บทที่ 55 เมล็ดพันธุ์ของโดริส

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 55 : เมล็ดพันธุ์ของโดริส

ฟีจกับเลโอนาร์ดต่างจ้องหน้ากันและกัน

หลังจากลังเลกันอยู่สักพัก เลโอนาร์ดก็เป็นคนพูดขึ้นมา “การจับตาดูว่าระดับเหนือนภาจะเป็นอันตรายไหมต้องรอบคอบกว่านี้นะ”

ฟีจพยักหน้าเห็นด้วย “อีกอย่าง สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือกระจกมนตราต่างหาก มอร์เฟย์ตายไปแล้ว ลัทธิสีชาดก็กระจัดกระจายไปทั่ว พวกสมุนหมาป่าขาวที่เหลือคงมองว่ายากที่จะดำเนินการต่อ ถ้าจะตามมันก็ต้องทำตอนนี้แหละ”

“อย่างแรกเลยนะ หอพิธีกรรมต้องห้าม อีกทั้งรายงานของโจเซฟบอกว่าเป็นมอร์เฟย์ที่บุกเข้ามาก่อน และโดริสไปโต้กลับ จนถึงตอนนี้ร้านหนังสือยังไม่เสนอตัวจะแสดงความก้าวร้าวใด ๆ เลย”

“สุดท้ายเพราะการบุกรุกของลัทธิสีชาด อย่างน้อยพวกเราก็รู้แล้วว่าร้านหนังสือนั่นไม่ได้เข้าข้างพวกเขา น่าเสียดายที่โดริสไม่เหลือผู้รอดชีวิตไว้เลยสักคน ไม่อย่างนั้นเราคงได้เห็นภาพปฏิบัติการของลัทธิสีชาดกว้างกว่านี้ไปแล้ว”

“เรื่องของกระจกมนตราสำคัญที่สุด ดังนั้นให้แอคเกอร์แมนไปดูลาดเลาที่ร้านหนังสือก็ถือว่าเป็นทางเลือกที่ดี ถึงจะต้องยอมรับว่าพวกเรากำลังใช้เขาอยู่ก็เถอะ”

แอนดรูว์แทรกเข้ามา “ต้องตัดสินวิธีการทำงานของเจ้าของร้านหนังสือและคาดเดาเจตนาของเขาด้วยสิ ไม่ใช่มาบอกว่า ‘เป็นมิตร’ แล้วก็จบ พวกเราต้องรับผิดชอบพลเมืองนับล้านในนอร์ซินนะ”

“เหตุการณ์นี้ทำให้พวกเราย้อนกลับมาดูตัวเองว่าเรากำลังทำอะไรอยู่กันแน่”

เขามองไปยังม่านฟ้าฝนอันมืดมัวด้านนอกระเบียง ราวกับกำลังจ้องมองบางอย่างเข้าไปในเมฆหนา “สมาคมแห่งสัจธรรมไม่ใช่แค่มีไว้เพื่อหาความจริง แต่เพื่อควบคุมระเบียบวินัยด้วย ทว่าเมื่อใดที่องค์กรกลายเป็นผู้มีอิทธิพลและได้รับอำนาจมากเกินไป การทุจริตก็จะก่อตัวอยู่ในนั้น”

หัวใจของฟีจและเลโอนาร์ดหยุดเต้นไปชั่วแวบหนึ่งราวกับนึกอะไรขึ้นมาได้

มือของแอนดรูว์กระชับแนวกั้นระเบียงพลางมองไปยังเหล่าโครงกระดูกกลางลานกว้าง “การล้มเหลวของเครือข่ายตรวจจับเรานั้นผิดแน่นอน พวกลัทธิสีชาดกับหมาป่าขาวถึงเลี่ยงการตรวจจับได้ขนาดนี้ แต่คำถามคือ… ปัญหามันอยู่ตรงไหนน่ะสิ”

ทั้งสองรีบลุกขึ้นพรวด

‘ที่ท่านรองหัวหน้าจะสื่อก็คือ มีหนอนบ่อนไส้ในสมาคมแห่งสัจธรรม!?’

แอนดรูว์เงยหน้าขึ้นและเอ่ยด้วยสายตาราวกับจะเจาะลึกลงไปข้างใน “ความเชื่อใจของสาธารณะที่มีต่อสมาคมแห่งสัจธรรมจะถูกทำลายย่อยยับถ้าพวกเราไม่รับมือเรื่องนี้ให้ดี และอาจรับมือกับผลที่ตามมาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”

“นี่คือลิสต์รายชื่อพนักงานที่ไปข้องเกี่ยวกับเครือข่ายอีเธอร์ในสถานที่ที่กระจกมนตราโผล่ขึ้นมาของเดือนนี้ ฉันเชื่อในตัวพวกนายในฐานะสองคนที่ฉันเชื่อใจที่สุด ขณะเดียวกันก็เป็นคนที่ห่างจากสายบัญชาการ ตอนนี้สมาคมแห่งสัจธรรมขาดโครงสร้างการจับตามองพวกเดียวกันอยู่ หวังว่าพวกนายจะช่วยได้”

