ที่แข็งแกร่งคนหนึ่ง?”

ชางหลงเบิกตากว้าง สายตาเปลี่ยนเป็นตกตะลึง “เจ้า……”

โม่เทียนเกอส่ายหน้า พัดแห่งสวรรค์และโลกาในมือเคาะลงบนฝ่ามือตนเอง “มิผิด พวกเจ้าฝูงชางหลงมีสติปัญญาเหนือกว่าอสูรมารอื่น แต่พวกเจ้าสุดท้ายแล้วยังเป็นอสูรมาร” สายพันธุ์บนโลกนี้มีใดบ้างที่จะสามารถเหนือกว่ามนุษย์? คนเดิมก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่เทพสร้างขึ้นมาโดยใช้ตนเองเป็นแม่แบบ

ชางหลงตัวนี้ก่อนอื่นพูดจากกับนางด้วยวาจาทรงภูมิสงบนิ่ง ทำให้นางนึกว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตระดับเดียวกับนาง ภายหลังครึ่งเตือนครึ่งแลกเปลี่ยน คิดจะหลอกนางไปยังเกาะที่โม่เหยาชิงนั่งละสังขาร สมมติว่านางจิตใจหวั่นไหวต่อสมบัติพวกนั้น แล้วยังค้นพบร่องรอยของม่านพลังสัตตสัมบูรณ์ ก็คงจะนึกว่าวาจาของมันเป็นความจริงเสียแปดส่วน ถึงเวลา ถึงแม้จะไม่ดับสูญใต้ม่านพลังสัตตสัมบูรณ์ เข้าถ้ำพำนักของโม่เหยาชิง นึกว่าสิ่งของทั้งหมดล้วนสามารถเอาไป…… เช่นนั้นนางก็จะตายโดยไร้ที่กลบฝังแล้ว

ถ้าหากไม่ใช่ว่านางเดิมทีก็มาเสาะหาถ้ำพำนักของโม่เหยาชิงอีกทั้งหาพบแล้ว มีความเป็นไปได้มากว่าจะตกหลุมพรางนี้ ดังนั้นชางหลงตัวนี้ก็จะหลอกฆ่านางได้โดยไม่เปลืองแรงเหมือนเป่าฝุ่นผง

มิน่าเล่าโม่เหยาชิงอยากรับชางหลงตัวนี้มาเป็นสัตว์วิญญาณ สติปัญญาเช่นนี้ไม่ได้ย่ำแย่กว่ามนุษย์ส่วนมากเลย

เมื่อเห็นสายตาของนางกวาดมาทางตนเองด้วยความหมายตรวจสอบ เกล็ดสีเขียวครามบนหลังของชางหลงตัวนี้ตั้งชันขึ้นมาทันที เตรียมพร้อมต่อสู้ในพริบตา

โม่เทียนเกอเมื่อเห็นแล้วกลับยิ้ม คลี่พัดแห่งสวรรค์และโลกา “ทำไม ไม่ไปเรียกพันธมิตรของเจ้าหรือ อีกอย่าง อันที่จริงพวกเจ้ายังไม่ได้ก่อตั้งพันธมิตรกันเลยสินะ”

ในดวงตาชางหลงเจือแววโกรธแค้น “อย่านึกว่าเจ้าเป็นมนุษย์ พวกเราอสูรมารจะสู้เจ้าไม่ได้นะ! เจ้าก็แค่ขั้นหก ข้ากลับขั้นเจ็ดแล้ว คิดจะเอาชนะข้าก็ไม่ใช่เรื่องง่ายดายขนาดนั้น!”

