ตอนที่ 83 ธารน้ำแข็งและเปลวไฟ
หลังจากการหารือระหว่างมู่เถาเยากับแพทย์และนักศึกษาแพทย์ทั้งหลายจบลง ทุกคนก็เห็นพ้องต้องกันว่าวิธีที่ปลอดภัยที่สุดและมีประสิทธิภาพมากที่สุดในการรักษาโรคประหลาดของตี้อู๋เปียนก็คือการใช้ทักษะศักดิ์สิทธิ์โบราณหุยหยาง
เพราะนอกจากวิธีนี้ พวกเขาก็หาหนทางอื่นไม่เจอแล้วจริงๆ
ก่อนหน้านี้แม้แต่ตรวจหาสาเหตุของโรคพวกเขายังหาไม่พบ ได้แต่ปล่อยให้อวัยวะภายในและกล้ามเนื้อแก่ตัวลงทุกวันโดยทำอะไรไม่ได้เลย
การที่ต้องใช้ชีวิตอย่างคนแก่ที่ต้องเข้านอนแต่หัวค่ำและตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อให้นอนหลับอย่างเพียงพอ กินอาหารที่มีโซเดียมต่ำ ไขมันต่ำ น้ำตาลต่ำ กินผักและผลไม้ให้มากขึ้น รับประทานโสม พุทรา และผลเบอร์รี่ทุกวันเพื่อช่วยบำรุงร่างกายและเลือด เพื่อช่วยชะลอวัย พวกเขาจินตนาการไม่ออกเลยว่ามันจะทุกข์ทรมานขนาดไหน
แต่ถึงกระนั้น ร่างกายของเขาก็ยังแย่ลงทุกปี
ร่างกายเขา เมื่อหนึ่งเดือนก่อนที่จะได้พบกับมู่เถาเยาและได้เธอใช้ทักษะหุยหยางฝังเข็มให้ อ่อนแอแทบไม่ต่างอะไรกับเปลวเทียนท่ามกลางสายลม แต่หลังจากรับการรักษาจากเธอเพียงหนึ่งเดือนกว่าๆ แม้จะไม่เด่นชัดนัก แต่ร่างกายของเขาก็แข็งแรงขึ้น การกระตุ้นโดยการฝังเข็มและแช่น้ำยาสมุนไพรของมู่เถาเยามันได้ผลจริงๆ
ในฐานะผู้ป่วย ตี้อู๋เปียนรู้ดีกว่าใครทั้งหมดถึงความมหัศจรรย์ของทักษะฝังเข็มของสำนักแพทย์โบราณนี้
ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีความรู้ทางการแพทย์ เขาแค่ไม่ได้ฝึกฝน ดังนั้นเขาจึงเข้าใจทุกคำที่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนกำลังพูดอยู่ในขณะนี้
หลังจากปรึกษาหารือเกี่ยวกับวิธีการรักษาแล้ว ต่อไปก็เป็นตำรับยาที่จะต้องใช้
“ซาลาเปาน้อย คนของฉันไปสืบมาแล้วนะว่าที่แถบชายแดนตะวันตก ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งเคยมีหมอหญิงเดินเท้าคนหนึ่งพูดถึงดอกไม้สองชีวิตและหญ้าพิษชีวิตกับหมอเทวดาปาถิง”
“อื้ม ฉันรู้แล้วค่ะ เพียงแต่ที่อยู่ของหมอหญิงคนนั้นไม่แน่นอน ไม่ใครรู้ว่าเธอมาจากไหนและจะไปที่ไหน คนของคุณสืบรู้ชื่อของเธอหรือเปล่า”
เธอมีความรู้สึกอย่างแรงกล้าว่าคนคนนั้นจะต้องเป็นอาจารย์ของเธออย่างแน่นอน
น่าเสียดายที่เธอไม่พบข้อมูลของคนที่ชื่อลู่จือฉินในฐานข้อมูลเลย ไม่ว่าจะตรวจสอบกี่ครั้ง ก็หาชื่อที่ตรงกันนี้ไม่พบ
เธอกับแม่ของเธอล้วนใช้ชื่อเดิม ดังนั้นอาจารย์น่าจะเป็นเหมือนกันใช่ไหม