เลโอนาร์ดกับฟีจต่างรับลิสต์มาจากแอนดรูว์ แอบรู้สึกตกใจและลังเลเล็กน้อย

“ไม่ต้องห่วง นี่เป็นความตั้งใจของหัวหน้ามาเรียเหมือนกัน”

แอนดรูว์เสริมไปอีก “เธอคัดชื่อออกไปบ้างแล้ว ถ้าไม่ติดว่ากำลังพยายามไต่ขึ้นระดับเหนือนภาละก็ เธอจะมอบอำนาจนี้ให้พวกนายเองกับตัว แล้วแผนก็คงรัดกุมกว่านี้แหละ”

ทั้งสองต่างกวาดตาอ่านลิสต์รายชื่อ แล้วจึงพบแสตมป์อนุมัติของหัวหน้ามาเรียในกระดาษ ร่องรอยอีเธอร์พวกนี้ปลอมแปลงไม่ได้หรอก

“เอาตามนั้นแหละ อย่างแรกก็ให้แอคเกอร์แมนตรวจสอบก่อนเท่าที่จำเป็น พวกเราไม่กลัวระดับเหนือนภาอะไรนั่นหรอก” แอนดรูว์เอ่ยต่อ “สุดท้ายแล้วแม้แต่พระเจ้าก็ต้องดับสูญลงในสักวัน มีเพียงสัจธรรมเท่านั้นที่อยู่ยงชั่วกาลนาน”

หากผลตรวจจากหอพิธีกรรมต้องห้ามออกมาเป็น ‘มุ่งร้าย’ แทน ‘เป็นมิตร’ ละก็ ที่ต้องทำคงไม่ใช่การตรวจสอบ แต่เป็นการรวมพลทั้งหมดเพื่อกำจัดร้านหนังสือนั้นออกไปจากนอร์ซินต่างหาก

พลังของปัจเจกกลายเป็นอดีตไปแล้ว ถึงแม้ว่าระดับภัยพิบัติในนอร์ซินจะสามารถนับได้ แต่ถ้าต้องสู้กันจริง แม้แต่ระดับเหนือนภาก็ยังต้องนึกถึงปืนใหญ่ทลายอีเธอร์ของสมาคมแห่งสัจธรรมไว้ แค่สิ่งนั้นอย่างเดียวก็เป็นภัยอันใหญ่หลวงต่อระดับเหนือนภาแล้ว

สาเหตุที่ลัทธิสีชาดกับหมาป่าขาวซ่อนตัวมาได้นานขนาดนี้เป็นเพราะพวกเขาหนีเก่ง และเป็นเพราะสมาคมแห่งสัจธรรมเองก็อ่อนแอด้วย

ด้วยสภาวะไม่แน่นอน สมาคมฯ นั้นไม่สามารถเบิกใช้งานอาวุธทำลายล้างระดับสูงได้ ทำได้เพียงพึ่งพาเครือข่ายอีเธอร์และพลังคนในการจับอาชญากรเท่านั้น

แต่ในเมื่อตอนนี้เครือข่ายอีเธอร์ถูกแทรกแซง สถานการณ์จึงถือว่าเป็นภัย

ตอนแรกสมาคมแห่งสัจธรรมวางแผนจะใช้เทคนิคก่อกวนมิติเพื่อกักขังเหล่านักเวทมนตร์ดำเมื่อมอร์เฟย์โผล่มา ทว่าการมีอยู่ของโดริสทำให้พวกเขาหยุดและหันมาสังเกตการณ์แทน

ชายสองคนที่เหลือเก็บลิสต์ไปพร้อมเอ่ยทวน “มีเพียงสัจธรรมเท่านั้นที่อยู่ยงชั่วกาลนาน”

“รายงานสดจากที่เกิดเหตุค่ะ เมื่อคืนนี้เกิดเหตุการณ์แก๊สระเบิดที่ซอย 22 และ 23 พบผู้เสียชีวิตจำนวนมากและมีทรัพย์สินเสียหายรวมมูลค่าคาดว่าหลายหลักล้านเลยทีเดียว”

“ตามคำของผู้เชี่ยวชาญแล้ว เหตุการณ์นี้เกิดจากสภาพอากาศที่ย่ำแย่ การละเลยของโรงงาน และเครื่องจักรที่อยู่ในสภาพทรุดโทรม จึงก่อให้เกิดการระเบิดขึ้น ส่งผลให้ไฟลุกลามโหมกระหน่ำค่ะ อีกทั้งยังมีน้ำท่วมขัง ทำให้ตึกอาคารต่างทรุดตัวลง”

“โชคดีที่หน่วยควบคุมเพลิงและหน่วยกู้ภัยต่างรีบรุดเข้ามาในที่เกิดเหตุและดำเนินการกู้ภัยได้อย่างทันท่วงทีนะคะ นอกจากนั้น ฝนที่ตกหนักนี้ก็ช่วยลดการถาโถมของเปลวไฟจนมันมอดดับลงก่อนจะถึงซอย 23 นี้ค่ะ จากที่ทุกท่านเห็น ถนนเส้นนี้กลายเป็นเส้นแบ่งเต็มตัวเลยค่ะ ฝั่งซ้ายดิฉันคือไร้ร่องรอยความเสียหายใด ๆ แต่ฝั่งขวาเละเทะไม่มีชิ้นดี”

หลินเจี๋ยได้ยินเสียงรายงานข่าวโทรทัศน์ผ่านทีวีเพื่อนบ้านยามเช้า ตอนที่เขาเดินลงมาเปิดร้าน

เขานิ่งไปเล็กน้อย ‘ซอย 23 ก็ถนนซอยนี้ไม่ใช่เรอะ?’