“เช่นนั้นก็ลองดู” โม่เทียนเกอใบหน้าเปื้อนยิ้ม โบกแขนเสื้อเบา ๆ ศาสตร์หนึ่งปราณต้นกำเนิดก่อตัวเป็นโล่พลังวิญญาณหนึ่งใบห้อมล้อมร่างของนาง

นางสามารถยืนยันได้แล้วว่าชางหลงตัวนี้มาขู่ให้นางถอยไป บางทีสิ่งที่มันพูดไม่ได้ผิด หากนางฆ่าต่อไป อสูรทะเลเหล่านี้ไม่ช้าก็เร็วก็จะจับมือกันขึ้นมา แต่มั่นใจได้ว่าไม่ใช่ตอนนี้ บางทีเพื่อที่จะรักษาชีวิตลูกหลานตนเอง ชางหลงตัวนี้อาศัยสติปัญญาที่เหนือกว่าอสูรมารอื่นอยากจะขู่ให้นางไป ถึงขนาดชักจูงนางเข้าหลุมพราง หลอกฆ่าในคราเดียว!

ถึงแม้ชางหลงตัวนี้อาจจะเคยเป็นสัตว์วิญญาณของโม่เหยาชิง แต่ตอนนี้มันก็เป็นเพียงอสูรมารตัวหนึ่ง สมมตินึกว่ามันทรงภูมิสงบนิ่งอย่างที่มันแสดงออกมาจริง ๆ เช่นนั้นก็ไม่มีโอกาสเสียใจภายหลังแล้ว

สัญชาตญาณของอสูรมารทำให้ชางหลงตัวนี้หลังจากเห็นโม่เทียนเกอสร้างโล่พลังวิญญาณก็เลือกที่จะโจมตีทันที

มันสะบัดหาง คลื่นยักษ์สูงเทียมฟ้ายกตัวขึ้น! ชางหลงครอบครองโลหิตแห่งเทพอสูรเทพมังกร และเทพมังกรก็สามารถเรียกลมเรียกฝนได้!

แต่คลื่นน้ำเหล่านี้ไม่ได้เข้าใกล้โม่เทียนเกอสักนิ้ว โล่พลังวิญญาณของศาสตร์หนึ่งปราณต้นกำเนิดสกัดคลื่นทะเลพวกนี้เอาไว้หมด

ชางหลงพอเห็นแล้วก็อ้าปากกว้าง ทักษะเวทน้ำหนึ่งสายพุ่งโจมตีใส่โม่เทียนเกอ

โม่เทียนเกอโบกพัดแห่งสวรรค์และโลกา ขุนเขาสายน้ำในพัดเข้มข้นขึ้น กลายสภาพเป็นวัตถุจริงในทันใด กดใส่ชางหลง

ชางหลงสะบัดหาง กระโดดขึ้นกลางอากาศ หนีจากขอบเขตของพัดแห่งสวรรค์และโลกา

โม่เทียนเกอประหลาดใจอยู่บ้าง อสูรมารขั้นเจ็ดแข็งแกร่งกว่ามากจริง ๆ นางในหลายวันมานี้อาศัยสมบัติบนตัวเมื่อเจอกับอสูรทะเลขั้นห้าขั้นหกล้วนฆ่าฟันไปตลอดทาง ทว่าชางหลงตัวนี้กลับหลบเลี่ยงพัดแห่งสวรรค์และโลกาอย่างปลอดโปร่ง

พริบตาถัดมา ชางหลงสะบัดหาง พลังวิญญาณอันมหาศาลกดทับลงมา

โม่เทียนเกอดึงผ้าเช็ดหน้าไหมขาวมาหมุนวนรอบตัว ลากเป็นร่องรอยสีขาวสายหนึ่ง ผ้าเช็ดหน้านี้กลายร่างเป็นหมอกหนึ่งหย่อม คุ้มครองนางอย่างแน่นหนา ทำให้พลังวิญญาณนั้นจู่โจมล้มเหลว

จากนั้นพัดแห่งสวรรค์และโลกาในมือนางคลี่เปิดอีกครั้ง ครั้งนี้สิ่งที่ปรากฏออกมากลับมิใช่ขุนเขาสายน้ำ ทว่าเป็นเสียงร้องอันใสเสนาะเสียงหนึ่ง กระเรียนวิญญาณหนึ่งตัวบินออกมา ตรงเข้าจู่โจมชางหลง