แม่ของเธอมาที่นี่เมื่อตอนที่ร่างนี้อายุยี่สิบปี ส่วนเธอก็มาที่นี่ตอนร่างนี้เพิ่งเกิด ไม่รู้ว่าสถานการณ์ทางด้านอาจารย์นั้นเป็นอย่างไรบ้าง แต่คิดว่าเธอต้องกลายเป็นแพทย์ที่มีชื่อเสียงอย่างแน่นอน
สิ่งที่เธอกลัวคือ อาจารย์จะกลายเป็นทารกหรือเด็ก แบบนั้นเธอจะไม่สามารถแสดงทักษะทางการแพทย์ของเธอได้เร็วๆ นี้ ดังนั้นการจะหาเธอให้พบ คงไม่ต่างอะไรกับการงมเข็มในมหาสมุทร
การที่เธอได้รับการขนานนามว่าเป็นหมอเทวดาน้อย ล้วนเพราะได้รับอานิสงส์จากสถานะลูกศิษย์ของหมอเทวดาหยวน
ท้ายที่สุดแล้วมีอัจฉริยะในทุกแขนงในโลกนี้ ดังนั้นย่อมไม่มีใครสงสัยอะไร
คนที่รู้เรื่องเกี่ยวกับดอกไม้สองชีวิตและหญ้าพิษชีวิตนั้นมีไม่มาก แต่เธอเองก็ไม่กล้าฟันธงว่าหมอหญิงคนนั้นคืออาจารย์ของเธอ อย่างไรเสียคนของสำนักแพทย์โบราณเองก็เคยครอบครองดอกไม้สองชีวิตมาก่อนเหมือนกัน
ดังนั้น เธอจึงเพียงสังหรณ์ใจว่าหมอหญิงคนนั้นคืออาจารย์ แต่ไม่กล้าฟันธงว่าเป็นอาจารย์อย่างแน่นอน
อาจารย์เสียชีวิตก่อนเธอ ดังนั้นตามหลักเหตุผลแล้วเธอควรจะมาถึงที่นี่ก่อน
มีโอกาสครึ่งหนึ่งที่หมอหญิงคนนั้นจะเป็นอาจารย์ของเธอจริงๆ
มู่เถาเยาเป็นคนมีเหตุผล เธอจะไม่ตัดสินอะไรเพียงเพราะสัญชาตญาณเพียงอย่างเดียว เธอจะยืนยันพวกมันทั้งหมดหลังจากรวบรวมข้อมูลครบแล้วเท่านั้น
อาจารย์คงไม่คาดคิดว่าพวกเธอแม่ลูกจะมาที่โลกนี้ด้วย อย่างไรเสียก่อนที่เธอจะได้พบแม่ มู่เถาเยาก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อน นี่เป็นเรื่องที่ท้าทายสวรรค์มากเกินไป หากไม่ได้ประสบด้วยตัวเอง แม้แต่จินตนาการเธอยังไม่กล้าด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการออกตามหาคน
ในเมื่อวิธีการออกไปตามหาอาจารย์อาจไม่ได้ผล เธอก็จะสร้างชื่อเสียงของตัวเองให้ระบือลือลั่น ปีนขึ้นไปอยู่บนจุดสูงสุดของพีระมิดในอุตสาหกรรมนี้เพื่อที่อาจารย์จะได้จำเธอได้อย่างรวดเร็ว
ตี้อู๋เปียนส่ายหัวและพูดว่า “ไม่มีใครรู้จักชื่อของเธอ คนอื่นๆ ในหมู่บ้านล้วนเรียกเธอว่าหมอ แต่ฉันได้สั่งให้คนตามเส้นทางที่เธอจากไปแล้ว ทั้งยังสั่งให้พวกเขาสเก็ตซ์ภาพเหมือนของเธอมาด้วย พวกเราอาจได้รูปเหมือนของเธอในเร็วๆ นี้”
“อื้ม” เมื่อมีรูปเหมือนการตรวจสอบก็จะง่ายขึ้นเยอะ
แม้ว่าโลกนี้จะมีประชากรราวสามหมื่นล้านคน แต่คนที่มีใบหน้าคล้ายกันก็มีอยู่ถมไป อย่างไรก็ตามเบาะแสที่เพิ่มขึ้นจะช่วยทำให้คัดกรองและทราบผลได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
