ตอนที่ 47 ค้นพบ
เช้าตรู่ เฉียวเวยควานหาตัวลูกๆ อย่างสะลึมสะลือแล้วพบว่าเหลือเด็กเพียงคนเดียว นางตกใจมากจนกระเด้งตัวลุกขึ้นนั่ง! เมื่อกวาดสายตามองหาจึงเห็นลูกชายแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย กำลังนั่งอ่านตำราอยู่ริมหน้าต่าง

แสงแดดอ่อนยามเช้าส่องผ่านม่านกระดาษตกลงกระทบตัวเขา แผ่นหลังเล็กๆ เหยียดตรง สีหน้าจริงจัง เสื้อผ้าคุณภาพต่ำมิอาจลดทอนกลิ่นอายความสูงส่งที่แผ่ออกมาจากตัวเขา นั่นเป็นสิ่งที่แผ่ออกมาจากตัวตนด้านใน

จู่ๆ เฉียวเวยก็เริ่มสงสัยว่าบิดาของเด็กคนนี้คือผู้ใด เขาจะรูปงามเก่งกาจเหมือนกันหรือไม่ แล้วเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ หากเป็นบุรุษสูงส่งสักคนผู้มิทราบว่ามีนางกับลูกอยู่บนโลก ถ้าหาเขาพบ ได้รู้จักเขา นางกับลูกก็คงมีชีวิตสมบูรณ์พูนสุข…

ทว่าดูจากชีวิตอันรันทดสองชาติภพ เฉียวเวยรู้สึกว่าความน่าจะเป็นที่สิ่งดีๆ จะเกิดกับนางต่ำยิ่งกว่าการถูกหวย

หลังจากเฉียวเวยอาบน้ำเสร็จ นางก็ทำอาหารเช้าให้เด็กๆ มีบะหมี่เนื้อและไข่ต้มใบชา ทานอาหารเสร็จแล้ว นางจึงไปต้มยา

วั่งซูอาการไม่น่าเป็นห่วงจึงไม่ต้องดื่มยาแล้ว ยานี้เป็นของจิ่งอวิ๋น

จิ่งอวิ๋นกินยาอย่างว่าง่าย

สำนักศึกษาของซิ่วไฉเฒ่าเปิดเรียนวันที่สิบห้าเดือนหนึ่ง ก่อนถึงวันนั้นทั้งจิ่งอวิ๋นและวั่งซูต้องทบทวนตำราเองที่บ้าน

เฉียวเวยทำงานบ้านเสร็จแล้วก็หยิบตำราแพทย์ ‘หวงตี้เน่ยจิง’[1] และตำรา ‘หนันจิง’[2] ออกมาศึกษาด้วยตนเอง

ช่วงก่อนหน้านี้นางมักเปิดอ่านตำราของลูกชายจึงรู้ตัวอักษรเพิ่มขึ้นไม่น้อย แต่หากต้องการอ่านตำราแพทย์อันลึกซึ้งให้เข้าใจ รู้เท่านี้ยังไม่เพียงพอ

“น่าจะซื้อพจนานุกรมมาสักเล่ม” นางถอนหายใจ

จิ่งอวิ๋นกะพริบตาถามว่า “พจนานุกรมคือสิ่งใดขอรับ”

“มันคือตำราที่บอกเสียงอ่านและความหมายของคำศัพท์”

“ท่านแม่หมายถึงสิ่งนี้หรือ” จิ่งอวิ๋นหยิบตำรา ‘อักขราภิธาน’[3] ออกจากกระเป๋าเรียน

เฉียวเวยตกใจ “เหตุใดลูกจึงมีตำราเล่มนี้”

จิ่งอวิ๋นตอบว่า “ท่านอาจารย์ให้มาขอรับ”

เฉียวเวยเปิดดูพลางถามว่า “ทุกคนก็ได้เหมือนกันหรือ”

จิ่งอวิ๋นส่ายศีรษะ

ความจริงแล้วบัณฑิตเฒ่าค่อนข้างตระหนี่ถี่เหนี่ยว เขาไม่เคยให้ผู้ใดแตะต้องตำราของเขา ครั้งหนึ่งเถี่ยหนิวบังเอิญทำน้ำชาหกใส่ตำราของอาจารย์ ถูกอาจารย์ลงโทษให้ยืนตลอดทั้งคาบเรียน เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดท่านอาจารย์จึงแอบมอบตำราให้เขา

“ท่านอาจารย์ชอบข้ามาก” เขากล่าวเสริม

เฉียวเวยพยักหน้ายิ้มละไม “เจ้าเป็นเด็กเรียน เขาต้องชอบเจ้าอยู่แล้ว”