ชางหลงตะลึงงัน มันไม่แน่ใจอยู่บ้างว่านี่สรุปแล้วเป็นของจริงหรือว่ามายา ถึงแม้สติปัญญาของมันจะไม่ด้อยกว่าคนทั่วไป แต่การแยกแยะมายากลับต้องการความรู้ด้านม่านพลัง ตรงจุดนี้ มันกับอสูรมารทั่วไปไม่ได้แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด

สุดท้าย มันเลี่ยงที่จะหลบเลี่ยง ส่วนโม่เทียนเกอรออยู่ตรงนี้แล้ว พัดแห่งสวรรค์และโลกาโบกอีกครั้ง ขุนเขาสายน้ำก่อตัว ชางหลงหลบจนไม่อาจหลบ ภายใต้สถานการณ์อันเร่งร้อนได้แต่อ้าปากกว้างกัดลงไป!

โม่เทียนเกอสายตาเย็นชา ในมือเกิดแสงวูบวาบ หรูอี้สรวงวิญญาณทุบออกไปทันควัน เกิดเสียง “ตูม” พลังวิญญาณโดยรอบระเบิดขึ้นมากะทันหัน!

“อ๊าว!” ชางหลงร้องอย่างเจ็บปวด กลิ้งตัวอยู่กลางอากาศ

มันหลบกระเรียนเซียนพ้น สกัดพัดแห่งสวรรค์และโลกาแล้ว แต่ไม่อาจหนีจากหรูอี้สรวงวิญญาณ!

โม่เทียนเกอโบกแขนเสื้อ เก็บหรูอี้สรวงวิญญาณกลับ ปิดพัดแห่งสวรรค์และโลกาอย่างช้า ๆ ตามสบาย ไม่ได้เตรียมที่จะฉวยโอกาสเข่นฆ่ามันเลย

ผ่านไปพักหนึ่ง ชางหลงหยุดกลิ้งช้า ๆ ขณะนี้เกล็ดสีเขียวครามของมันเต็มไปด้วยรอยเลือด

ถ้าหากเป็นเวลาอื่น มันจะมุดลงใต้ทะเลทันที แต่ว่าสิ่งของที่เพิ่งจะระเบิดมันกลับทำให้มันหยุดชะงัก สายตาของมันจับจ้องโม่เทียนเกอ ในความตื่นตัวกลับบรรจุความกังขาเศษเสี้ยวหนึ่งเอาไว้ “เจ้าเพิ่งจะ……นั่นเป็นสิ่งของอะไร”

โม่เทียนเกอยกหรูอี้สรวงวิญญาณในมือขึ้น ยิ้มถามมันว่า “อันนี้หรือ”

ชางหลงกะพริบตา ในดวงตาปรากฏตัวตกตะลึง “นี่คือ……เจ้า……”

โม่เทียนเกอเก็บรอยยิ้ม จ้องมองมันตรง ๆ ถามว่า “เจ้านายในอดีตของเจ้าแซ่โม่หรือไม่”

ชางหลงอยากส่ายหาง แต่พลังของหรูอี้สรวงวิญญาณเมื่อครู่นี้ทำให้มันเต็มไปด้วยบาดแผลแล้ว ดังนั้นเพียงสามารถกะพริบตาต่อไป “เจ้าเคยไปแล้วหรือ”

โม่เทียนเกอถอนหายใจ เก็บหรูอี้สรวงวิญญาณกลับมา “ข้าก็แซ่โม่” นางพูด “ข้ามาก็เพื่อหาถ้ำพำนักบนเกาะเล็กนั่น”

ชางหลงมองทิศทางที่นางชี้ หันหัวกลับมา ตกตะลึง “เจ้าผ่านบททดสอบแล้วหรือ”

โม่เทียนเกอยิ้ม “เจ้ารู้บททดสอบนั้นจริง ๆ ด้วย เมื่อครู่อยากจะหลอกข้าไปที่นั่น ใช้กับดักของเจ้านายเจ้าฆ่าข้ากระมัง”

