บทที่ 89 ความสัมพันธ์พันธมิตรที่มั่นคงแข็งแกร่ง

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 89 ความสัมพันธ์พันธมิตรที่มั่นคงแข็งแกร่ง

บางคำพูดไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ย สามารถใช้การกระทำแสดงจุดยืนแทนได้

สวี่ชิงที่ขัดสมาธิอยู่บนยอดไม้เวลานี้ไม่ว่าจะสีหน้าท่าทาง ล้วนไม่แตกต่างอะไรกับก่อนหน้าที่ออกไปเลยแม้แต่น้อย ทว่าในใจผู้บำเพ็ญที่อยู่รอบๆ พื้นที่แอ่งกระทะกลับแตกต่างกับเมื่อครู่ราวฟ้ากับเหว

ที่เคยหวาดกลัว ก็พรั่นพรึงยิ่งกว่าเดิม

ที่เคยไม่สนใจ เวลานี้ก็ให้ความสนใจขีดสุด

ทั้งหมดนี้ทำให้บรรยากาศทั้งพื้นที่แอ่งกระทะเปลี่ยนเป็นกดดันยิ่ง จนกระทั่งช่วงกลางดึก ตอนที่กิ้งก่าทะเลระดับรวมปราณขั้นแปดสองตัวคลานเข้ามาพร้อมเสียงครืนครันด้านล่างภูเขา จึงมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้าง

การปรากฏตัวของพวกมันทำให้เหล่าผู้บำเพ็ญเกิดการจับจ้อง จนกระทั่งกิ้งก่าทะเลคลานเข้ามาในพื้นที่แอ่งกระทะ ลอกคราบออกพร้อมกับเสียงคำราม พวกเขาก็ไม่มีใครกล้าออกมายื้อแย่งเลย ทำได้เพียงมองห้าคนจากกลุ่มภูตสมุทรเข้าไปในพื้นที่แอ่งกระทะ ตั้งท่าเหมือนจะเข้าไปเก็บคราบกิ้งก่า

มีเพียงสวี่ชิงที่ต่างออกไป

สวี่ชิงลืมตาขึ้น พริบตาที่กิ้งก่าทะเลสองตัวลอกคราบเสร็จก็ลุกขึ้นยืนทันที

การลุกขึ้นยืนของเขาดึงดูดสายตาของคนทั้งหมดรอบๆ ทันที

สวี่ชิงไม่สนใจสายตาที่จับมายังตนเอง กระโจนลงจากยอดไม้อย่างใจเย็น ร่างกลายเป็นเงาคงค้าง ตรงไปยังพื้นที่แอ่งกระทะอย่างรวดเร็ว

ต่อให้ในพื้นที่แอ่งกระทะเวลานี้จะมีผู้บำเพ็ญภูตสมุทรอยู่ แต่สวี่ชิงก็ไม่สนใจ ทะยานตรงไปยังคราบกิ้งก่าชิ้นหนึ่ง ซึ่งข้างคราบกิ้งก่ามีผู้บำเพ็ญต่างเผ่าของกลุ่มภูตสมุทรอยู่คนหนึ่ง พอเขาเห็นสวี่ชิงเข้ามา สีหน้าก็เคร่งขรึม

ขณะที่แววตาสั่นเครือ จู่ๆ เขาก็ยกมือขวาขึ้น เล็บก็งอกยาวออกมาอย่างรวดเร็วราวกับมีดคม โบกเข้าหาตัวสวี่ชิง

“สหายเอ๋ย คราบกิ้งก่าชิ้นนี้เป็นของเราภูตส…”

ผู้บำเพ็ญต่างเผ่ายังไม่ทันพูดจบ สวี่ชิงก็ยกมือขึ้นคว้าฝ่ามืออีกฝ่ายที่โบกเข้ามา กระชากเข้ามาหาตน จากนั้นร่างกายก็พุ่งขึ้นไป หัวเข่าอัดกระแทกเข้าไปที่หน้าอกผู้บำเพ็ญต่างเผ่าคนนี้

เสียงกร๊อบดังสนั่น หน้าอกของผู้บำเพ็ญนอกเผ่าคนนี้ยุบเข้าไปเป็นรู รอยแตกหลายเส้นแผ่ลามไปทั่วร่าง สุดท้ายระหว่างที่ส่งเสียงดังตูมก็แตกกระจายเป็นชิ้นๆ ร่วงลงพื้น