“เด็กเรียนคือสิ่งใดขอรับ” จิ่งอวิ๋นถามด้วยความสงสัย

เฉียวเวยอธิบายว่า “คือลูกศิษย์ผู้สอบได้อันดับหนึ่งเสมอ”

“อ้อ ถ้าเช่นนั้นอันดับสุดท้ายเล่า”

“เด็กกาก”

ท่านอาจารย์ชอบเขาเพราะเขาเป็นเด็กเรียน แต่น้องสาวเป็นเด็กกาก เหตุใดท่านอาจารย์จึงชอบนางมากเหมือนกัน

จิ่งอวิ๋นรู้สึกสับสนมาก

หลังอาหารมื้อกลางวัน เฉียวเวยก็พาเด็กๆ ไปที่นาสิบหมู่ฝั่งตะวันออกของหมู่บ้าน

ใกล้ถึงฤดูใบไม้ผลิแล้ว นางอยากปลูกข้าวเร็วๆ ถึงรายได้จากการขายขนมจะมั่นคง แต่ไม่พอจุนเจือทั้งครอบครัว ลูกล้มป่วยครั้งเดียวใช้เงินกว่าสี่สิบตำลึง เกรงว่าอาศัยเงินจากการขายขนมอย่างเดียวคงมีเงินไม่พอใช้

นางต้องคิดหนทางหาเงินเพิ่ม ที่ดินผืนนี้ไม่เก็บค่าเช่า หากเพาะปลูกให้ดีจะต้องสร้างรายได้มากมายแน่นอน

นางเดินเข้าไปในหมู่บ้านเหมือนเช่นเคย แต่ไม่รู้ว่านางคิดไปเองหรือไม่ นางรู้สึกว่าแววตาที่ทุกคนมองนางแปลกพิกล คล้ายกับว่า…มีความระแวดระวังและความหวั่นเกรงแฝงอยู่

เถี่ยหนิวกำลังนั่งยองๆ เล่นกับลูกสุนัขอยู่หน้าประตู เมื่อพวกเขาสามคนเดินไปทางนั้นก็รีบอุ้มสัตว์เลี้ยงของตนมาอวดกับจิ่งอวิ๋น “ข้าก็มีสุนัขแล้ว! สีขาวเหมือนกัน! ตัวใหญ่กว่าของเจ้าอีก! สวยกว่าของเจ้าด้วย!”

ผัวะ!

น้าหลิวรีบวิ่งออกจากบ้านแล้วตบกะโหลกของลูกชายหนึ่งฝ่ามือ นางถลึงตามองเฉียวเวยจากไกลๆ จากนั้นลากเถี่ยหนิวเข้าบ้าน ท่าทางทั้งรังเกียจและหวาดกลัว

เฉียวเวยหันไปมองชาวบ้านที่เหลือ พวกเขาลากเก้าอี้กลับเข้าบ้าน

จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูมองมารดาตาปริบๆ เฉียวเวยไม่รู้จะอธิบายกับลูกทั้งสองคนเช่นไร จึงลูบศีรษะแล้วกล่าวเบาๆ ว่า “ไปกันเถิด”

“ไปไหนหรือ”

จู่ๆ เสียงของซิ่วไฉเฒ่าก็ดังมาจากข้างหลัง ทั้งสามหันกลับมาพร้อมกัน

ซิ่วไฉเฒ่าเดินมาหยุดตรงหน้า แล้วยกมือแตะหน้าผากของเจ้าซาลาเปาน้อย “อืม ตัวไม่ร้อนแล้ว แต่จิ่งอวิ๋นยังมีผื่นอยู่”

“ใกล้หายแล้วขอรับท่านอาจารย์” จิ่งอวิ๋นตอบ

ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยด้วยท่าทางเคร่งขรึม “เช่นนั้นก็ดีแล้ว ดูสิหลายวันนี้มารดาของพวกเจ้าเหน็ดเหนื่อยจนหน้าซูบตอบหมดแล้ว!” เทศกาลวันตรุษผู้อื่นล้วนอวบอ้วนขึ้น แต่คุณหนูใหญ่กลับผอมลง ไม่รู้ว่าเขาจะพูดเช่นไรดี

เมื่อเห็นว่าเขาไม่หลบเลี่ยงพวกนางเหมือนชาวบ้านคนอื่น เฉียวเวยก็โล่งใจเล็กน้อย ครั้นได้ยินเขากล่าวอย่างเป็นห่วงเป็นใยตนเช่นนี้ นางพลันรู้สึกอบอุ่นอย่างหักห้ามมิได้ “ท่านบัณฑิต”