ชางหลงเงียบไป ผ่านไปพักหนึ่ง มันเอ่ยว่า “พวกเราฝูงชางหลงเดิมก็เฉลียวฉลาดกว่าอสูรมารทั่วไป อดีตเจ้านายรับข้าเป็นสัตว์วิญญาณก็เพราะว่าสติปัญญาอันเหนือกว่าอสูรมารทั่วไปของข้านี่ล่ะ เรื่องของเจ้านายไม่มีสิ่งที่ข้าไม่รู้”

อสูรมารใด ๆ ที่มีสายเลือดเทพอสูรล้วนจะเฉลียวฉลาดกว่าอสูรมารทั่วไป จุดนี้โม่เทียนเกอก็ทราบ ชางหลงตัวนี้มีชีวิตมาเกือบหมื่นปียังอยู่แค่ขั้นเจ็ด เห็นได้ว่าปีนั้นที่โม่เหยาชิงรับมันเป็นสัตว์วิญญาณจะต้องไม่ใช่เพราะพลังต่อสู้ ดังนั้นคาดว่าคำพูดนี้ของมันน่าจะเป็นความจริง

ชางหลงโยกหัว สายตาอันเต็มไปด้วยปัญญาเพ่งพินิจโม่เทียนเกออีกครั้ง “มนุษย์ เจ้าเป็นทายาทของเจ้านายหรือ”

“นับว่าใช่กระมัง” โม่เทียนเกอเอ่ยเสียงเบา “นางเป็นบรรพบุรุษของข้า”

“บรรพบุรุษ……” ในแววตาชางหลงปรากฏความงงงวย เห็นได้ชัดว่ามันยังแยกแยะความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเจ้านายได้ไม่ชัดเจน แต่ว่านี่ไม่ได้ห้ามมันไม่ให้เข้าใจ มันโยกหัว น้ำเสียงสงบลงมาก “ในเมื่อเจ้าเป็นทายาทของเจ้านาย เช่นนั้น ข้าเชื่อเจ้า”

โม่เทียนเกอกลับยิ้ม “เจ้านายของเจ้านั่งละสังขารไปแล้ว สัญญาสัตว์วิญญาณระหว่างเจ้ากับนางก็สิ้นประสิทธิภาพไปแล้ว เพราะอะไรยังเต็มใจจะเชื่อข้า”

ชางหลงมองนางโดยสงบ พูดว่า “ข้ายังอยากจะทำการแลกเปลี่ยนครั้งหนึ่งกับเจ้า ใช้ความลับหนึ่งอย่างแลกให้เจ้าหยุดมือ”

“ครั้งนี้เจ้าไม่กลัวว่าหลังจากข้าฟังความลับเจ้าแล้วจะไม่ยินยอมสาบานหรือ”

ชางหลงหยุดชั่วครู่ สายตาทอดมองเกาะเล็กแห่งนั้นซึ่งโม่เหยาชิงนั่งละสังขารในที่ห่างไกล พูดว่า “นี่เป็นความลับของเจ้านาย ในเมื่อเจ้าเป็นทายาทของเจ้านาย เช่นนั้นเจ้ามีคุณสมบัติที่จะฟัง”

ทั้งชีวิตของโม่เหยาชิงล้วนบันทึกไว้บนแผ่นหยกนั้น ในส่วนลึกของตะเลตะวันออกนี้ยังมีความลับอะไร?

ชางหลงพูดช้า ๆ ว่า “ความลับเกี่ยวกับว่าเจ้านายมาถึงที่นี่ได้อย่างไร”

โม่เทียนเกอตะลึง ความลับว่าโม่เหยาชิงมาที่เทียนจี๋จากอวิ๋นจงได้อย่างไร?! นี่เป็นเรื่องเดียวที่นางไม่ได้บันทึกอย่างชัดเจนในแผ่นหยกจริง ๆ

………………………………..