ตอนที่ 149 มีชีวิตอีกครั้ง

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 149 มีชีวิตอีกครั้ง
Ink Stone_Romance
ฉินหลิวซีเดินออกมาจากเรือนรับรองแขก เมื่อเห็นฉีเชียนรออยู่ข้างนอกก็เลิกคิ้วเล็กน้อย
“จวิ้นอ๋องกับคุณชายอวี้ฉังคงช่างเป็นสหายที่ดีต่อกันจริงๆ เพราะกลัวว่าข้าจะรักษาเขาได้ไม่ดีจึงตั้งใจรออยู่ที่นี่อย่างนั้นหรือ”
ฉีเชียนยกมือขึ้นประสาน เอ่ยว่า “ข้าและฉังคงรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก หากตาของเขาไม่ผิดปกติ เขาควรจะเป็นคนที่มีความสามารถ น่าทึ่ง และรูปงามที่สุดในตระกูลอวี้”
“อืม เป็นเพราะพระเจ้าอิจฉาในพรสวรรค์ของเขาจึงทำให้เขากลายเป็นเช่นนี้ ข้าเข้าใจ”
ฉีเชียนกระแอมขึ้น มองเข้าไปในห้อง ถามว่า “ตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง”
“นอนหลับไปแล้ว การรักษาโรคตาไม่สามารถทำได้ในคราวเดียว ต้องมีขั้นตอนการรักษา หลังจากนี้ข้าจะไปฝังเข็มรักษาที่ที่พักของเขาทุกวัน” ฉินหลิวซีโค้งคำนับ เอ่ยว่า “เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”
“เดี๋ยวก่อน!”
ฉีเชียนหยุดอีกฝ่ายไว้ เอ่ย “วันนี้รักษาเสร็จแล้วหรือ”
“เสร็จแล้ว เกรงว่าเขาจะนอนจนถึงพรุ่งนี้ ดังนั้นจวิ้นอ๋องไม่ต้องรอแล้ว”
“พรุ่งนี้?” ตอนนี้พึ่งจะเป็นเวลากลางวัน จะนอนได้นานขนาดนั้นเชียวหรือ
ฉินหลิวซีเอ่ย “เขามีอาการนอนไม่หลับอย่างรุนแรง นอนจนถึงพรุ่งนี้ก็ยังนับว่าเป็นเพียงเวลาสั้นๆ”
“ท่านบอกว่าจะไปรักษาที่ที่พักของเขาทุกวัน ไม่ได้จะรักษาในอารามเต๋าหรอกหรือ”
“อากาศหนาวแล้ว อารามเต๋าบนภูเขาก็หนาวเช่นกัน ข้าร่างกายอ่อนแอ ทนความหนาวไม่ได้” ฉินหลิวซีเอ่ยต่อว่า “ในเมื่อเขาพักอยู่ในเมือง เช่นนั้นไปรักษาในเมืองก็สะดวกเช่นกัน”
ฉีเชียนถามอีกว่า “ไม่ทราบว่าท่านหมอฉินพักอยู่ที่ไหน ให้ข้าส่งคนไปรับหรือไม่”
ฉินหลิวซีจ้องมองเขา
ฉีเชียนถูกจ้องมองจนใบหน้ารู้สึกร้อนผ่าว “มีอะไรหรือ”
“จวิ้นอ๋องเพียงแค่อยากมารับข้าเพื่อให้ไปรักษาอวี้ฉังคง หรืออยากรู้ว่าข้าพักอยู่ที่ไหน” สีหน้าของฉินหลิวซีแฝงไว้ซึ่งความหยอกล้อเล็กน้อย
ฉีเชียนรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย เชิดหน้าขึ้นพลางเอ่ยว่า “แน่นอนว่าต้องเพื่ออวี้ฉังคง หากท่านหมอฉินล้มเลิกรักษากลางคันขึ้นมาจะทำอย่างไร”
“ในเมื่อรับคนไข้มาแล้วจะล้มเลิกรักษากลางคันได้อย่างไร จะไม่เป็นการขัดต่อจรรยาบรรณแพทย์หรอกหรือ เช่นนี้ดีหรือไม่ หากข้ารักษาเขาหายดีแล้ว ในฐานะสหายรักเขาอย่างจวิ้นอ๋อง ก็ช่วยตอบแทนน้ำใจข้าเป็นอย่างไร”
“ตกลง” ทันทีที่ฉีเชียนเอ่ยคำนั้น เขาก็รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย อยากจะเอ่ยอะไรบางอย่างแต่ก็หยุดไป
ความจริงแล้วเขาไม่ได้หมายความเช่นนั้น
“หากไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ข้าก็ไม่ขอรบกวนการชมทิวทัศน์ของจวิ้นอ๋องแล้ว”
“คือว่า เสด็จย่าของข้าให้ข้ามาขอบคุณท่านสำหรับของขวัญตอบแทน ปิ่นไม้อันนั้นเสด็จย่าชอบมันมาก ตอนนี้เสด็จย่าปักปิ่นไม้อันนั้นทั้งกลางวันกลางคืน” ฉีเชียนเอ่ยอีกว่า “ข้าเองก็เคยเห็น ฝีมือการแกะสลักประณีตกว่ายันต์ของข้ามาก”
น้ำเสียงประชดประชันเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร
“ไม่จำเป็นต้องขอบคุณหรอก มันเป็นเพียงของขวัญตอบแทนสำหรับสิ่งที่พระชายาผู้เฒ่าประทานให้ พระชายาผู้เฒ่าชอบก็ดีแล้ว สำหรับงานแกะสลัก สิ่งของที่มอบให้กับผู้อาวุโสย่อมต้องใส่ใจอยู่แล้ว” ฉินหลิวซีหัวเราะเบาๆ “ข้าดูจากจุดสมรสกลางหว่างคิ้วของจวิ้นอ๋อง คาดว่าในเร็วๆ นี้จะมีสาวงามทำสิ่งที่ประณีตมาให้ท่าน”
ฉีเชียนตกตะลึง จุด จุดสมรส?