เพียงแต่ที่กระจายออกมาไม่ใช่เลือดเนื้อ ทว่าเป็นชิ้นไม้

ผู้บำเพ็ญต่างเผ่าคนนี้ไม่ใช่คนจริงๆ แต่เป็นหุ่นเชิดตัวหนึ่ง

ผู้บำเพ็ญกลุ่มภูตสมุทรในพื้นที่แอ่งกระทะต่างหน้าเปลี่ยนสี ตอนที่ความระแวดระวังพุ่งขึ้นมา สวี่ชิงก็คว้าคราบกิ้งก่าชิ้นหนึ่งไป มองพวกเขาอย่างเย็นชา

เวลานี้ผู้บำเพ็ญทั้งหมดของกลุ่มภูตสมุทรที่นั่งขัดสมาธิอยู่ไม่ไกลก็พากันลุกขึ้นยืน ขณะที่พรั่นพรึง ความโหดเหี้ยมก็กำลังแผ่ซ่าน

สองฝ่ายสบตากันครู่หนึ่ง

ชายร่างสูงใหญ่ท่อนบนตัวแดงก่ำคนหนึ่งที่อยู่ตรงกลางกลุ่มภูตสมุทร จู่ๆ หน้าอกเขาเลือดเนื้อก็ขยุกขยิก ปรากฏใบหน้าเหี้ยมเกรียมออกมา

ใบหน้านี้ราวกับเป็นเด็กทารกที่เพิ่งเกิด แม้จะเต็มไปด้วยริ้วรอย แต่ก็เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต ดวงตาสีแดงก่ำจดจ้องมาที่สวี่ชิง จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า

“สหายเอ๋ย เจ้าทำลายของเล่นของข้าไป แต่ไม่เป็นไร คราบกิ้งก่าทะเลในสถานที่นี้…ภูตสมุทรของข้าต้องการครึ่งหนึ่ง คงไม่เกินไปใช่หรือไม่”

สวี่ชิงชำเลืองมองใบหน้านี้ผาดหนึ่ง ไม่พูดอะไร หยิบเอาคราบกิ้งก่าของตนเอง กลับไปยังตำแหน่งยอดไม้ นั่งขัดสมาธิทำสมาธิต่อ

เป้าหมายของเขาชัดเจน การมาเกาะกิ้งก่าทะเลครั้งนี้ก็เพื่อคราบกิ้งก่าทะเล ไม่ใช่เพื่อสังหารใคร แน่นอนว่าระหว่างที่กำลังเก็บคราบกิ้งก่าทะเล ถ้าหากมีการขัดขวาง ก็ไม่ต้องคุยกัน

นอกจากนี้เขาเองก็ไม่ได้โลภมากเกินไปอีกด้วย

สวี่ชิงทราบดีว่าสถานการณ์ตอนนี้อันที่จริงเป็นประโยชน์กับตนเองพอควร ถึงอย่างไรภูตสมุทรก็สั่นสะเทือนคนรอบๆ จนทำให้ผู้บำเพ็ญไร้สังกัดคนอื่นไม่กล้าเข้ามาแย่งชิง สิ่งที่ตนเองจะได้รับก็จะเพิ่มมากขึ้นเช่นนี้

และแม้ตนเองจะมีพลังต่อสู้เพียงพอ แต่พวกเดนตายที่ดิ้นรนอยู่ระหว่างความเป็นตายเหล่านี้ก็ล้วนมีไม้ตายลับกันทั้งสิ้น สวี่ชิงจึงไม่มีความจำเป็นต้องสังหาร เพราะรู้สึกว่าไม่มีความหมาย

ในเมื่อเป้าหมายสำเร็จแล้ว เขาจึงเห็นด้วยกับคำพูดของอีกฝ่าย

เวลาก็ผ่านไปสามวันเช่นนี้

สวี่ชิงลงมืออีกครั้งหนึ่งในสามวันนี้ ได้รับคราบกิ้งก่าทะเลอีกครึ่งหนึ่งออกมาโดยไม่มีอุปสรรคใด แต่ในใจเขาเกิดสงสัยกับการมาถึงของภูตสมุทรรวมถึงสาเหตุที่ผู้บำเพ็ญคนอื่นที่จนป่านนี้ก็ยังไม่กลับไปอยู่

คืนวันที่สามความสงสัยนี้ก็พุ่งขึ้นสูงสุดในใจสวี่ชิง ตอนที่ในผืนทะเลที่ห่างไกลปรากฏเรือลำยักษ์ลำหนึ่ง และเป้าหมายเหมือนจะเป็นเกาะกิ้งก่าทะเลแห่งนี้