ไม่มีชื่อ ไม่รู้หน้าตา แถมยังไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากไหน หมู่บ้านเล็กๆ ในชนบทนั้นเองก็ไม่มีกล้อง การตามหาคนโดยที่ไม่มีอะไรเลยแบบนี้ ไม่ต้องสงสัยเลย คงจะยากเหมือนการงมเข็มในมหาสมุทรจริงๆ
หากในท้ายที่สุดแล้วหมอหญิงเท้าเปล่าคนนั้นไม่ใช่อาจารย์ของเธอ อย่างนั้นการที่เธอรู้จักชื่อดอกไม้สองชีวิตและหญ้าพิษชีวิตก็คุ้มค่าพอแล้วที่จะออกตามหา เพราะทักษะทางการแพทย์ของเธอต้องไม่ใช่ธรรมดาแน่ๆ
ถอยหลังกลับไปอีกหนึ่งก้าว แม้ว่าทักษะทางการแพทย์ของเธอจะไม่ดี แต่ตระกูลของเธอต้องไม่ใช่เล่นๆ ไม่อย่างนั้นเธอจะรู้จักดอกไม้สองชีวิตและหญ้าพิษชีวิต สองสมุนไพรในตำนานนี้ได้ยังไง
ตระกูลเย่ว์ ตระกูลตี้ สำนักแพทย์โบราณ และตระกูลซย่าโหว ทั้งหมดล้วนมีประวัติตระกูลที่ยาวนานมากกว่าหลายหมื่นปี ตระกูลที่อยู่ภายนอกย่อมมีอีกหลายตระกูลที่มีประวัติอันยาวนานเหมือนกัน
ปาอิน “งั้นระหว่างที่พวกเราตามหาหมอหญิงเดินเท้าคนนั้น เราก็ตามหาเบาะแสของสมุนไพรในตำนานไปด้วยเลยดีไหม”
คนตระกูลตี้มองไปที่คนตระกูลเย่ว์ด้วยความประหม่าในใจ
คนตระกูลเย่ว์ “…”
ปาอินเกาหัวของเธอด้วยความสงสัยว่า “หนูพูดอะไรผิดเหรอคะ”
คนตระกูลตี้มองไปที่มู่เถาเยาอีกครั้ง
มู่เถาเยา “…อาคะ ภูเขาเทพจันทรามีสภาพยังไงหรอคะ”
เย่ว์เลี่ยง “ครึ่งหนึ่งเป็นธารน้ำแข็ง ส่วนอีกครึ่งเรียกว่าจมกองเพลิงคงได้”
ทุกคน “…!!!”
เปลวไฟและน้ำแข็งสามารถอยู่ในที่เดียวกันได้? นี่…พวกเขาข้ามมิติมาอยู่ในโลกแฟนตาซีแล้วหรือไง
“มีพืชขึ้นอยู่บนนั้นบ้างหรือเปล่าคะ”
“มีสิ มีพืชอยู่ชนิดหนึ่งที่ขึ้นเต็มพื้นที่ระหว่างเปลวไฟและธารน้ำแข็ง ด้านที่อยู่ฝั่งเปลวไฟนั้นเป็นสีแดงสด ส่วนด้านที่อยู่ฝั่งธารน้ำแข็งเป็นสีขาวเหมือนกับหิมะ”
ทุกคน “…!!!”
“อาคะ อารู้ชื่อทางวิทยาศาสตร์ของพืชสองชนิดนี้หรือเปล่า นอกจากสีแล้ว ยังมีอะไรที่แตกต่างออกไปอีกไหมคะ”
นี่มันแปลกใหม่มาก!
อยากรวบรวมเอามาวิจัยจังเลย!
“นอกจากสี พวกมันล้วนเหมือนกันทุกประการ เราเลยเรียกมันว่า ‘เพลิงชาด’ กับ ‘ธารหิมะ’
ทุกคน “…!!!”
พืชที่สามารถเติบโตบนพื้นที่ที่มีแต่เปลวเพลิงและธารน้ำแข็งหนาวเหน็บได้นั้นต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ ใช่ไหม ชื่อธรรมดาดาษดื่นที่พวกคุณตั้งไม่คิดว่ามันเป็นการดูถูกความยิ่งใหญ่ของพืชทั้งสองชนิดนี้มากเกินไปหน่อยเหรอ!