เขาเม้มริมฝีปาก เมื่อได้สติกลับมาอีกครั้ง เห็นว่าฉินหลิวซีเดินพ้นจากสายตาเขาไปแล้ว หันหลังพลางโบกมือให้เขา
ฉีเชียนยืนอยู่กับที่ด้วยอาการซึมๆ เล็กน้อย

เมื่ออวี้ฉังคงตื่นขึ้นก็รู้สึกสับสนเล็กน้อยอยู่ครู่หนึ่ง เขาอยู่ที่ไหน
ที่ปลายจมูกมีกลิ่นอ่อนๆ ของยา มีเสียงสวดมนต์ดังมาจากนอกเรือนไม่ไกลนัก
“ซื่อฟัง?”
ซื่อฟังที่เอนตัวพิงปลายเตียง กอดผ้าห่มบางๆ นอนหลับสนิท เมื่อได้ยินเสียงเรียกของเจ้านายก็ดีดตัวขึ้นอย่างกระตือรือร้น ถามด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยความสุข “คุณชาย ท่านตื่นแล้วหรือขอรับ”
อวี้ฉังคงลุกขึ้นนั่ง “ข้าหลับไปหรือ หลับไปนานแค่ไหนแล้ว”
ทำไมเขาถึงไม่รู้สึกอะไรเลย คิดว่าคงจะไม่นานนัก
ซื่อฟังเหลือบมองดูนาฬิกาทรายน้ำในห้อง เอ่ยว่า “คุณชาย ท่านหลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว ตอนนี้เป็นต้นยามเหม่า[1]ของวันที่สองแล้วขอรับ”
อวี้ฉังคงตกใจ ต้นยามเหม่าของอีกวัน เขาหลับไปนานเพียงนั้นแต่กลับไม่ฝันอย่างนั้นหรือ
“ท่านอาจารย์ปู้ฉิวผู้นี้เก่งเกินไปแล้ว สามารถทำให้ท่านหลับได้นานขนาดนี้ แล้วท่านก็ไม่ได้ตกใจตื่นเพราะความฝัน หลับดีตลอดคืน คุณชาย…”
อวี้ฉังคงได้สติกลับมา ได้ยินเสียงกลั้นร้องไห้สะอึกสะอื้นของบ่าวรับใช้ รู้สึกอยากหัวเราะเล็กน้อย “เจ้าร้องไห้ทำไม”
“บ่าวคิดว่าเป็นเรื่องที่หาได้ยาก หาได้ยากมากๆ คุณชายไม่ได้หลับอย่างสงบโดยที่ไม่ฝันร้ายมานานมากแล้ว บ่าวก็เลยตื้นตันใจขอรับ” ซื่อฟังทั้งหัวเราะทั้งร้องไห้ เช็ดน้ำตาที่หางตา เขาตัดสินใจแล้วว่าต่อไปนี้ท่านอาจารย์ปู้ฉิวคือบิดาแท้ๆ ของเขา!