เรือลำนี้ใหญ่นับร้อยจั้ง ดำสนิทไปทั้งลำ ลักษณะแตกต่างจากเรือเวทของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตอยู่ ดูคล้ายกับใบก่วม ที่ประหลาดที่สุดคือขณะที่สายตาตกไปที่ใบเรือ กลับทำให้คนอดเย็นวาบในใจขึ้นมาไม่ได้ ราวกับในเรือซ่อนสิ่งประหลาดแบบในพื้นที่ต้องห้ามเอาไว้

และสาเหตุทั้งหมดคือสีเรือที่ทาเรือลำนี้ไว้

สีดำสนิทนี้ไม่ใช่สีธรรมชาติ แต่เป็นรอยเลือดบางอย่างทาฉาบไว้ และรอยเลือดนี้เองที่ทำให้สวี่ชิงรู้สึกเหมือนสิ่งประหลาด

“ลัทธินอกวิถี!”

“พวกเขาก็มาด้วยหรือ!”

ตำแหน่งของพื้นที่แอ่งกระทะทำให้คนที่นี้สามารถมองเห็นมหาสมุทรได้รอบด้าน เวลานี้ก็ล้วนสังเกตเห็นเรือดำที่กำลังตรงเข้ามาทางนี้อย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับสวี่ชิง มีเสียงคนร้องเสียงต่ำด้วยความตกตะลึงขึ้นมาฉับพลัน ในน้ำเสียงมีความพรั่นพรึงลึกๆ อยู่

ผู้บำเพ็ญกลุ่มภูตสมุทรสิบกว่าคนล้วนสีหน้าเคร่งขรึม เอ่ยเสียงเบาหารือกันราวกับว่าศัตรูใหญ่กำลังมา

สวี่ชิงหรี่ตาลง สำหรับลัทธินอกวิถีแล้ว ใช่ว่าเขาจะไม่รู้จัก

เด็กสาวในฐานที่มั่นคนเก็บกวาดตอนนั้น พี่ชายของนางก็เป็นหัวหน้ากลุ่มผู้คุมกฎของลัทธินอกวิถี และพี่ชายก็รับนางตัวไปแล้ว

ตอนนั้นที่ด้านนอกร้านขายของ เขาก็ได้ยินคนเก็บกวาดเอ่ยถึงลัทธินอกวิถี ในคำพูดล้วนมีความหมายแฝงแสดงถึงอีกฝ่ายเป็นพวกคนบ้า

จนถึงตอนที่เขาฝากตัวเข้าสำนักเจ็ดเนตรโลหิต แล้วไปเปิดอ่านเอกสารในกรมปราบพิฆาต สวี่ชิงจึงยิ่งเข้าใจลัทธินอกวิถีมากขึ้น

ลัทธินอกวิถี เป็นหนึ่งในสี่ขั้วอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเผ่ามนุษย์ในทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ เทียบเคียงกับผืนอินทนิล เจ็ดเนตรโลหิตและเขาสัจธรรม แนวคิดหลักของลัทธินี้คือเจริญรอยตามเจ้าเหนือหัวจักรพรรดิโบราณ ออกจากโลกแผ่นดินผืนสุดท้ายผืนนี้

คำสอนในลัทธิพวกเขาคือคอยป่าวประกาศอยู่ตลอดว่าแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เจ้าเหนือหัวจักรพรรดิโบราณเป็นผู้บุกเบิกนั้น เต็มไปด้วยความดีงาม ไม่มีความอดอยาก ไม่มีความหนาวเหน็บ ไม่มีการฆ่าฟัน พลังวิญญาณบริสุทธิ์

และแดนศักดิ์สิทธิ์ก็จะเปิดประตูให้แก่โลกแผ่นดินผืนสุดท้ายในอนาคตสักวันหนึ่ง รับเอาเหล่าผู้เลื่อมใสศรัทธาเข้าไป

นี่คือความเชื่อของลัทธินอกวิถี ขณะเดียวกันคนทั้งหมดที่ไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ ในสายตาของลัทธินอกวิถีจะเหมือนกับเป็นพวกนอกรีต ต้องถูกลงโทษและลิดรอนสิทธิ์ในการดำรงชีพไป

และแนวคิดลัทธิสุดโต่งนี้ สิ่งที่จะตามมาจึงกลายเป็นพวกบ้าคลั่งกลุ่มหนึ่ง

‘ไม่รู้ว่านางจะเป็นอย่างไรบ้าง’