พวกเขาเรียกมันตรงๆ ตามสถานที่กำเนิดและสีเลย
“ภูเขาเทพจันทรามีเพียงสายเลือดตระกูลเย่ว์เท่านั้นที่จะเข้าไปได้และกลับออกมาอย่างปลอดภัย นี่เป็นคำพูดที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษและมันก็เป็นความจริง” ปู่เย่ว์รู้สึกหดหู่เล็กน้อย
ปาอิน “แต่ปู่ของหนูไม่ใช่ว่าก็เคยเข้าไปในภูเขาเทพจันทราเหรอคะ”
“ใช่ และก็เพราะปาถิงไปที่นั่น เขาจึงถึงแก่กรรมในอีกหนึ่งปีต่อมาทั้งๆ ที่เขาเองก็มีสุขภาพที่ดีอยู่เสมอ ถ้าเขาไม่เข้าไปที่ภูเขาเทพจันทรา เขาอาจจะยังมีชีวิตอยู่และกระโดดโลดเต้นอย่างแข็งแรงอยู่ในตอนนี้”
สองพี่น้องตระกูลปา “…”
“ต้องโทษฉัน ทั้งหมดเป็นความผิดของฉันเองที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของบรรพบุรุษและปล่อยให้ปาถิงเข้าไปศึกษา เพลิงชาด กับ ธารหิมะ” ปู่เย่ว์พูดด้วยความรู้สึกเสียใจอย่างถึงที่สุด
มู่เถาเยา “ปู่คะ สาเหตุการตายของหมอเทวดาปาถิงคืออะไรเหรอคะ”
“อวัยวะภายในล้มเหลว เป็นเพราะฉันไม่ปฏิบัติตามกฎที่บรรพบุรุษตั้งไว้ ปาถิงก็เลยต้องจากไปก่อนเวลาอันควร ตระกูลเย่ว์ของเราขอโทษพวกเธอตระกูลปาจากใจจริง”
ปาเฝ่ย “ปู่เย่ว์ ปู่คิดมากเกินไปแล้วครับ ด้วยนิสัยของปู่ผมคุณน่าจะรู้ว่าเขาเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับสิ่งที่ไม่รู้จักและพร้อมที่จะจ่ายสิ่งใดก็ตามเพื่อให้ได้ศึกษาพวกมัน ยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีอะไรพิสูจน์ว่าสาเหตุที่อวัยวะภายในของปู่ล้มเหลวเป็นเพราะเขาเข้าไปในภูเขาเทพจันทรา”
ปาอินพยักหน้า “เป็นเรื่องปกติที่คนที่มีสุขภาพแข็งแรงดีคนหนึ่งจะป่วยกะทันหัน ยิ่งกว่านั้น หนึ่งปีหลังจากที่เขากลับออกมา เป็นเพราะโรคภัยไข้เจ็บเขาถึงได้จากไป”
คนเป็นแพทย์รู้เรื่องพวกนี้ชัดเจนที่สุด ดังนั้นสองพ่อลูกเฉิงหราน อาจารย์อาเล็ก และไป๋เฮ่าอวี๋จึงพยักหน้าเห็นด้วย
ปู่เย่ว์จะไม่เข้าใจสามัญสำนึกพื้นฐานพวกนี้ได้อย่างไร เพียงแต่ภูเขาเทพจันทราก็ป็นสถานที่ต้องห้ามของเผ่าหมาป่าพระจันทร์จริงๆ !
โดยเฉพาะสาเหตุที่พวกมันถูกห้าม คำตอบนั้นได้สูญหายไปนานแล้วในหลายชั่วอายุคนที่ผ่านมา
เขาคิดว่ามันเป็นเพราะอันตรายจากธารน้ำแข็งและเปลวไฟ สภาพแวดล้อมสองขั้วที่แตกต่างกันมากเกินไป ดังนั้นแค่ระวังสักหน่อยก็ไม่มีปัญหาแล้ว
แต่ผลลัพธ์ที่ตามมา…เขาเข้าใจเหตุผลพวกนี้หลังจากที่ปาถิงต้องสังเวยชีวิตของเขา
ปู่เย่ว์ถอนหายใจอย่างหนัก
ตลอดทั้งชีวิตมีสามสิ่งในใจเขาที่เป็นปมซึ่งอาจไม่มีวันแก้ได้ หนึ่งคือการหายตัวไปของเย่ว์จืออิ๋งหลานสาวตัวน้อยของเขา สองคือการแต่งงานของเย่ว์เลี่ยง และสุดท้ายก็คือการตายของปาถิงผู้เป็นดั่งสหายรัก
ปมแรก พวกเขาจะได้ข้อสรุปหลังจากจับตัวผู้กระทำความผิดได้
ปมที่สอง ยังมีเวลาเหลืออยู่อีกมาก ค่อยๆ เกลี้ยกล่อมไปลูกสาวอาจเปลี่ยนใจในสักวันหนึ่ง ท้ายที่สุดแล้วมนุษย์ก็มีความเป็นไปได้ไม่สิ้นสุด
ทว่าปมสุดท้าย…