อวี้ฉังคงลุกขึ้น เหยียดแขนขา ดวงตาของเขายังคงมืดมน แต่นี่เป็นครั้งแรกในรอบสิบปีที่เขารู้สึกว่าร่างกายของเขาผ่อนคลายและมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก
ท่านอาจารย์เพียงแค่ใช้การฝังเข็ม การนวดและการสวดมนต์ ใช่ว่าไม่เคยมีหมอคนไหนเคยฝังเข็มให้เขามาก่อน แต่กลับไม่ได้ผลดีเช่นนี้
“เชื่อข้า ในความฝันไม่มีอะไรทั้งนั้น”
จู่ๆ อวี้ฉังคงก็จำสิ่งที่อีกฝ่ายได้พูดก่อนที่สติของเขาจะดับลง
เป็นเช่นนั้นในความฝันไม่มีอะไรทั้งนั้น ไม่มีเลือดสีแดงสดที่เคยเห็นเมื่อหลับฝันเหมือนเมื่อก่อน ไม่มีเสียงกรีดร้องอย่างทรมาน ไม่มีภาพโหดร้ายที่ติดตา
อวี้ฉังคงถามว่า “ท่านอาจารย์ปู้ฉิวอยู่ที่ไหน”
“อ้อ เมื่อวานท่านอาจารย์บอกว่าอารามเต๋าอากาศหนาว พอคุณชายตื่นแล้วสามารถลงเขากลับจวนได้เลย เขาจะไปรักษาคุณชายที่จวนด้วยตัวเองจนกว่าคุณชายจะหายดีขอรับ” ซื่อฟังเดินเข้าไปจัดเสื้อผ้าให้พลางเอ่ยว่า “ลุงเฉียนไปขออาหารมังสวิรัติที่ห้องครัวแล้ว หลังจากทานอาหารเช้าแล้วพวกเราจะลงจากเขาขอรับ”
“อืม”
ในเวลานี้ลุงเฉียนกลับมาจากครัวอารามเต๋าพร้อมกับซาลาเปามังสวิรัติสองสามจานและโจ๊กเปล่าสองสามชามในมือ เมื่อเห็นว่าอวี้ฉังคงตื่นแล้วก็รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก คำพูดยกยอปอปั้นฉินหลิวซีเต็มไปด้วยความรู้สึกขอบคุณ
ต่อให้ฉินหลิวซีไม่สามารถรักษาโรคตาของคุณชายได้ แต่เพียงแค่ทำให้เขานอนหลับได้อย่างสนิทก็นับว่าดีมากแล้ว
“ท่านอาจารย์ปู้ฉิวดูๆ แล้วอายุยังน้อย แต่วิชาแพทย์กลับเก่งกาจเช่นนี้ คุณชาย บ่าวรู้สึกว่าครั้งนี้แตกต่างจากหมอชื่อดังอย่างเมื่อก่อนจริงๆ ขอรับ” ลุงเฉียนเอ่ยอย่างตื่นเต้น “บางทีดวงตาของท่านอาจรักษาได้หายขาดจริงๆ ขอรับ”
อวี้ฉังคงกัดซาลาเปามังสวิรัติหนึ่งคำแล้วกลืนลงไป เอ่ยว่า “ลุงเฉียน เรื่องที่ข้าขอรับการรักษาโรคตากับท่านอาจารย์ปู้ฉิวให้ปิดเป็นความลับ อย่าให้แพร่กระจายออกไป”
ลุงเฉียนกับซื่อฟังต่างตกตะลึงทั้งคู่
“หมายความว่าคุณชายไม่ต้องการให้ผู้อื่นรู้ แล้วทางด้านผู้อาวุโสล่ะขอรับ”
อวี้ฉังคงพยักหน้า “ก็ปิดบังด้วยเช่นกัน”
“คุณชาย…”
“ตระกูลอวี้ไม่ใช่ตระกูลอวี้ในเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว” อวี้ฉังคงเอ่ยด้วยความเย็นชา “นี่คือสิ่งที่ท่านพ่อข้าพูดตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ได้รับการยกย่องจากใต้หล้ามากเกินไปจนบางคนไม่รู้ถึงสถานะของตัวเอง คิดว่าตระกูลอวี้เป็นเทพเจ้าจากสวรรค์ เกรงว่าเป็นเพราะท่านพ่อข้าเห็นความผุพังข้างในจึงอยากจะหนี ข้าสงสัยว่าเป็นเพราะเหตุนี้หรือไม่จึงทำให้ถูกฆ่าเช่นนั้น เทพเจ้าไม่มีทางปล่อยให้ผู้คนหลุดพ้นจากพันธนาการโดยง่ายหรอก”
ลุงเฉียนตกตะลึง เอ่ย “คุณชาย หรือว่าท่านสงสัยในตระกูล…”
“หลังจากตาบอดมาสิบปี ข้าได้ ‘มองเห็น’ ผู้คนรอบตัวได้ชัดเจนยิ่งขึ้น” คำพูดของอวี้ฉังคงแฝงไว้ซึ่งความเสียดสี เอ่ยว่า “ข้าอยากจะหาคนผู้นั้นให้เจอแล้วบอกกับวิญญาณของท่านพ่อและท่านแม่ของข้าบนสวรรค์ เมื่อดวงตาของข้ากลับมามองเห็นได้เหมือนเดิมก็คงสะดวกขึ้นบ้าง”
ลุงเฉียนพยักหน้าด้วยสีหน้าชื่นชม เอ่ย “คุณชายคิดได้เช่นนี้ก็ดีแล้วขอรับ”
ซื่อฟังเช็ดน้ำตาที่หางตา ในที่สุดคุณชายของเขาก็กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ไม่ได้ไร้ชีวิตชีวาเหมือนแต่ก่อน
อวี้ฉังคงคลำหาถ้วยโจ๊ก ยกขึ้นมาดื่มหมดในคราวเดียว สายตาว่างเปล่า หากดวงตาคู่นี้สามารถมองเห็นแสงสว่างได้อีกครั้ง เช่นนั้น…
ก็กลับมามีชีวิตอีกครั้ง
[1] ยามเหม่า คือ ช่วงเวลาระหว่าง 05:00 น. – 07:00 น.