ซิ่วไฉเฒ่ามองนางอย่างเห็นอกเห็นใจ อยากถามนางเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในเมือง แต่ก็รู้สึกว่าไม่เหมาะที่จะพูดเรื่องนี้ต่อหน้าเด็ก เขาจึงกระแอมในลำคอแล้วพูดว่า “เจ้าอยากไปดูที่นาตรงนั้นหรือ ข้าจะพาเจ้าไป จะได้ไม่หลงทาง”

กลัวว่านางจะหลงทางคือคำโกหก แต่ความรู้สึกปวดใจที่เห็นนางหัวเดียวกระเทียมลีบเป็นความจริง ชาวบ้านคงรู้เรื่องที่นางกลายเป็นอริกับหัวหน้าพรรคชิงหลงแล้ว พวกเขาหลีกเลี่ยงนางดั่งโรคระบาดด้วยกลัวว่าจะมีภัยมาถึงตัว มีเพียงซิ่วไฉผู้เคยสนทนากันไม่กี่ประโยคคนนี้ที่เข้ามาหานางอย่างไม่กลัวตาย

แม้นางไม่ต้องการความเห็นอกเห็นใจจากผู้ใด แต่นางย่อมทะนุถนอมน้ำใจของผู้อื่น

เฉียวเวยพยักหน้าขอบคุณ “ลำบากท่านบัณฑิตแล้ว”

คนสี่คนกับเพียงพอนหนึ่งตัวเดินทางมายังทุ่งร้างทางตะวันออกของหมู่บ้าน หิมะยังไม่ละลาย หิมะในท้องนากองเป็นก้อนประหนึ่งเมฆขาวที่ลอยอยู่บนฟ้า คูน้ำแข็งที่เลื้อยผ่าน ‘เมฆขาว’ บนผืนดินรกร้างว่างเปล่า แลดูเปล่าเปลี่ยวและน่าตื่นตาในเวลาเดียวกัน

“ที่นี่แหละ” ซิ่วไฉเฒ่ายืนอยู่บนคันนา ชี้ทุ่งนาที่มองไม่เห็นสุดปลายแล้วพูดว่า “มันดูใหญ่มากใช่หรือไม่ แต่ปลูกสิ่งใดก็ตายหมด ข้ากลับมาหมู่บ้านแห่งนี้เมื่อสิบสี่ปีก่อน ยามนั้นข้าถือดีว่าร่ำเรียนหนังสือมา มีความอดทนมากกว่าพวกเขาจึงขอที่นาแปลงนี้มา ทว่าเพาะปลูกอยู่สามปี กลับปลูกข้าวไม่ได้สักเมล็ด ถ้าหญิงแซ่หลิวไม่ถูกเจ้าหนี้บีบจนหมดหนทางก็คงไม่ขอนาผืนนี้จากหัวหน้าหมู่บ้าน คาดไม่ถึงว่าสุดท้ายกลับมาตกอยู่ในมือเจ้า เชื่อข้าสักคำ อย่าปลูกเลย”

เฉียวเวยปล่อยเด็กๆ ไว้บนคันนาแล้วเดินลงไปในแปลงนาด้วยตัวเอง “มันปลูกสิ่งใดไม่ขึ้นตั้งแต่แรกเลยหรือ”

ซิ่วไฉเฒ่าส่ายศีรษะ “จะว่าเช่นนั้นก็มิใช่ สมัยข้ายังเด็ก ข้าเคยเห็นที่ผืนนี้ให้ผลผลิตมากมาย แต่ด้วยเหตุใดไม่ทราบ มันจึงกลายเป็นที่ร้างเช่นนี้”

“ท่านเคยปลูกสิ่งใดบนนาผืนนี้บ้าง” เฉียวเวยถาม

ซิ่วไฉเฒ่าตอบว่า “ข้าวสาลี ถั่วเหลือง ข้าว ต้นฝ้าย ข้าวโพด…ปลูกทุกสิ่งที่ปลูกได้”

“ไม่รอดสักอย่างเลยหรือ” เฉียวเวยสงสัย

ซิ่วไฉเฒ่าทบทวนความทรงจำ “หลายปีก่อนข้าเคยปลูกข้าวโพด รอดมาได้หลายต้นอยู่ แต่ผลผลิตเพียงไม่กี่ต้นนั่นแลกเนื้อสักมื้อยังไม่ได้ ข้าขาดทุนยิ่งนัก!” ซิ่วไฉเฒ่าถอนหายใจแล้วเดินเข้ามาในแปลงนา

เฉียวเวยย่อตัวลงมานั่ง แล้วดึงวัชพืชต้นกระจ้อยออกมาจากดิน

ซิ่วไฉเฒ่ารีบบอกว่า “ใช่แล้วยังมีอีกเรื่อง ทั้งที่พืชผลไม่โต แต่ต้นหญ้ากลับงอกงามนัก!”