สวี่ชิงพึมพำในใจ เขาคิดถึงเด็กสาวที่เคยมอบลูกกวาดนั้นให้กับเขาขึ้นมา แต่ไม่นานสวี่ชิงก็หวนคืนจากความทรงจำ จดจ้องไปยังเรือลัทธินอกวิถีในทะเลที่เข้าใกล้มาเรื่อยๆ

‘เกาะกิ้งก่าทะเลเกาะนี้ จะเกิดอะไรขึ้นกันแน่’

ตอนที่สวี่ชิงสงสัยมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เมื่อชายชราถนนทองผุดที่อยู่หลังก้อนหินในแอ่งกระทะเห็นการมาถึงของลัทธินอกวิถี ก็ถอนหายใจ

“จบกัน ครั้งนี้ภูตสมุทรกับลัทธินอกวิถีล้วนทยอยกันมา น่าจะมีเป้าหมายเดียวกันกับข้าสินะ”

ชายชราถนนทองผุดตบหน้าผาก ตอนที่กำลังกลัดกลุ้ม งูยักษ์ข้างตัวก็ส่งเสียฟ่อๆ ชายชราเหลือบมองงูยักษ์ผาดหนึ่ง ครุ่นคิดอยู่สักพัก

“เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล”

พูดจบ ชายชราก็ไหวตัวลุกขึ้นยืนฉับพลัน ตรงไปยังยอดไม้ที่สวี่ชิงอยู่ งูใหญ่อยู่ด้านหลังเขา สีหน้าเหมือนกับดีอกดีใจ เพียงแต่ความดีใจนี้ มีน้อยคนนักที่จะมองออก

การเคลื่อนไหวของเขา ทำให้ผู้บำเพ็ญรอบๆ พื้นที่แอ่งกระทะเหลือบตามองตามทันที

ผู้บำเพ็ญภูตสมุทรเองก็มองตามไป แต่เวลานี้ลัทธินอกวิถีกำลังจะมาถึงแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีกะจิตกะใจจะไปขัดขวาง

ดังนั้นเพียงไม่นาน ขณะที่สวี่ชิงหรี่ตาจ้องมองลำคอของอีกฝ่าย ชายชราก็พางูยักษ์มาถึงจุดที่ห่างจากเขาสิบจั้ง

“เด็กน้อย หารือกันหน่อย ไม่ต้องปล่อยพิษออกมานะ เจ้าขจัดพิษตรงนี้ออกด้วย ข้าจะคุยกับเจ้าเสียหน่อย”

สวี่ชิงมองชายชรา เหมือนเดาได้ถึงเป้าหมายของอีกฝ่าย ก็เลยยกมือขึ้นโบกๆ ทำท่าเหมือนปัดพิษให้สลายไป

ชายชราพอเห็นท่าทางของสวี่ชิง จึงเบาใจลง เหยียบเข้ามาในอาณาเขตสิบจั้ง

เมื่อเดินไปไม่กี่ก้าว เขาก็หยุดลงตอนที่อยู่ห่างจากสวี่ชิงสามจั้ง เอ่ยขึ้นเสียงหนัก

“เด็ฏน้อย เจ้ากำลังสงสัยใช่หรือไม่ ว่าเหตุใดภูตสมุทรกับลัทธินอกวิถีจึงมาที่นี่

“ข้าจะไม่พูดไร้สาระ บอกกับเจ้าตรงๆ เลยแล้วกัน จากการคาดคะเนฤดูกาล ช่วงนี้บริเวณนี้มีโอกาสที่กิ้งก่าทะเลระดับสร้างฐานจะขึ้นมาลอกคราบอยู่มาก และมูลค่าของคราบกิ้งก่าทะเลระดับสร้างฐานก็น่าตกตะลึงสุดๆ ในช่วงต้นอยู่ที่สองพันก้อนหินวิญญาณ ช่วงกลางห้าพัน และช่วงหลังอย่างน้อยก็หลักหมื่น”

“คนแก่อย่างข้าแรงน้อยหัวเดียวกะเทียบลีบ ดังนั้นจึงมาร่วมมือเป็นพันธมิตรกับเจ้า ให้พวกเรากลายเป็นพันธมิตรที่มั่นคงแข็งแรงที่สุด เจ้ากับข้าร่วมมือกันแย่งทรัพยากรครั้งนี้ แล้วแบ่งกันคนละครึ่ง ทุกคนไว้วางใจหันหลังชนกัน!”