เขาเปิดประตูออกไปและมองผ่านสายฝน มีเครื่องจักรหลายเครื่องกำลังทำงาน แสงวิบวับส่องสว่างไปทั่วและเสียงตะโกนโหวกเหวกดังกึกก้อง ภาพถนนตรงข้ามดูเละเทะอย่างที่ได้ยินจากข่าวเมื่อครู่จริง ๆ

ด้านข้างมีไทยมุงเป็นกลุ่มด้วย

หลินเจี๋ยเห็นกระทั่งผู้รายงานข่าวกำลังถ่ายทอดสดต่อ

“ไหงมีการระเบิดเกิดขึ้นระหว่างที่ฉันนอนได้ล่ะ”

หลินเจี๋ยขมวดคิ้ว เขาน่าจะหลับลึกเกินจนไม่ได้ยินเสียงแก๊สระเบิดตรงข้ามถนนเขาเป็นแน่

นอกจากการเอนเตอร์เทนคุณหนูเอลฟ์โดริสและการขายหนังสือไปสามสิบเล่มในการมาเยือนเพียงครั้งเดียว รวมไปถึงการที่หญิงสาวได้ขับไล่คนที่หลินเจี๋ยคิดว่ามาตรวจสอบร้านค้าไม่ได้ลงทะเบียนแล้ว ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก

ค่ำคืนเองก็เงียบสงบ แต่ตอนเช้ากลับมีรายงานข่าวว่าแก๊สระเบิดเกิดขึ้นตรงข้ามบ้านเขาเฉยเลย

‘ชีวิตบางทีก็มีเรื่องชวนตกใจเหมือนกันนะเนี่ย’

“โชคดีที่หยุดอยู่แค่ตรงข้ามนะเนี่ย ไม่งั้นชีวิตในฐานะผู้อพยพจากต่างโลกได้จบลงตรงนี้แหง” หลินเจี๋ยพึมพำพลางส่ายหัวหวืด ๆ

ตอนนั้นเองที่หลินเจี๋ยนึกขึ้นได้ว่าตนพูดเรื่อง ‘มุมานะและเจตจำนงของทุกคนซึ่งรวมเป็นหนึ่ง จะช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นกว่านี้ในอนาคต’ เอาไว้ด้วยพอคิดว่าจะเกิดเรื่องทำนองนี้ขึ้นในวันถัดไป

‘นี่ฉันเป็น…ตัวโชคร้ายรึไง?’

หลินเจี๋ยกระแอมไอทีสองทีแล้วปิดประตูลง ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วกลับเข้าร้านไปอย่างเดิม

‘ตัวโชคร้ายน่ะเป็นเรื่องไสยศาสตร์ต่างหากเล่า ไม่หรอก ไม่หรอกน่า…’

เขากลับไปที่นั่งเดิมหลังเคาน์เตอร์ เปิดไฟและฮีตเตอร์ วางกาต้มน้ำเพื่อชงชาตามปกติ สิ่งที่เปลี่ยนไปจากชีวิตประจำวันคือหลินเจี๋ยรดน้ำต้นไม้ที่เขาวางไว้บนเคาน์เตอร์ก็เท่านั้น

ถึงหลินเจี๋ยจะเรียกว่ามันเป็นกระถางต้นไม้ แต่ความจริงแล้วเป็นหม้อดินเสียมากกว่า

เมื่อวาน ก่อนที่โดริสจะจากไป เธอได้มอบเมล็ดหนึ่งเมล็ดให้เขา

เธอกล่าวไว้ว่ามันเป็นสิ่งล้ำค่าและมีความคิดความปราถนาเป็นของตัวเอง รวมไปถึงมีเรื่องราวลึกลับต่าง ๆ นานาที่ทำให้สาว ๆ หลงใหลกัน

หลินเจี๋ยคิดว่าการทำให้อากาศในร้านบริสุทธิ์ขึ้นถือเป็นไอเดียที่ใช้ได้ เขาจึงค้นหม้อดินเก่ามาใส่เมล็ดลงไป ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเมล็ดพันธุ์จะเติบโตตอนไหน

หลินเจี๋ยลูบกระถางพลางเอ่ยตรงไปตรงมา “ถ้าแกมีความคิดเป็นของตัวเองจริง ๆ ละก็ ช่วยเติบโตมาอย่างงดงามหน่อยนะ”