“ต้นหญ้าเติบโตได้ ย่อมบ่งบอกว่าที่ผืนนี้มิใช่ผืนดินตาย มันยังเพาะปลูกได้” เฉียวเวยยกต้นหญ้าขึ้นมาจ่อปลายจมูกแล้วดมกลิ่น “นี่ไม่ใช่หญ้า แต่เป็นผักป่า ข้าเคยกินตอนสมัยยังเด็ก”

ซิ่วไฉเฒ่าตะลึงงัน ไม่ใช่กระมัง คุณหนูจวนเอินปั๋ว…เคยกินผักป่าสมัยยังเด็กด้วยหรือ หลังจากสิ้นท่านเจิงปั๋วกับฮูหยิน พวกเรือนรอง เรือนสามทำอันใดกับคุณหนูกันแน่!

เฉียวเวยกัดคำหนึ่ง “ต้นเจี่ยนเผิง”

“เจี่ยนเผิงหรือ” ซิ่วไฉเฒ่าไม่เคยได้ยินชื่อผักป่าชนิดนี้

เฉียวเวยใช้นิ้วแตะดินเล็กน้อยขึ้นมาชิมด้วยปลายลิ้น แล้วถามเหมือนคิดบางสิ่งขึ้นมาได้ “ท่านบัณฑิต เคยมีคนปลูกข้าวฟ่างที่นี่มาก่อนหรือไม่”

“ไม่มี” ซิ่วไฉเฒ่าส่ายศีรษะ

“เข้าใจแล้ว” เฉียวเวยปัดเศษดินที่ติดมือออก แล้วยิ้มแย้มอย่างมีความสุข “ข้ารู้แล้วว่าทำไมพืชเหล่านั้นถึงปลูกไม่ขึ้น ดินที่นี่เป็นดินเค็ม มีความเป็นด่างสูง ‘ดินทรายย่อมมีหม่าเหลี่ยน ดินเค็มย่อมมีเจี่ยนเผิง’ มีต้นเจี่ยนเผิงงอกขึ้นมามากมายขนาดนี้ เห็นชัดว่ามีเกลือสูงมาก ปริมาณเกลือมากส่งผลต่อการเจริญเติบโตตามปกติของพืชพันธุ์ เป็นสาเหตุให้ทุกคนปลูกอะไรก็ตายหมด แต่ข้าวโพดมีความทนทานต่อเกลือมากกว่าพืชผลทั่วไปจึงโชคดีรอดมาได้หลายต้น”

ซิ่วไฉเฒ่าถามอย่างประหลาดใจ “เจ้า…เจ้าทราบได้เช่นไร”

นั่นก็เพราะว่าเนินเขาด้านหลังสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่นางเติบโตมาเป็นเนินเขาดินเค็ม!

ดินเค็มเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งปัจจัยทางภูมิอากาศและปัจจัยทางภูมิศาสตร์ ในเมื่อสมัยเด็กซิ่วไฉเฒ่าเคยเห็นพืชผลบนที่ผืนนี้ นั่นย่อมหมายความว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับปัจจัยขั้นต้น อาจเป็นไปได้ว่าน้ำในคูน้ำซึมลงไปทำให้ระดับน้ำใต้ดินเพิ่มสูงขึ้นจนเกิดเกลือสะสมกลยเป็นดินเค็ม

เฉียวเวยยิ้มจนดวงตาหยีโค้ง แล้วพูดอย่างตื่นเต้น “ท่านบัณฑิต ดินเค็มก็ปลูกพืชได้! ข้ารู้แล้วว่าจะปลูกอย่างไร!”

[1] หวงตี้เน่ยจิง ตำราแพทย์เก่าแก่ของจีน นับว่าเป็นหนึ่งในสี่ตำราเล่มสำคัญของวิชาแพทย์แผนจีน เนื้อหากล่าวถึงระบบอวัยวะในร่างกาย การจับชีพจร การวินิจฉัยโรค การรักษาโรคและการบำรุงร่างกายตามแนวทางแพทย์แผนจีน

[2] หนันจิง หนึ่งในตำราแพทย์ที่ค่อนข้างเก่าแก่ของจีน เนื้อหาเป็นการอภิปรายประเด็นที่เป็นข้อสงสัยต่างๆ ในศาสตร์การแพทย์

[3] ตำราอัขราภิธาน หรือตำราซัวเหวินเจี่ยจื้อ (说文解字) ตำราเก่าแก่ว่าด้วยอักษรและคำในภาษาจีน