ชายชราถนนทองผุดคำพูดห้าวหาญ เอ่ยปากอย่างรวดเร็ว พูดจบก็มองไปทางสวี่ชิง แต่เพียงไม่นานหน้าก็เปลี่ยนสี รีบร้อนล้วงเอายาออกมากลืนคำใหญ่ ชี้นิ้วด่ากราดสวี่ชิง

“ไอ้เด็กหน้าเหม็น ไม่ใช่ว่าข้าบอกให้เจ้าอย่าปล่อยพิษไง”

“ข้าไม่ได้ปล่อยพิษ นี่เป็นสิ่งที่กระจายอยู่ที่นี่ก่อนหน้านี้อยู่แล้ว” สวี่ชิงครุ่นคิดถึงข้อมูลในคำพูดอีกฝ่าย จึงอธิบายออกมาส่งๆ ประโยคหนึ่ง

“ชิชะ แล้วเมื่อครู่เจ้าโบกมือทำไมกัน!” ชายแก่ดูโมโหขึ้น

“ก็ท่านบอกให้ข้าพัดสลายพิษนี่” สวี่ชิงขมวดคิ้ว

“…แล้วเจ้าสลายมันไปหรือยัง” ชายชราถลึงตาโต

“พิษของข้าทำให้สลายไปไม่ได้” สวี่ชิงเริ่มหมดความอดทน อีกฝ่ายเองก็มีชื่ออยู่ในแผ่นไม้ไผ่ด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจปะปนกันอยู่ ไม่สะดวกที่จะลงมือ เขาคงคิดหาวิธีจัดการอีกฝ่ายที่นี่ไปแล้ว

ชายชราพูดไม่ออก จ้องมองสวี่ชิง ครู่หนึ่งจึงถอนหายใจยาวออกมา

“ข้ารู้สึกว่าข้ากับเจ้าคุยกันไม่รู้เรื่องจริงๆ! ความหมายของเจ้าคือ เจ้าสลายพิษไม่ได้ แต่เพื่อจะปลอบใจข้า จึงทำท่าโบกมือลวงๆ ออกมาหรือ”

สวี่ชิงมองชายชราเย็นชา ไม่พูดอะไร

ชายชราหน้าผากเส้นเอ็นดีดผึง งูใหญ่ที่อยู่ข้างๆ พอเห็นฉากนี้ ก็รีบร้อนส่งเสียงฟ่อๆ ออกมา

ชายชรากัดฟัน กลืนยาลูกกลอนลงไปอีกกำหนึ่ง มองสวี่ชิงอย่างเคืองๆ

“พันธมิตร จะเอาหรือไม่เอา”

“ได้” สวี่ชิงตอบกลับโดยไม่คิด

เมื่อเห็นว่าสวี่ชิงเห็นด้วยรวดเร็วถึงเพียงนี้ ชายชราก็ถอนหายใจ ขณะจะพูดต่อ ตอนนี้เอง เรือของลัทธินอกวิถีที่อยู่ห่างออกไปลำนั้นก็มาถึงชายหาดแล้ว

เงาหลายเงาเดินลงมาจากเรือ น่าจะประมาณเจ็ดแปดคน ย่างเข้าสู่ป่า

คนเหล่านี้มองรูปร่างไม่ชัดเห็นเพียงว่าพวกเขาสวมชุดคลุมสีดำภายใต้แสงจันทร์ กระทั่งศีรษะก็ยังถูกพันห่อเอาไว้ กลิ่นคาวเลือดสังหารคุกรุ่น แต่ละคนรวดเร็วอย่างมาก หลังจากเหยียบเข้ามาในป่า ก็พุ่งตรงมายังภูเขาที่มีพื้นที่แอ่งกระทะตั้งอยู่

“ลัทธินอกวิถีเป็นพวกคนบ้า ในทะเลเล่าลือกันมาตลอด บอกว่าพวกเขาแอบควบคุมเกาะบางส่วนไว้ เหมือนกำลังค้นคว้าสิ่งประหลาดอะไรอยู่ แต่สถานที่ก็ยังเป็นความลับ จนป่านนี้มีคนไม่กี่คนที่รู้” ชายชราถนนทองผุดสีหน้าปั้นยาก เอ่ยขึ้นอย่างเคร่งขรึม

พอสวี่ชิงได้ยิน ก็หรี่ตาลงมองไป