มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง บทที่ 51 แปลกมาก

ห้าแสน!

เจียงหว่านและจ้าวหลินตกใจพร้อมกัน ส่วนจ้าวโป๋ก้มหน้าลง และไม่กล้าพูดอะไร

สีหน้าของเจียงหว่านแย่มาก สำหรับเธอแล้ว เงินห้าแสนไม่ใช่เงินจำนวนน้อย ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นประธานบริษัท แต่ก็ต้องเก็บเงินไว้เป็นทุนหมุนเวียน แล้วเธอจะไปหาเงินจำนวนมากขนาดนี้มาจากไหน เว้นเสียแต่จะขายบ้าน

และขณะนี้ เจี่ยงฮัวกล่าวแบบรนหาความตายว่า “จี้สับปะรังเคของคุณ มีมูลค่าสามแสนเหรอ? นี่มันเป็นการขู่กรรโชกชัด ๆ ?”

ชายที่แข็งแกร่งที่ใส่สร้อยคอทองเย้ยหยันและกล่าวว่า “วันนี้ผมซื้อจี้นี้มาจากร้านแอร์เมส ผมมีใบเสร็จด้วย คุณคิดว่ามันมีมูลค่าสามแสนไหม?”

“ถึงจะมีใบเสร็จ มันก็เป็นเพราะผู้หญิงร่านคนนี้ยั่วยวนก่อน” เจี่ยงฮัวยังคงเถียงข้าง ๆ คู ๆ

เพี๊ยะ!

ขณะที่เจี่ยงฮัวกำลังพูด ชายที่แข็งแกร่งที่ใส่สร้อยคอทองก็ตบหน้าเธอ

“แม่งฉิบหาย พูดจาให้มันดี ๆ หน่อย!”

เมื่อจ้าวโป๋เห็นแม่ของตนเองถูกตบหน้า เขาทำได้เพียงก้มหน้าลง และไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย

“คุณจะไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ?” เจียงหว่านกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ขณะนี้ หากจ้าวโป๋ยอมขอโทษพวกเขา บางทีอาจจะทำให้พวกเขาใจอ่อนและลดให้

แต่จ้าวโป๋กล่าวว่า “เรื่องนี่…..เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับผม ผมเพิ่งมาเมืองเจียงหนาน ผมไม่มีเงินมากขนาดนั้นหรอก หากจะชดใช้ คุณก็ต้องเป็นคนชดใช้ เพราะยังไงมันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับผมอยู่แล้ว”

“ยิ่งไปกว่านั้น พวกคุณเป็นคนพาผมมาที่สปาหรงเหม่ยเอง ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ แล้วจะเกิดเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร?”

“บางที…บางทีพวกคุณอาจจะสมรู้ร่วมคิด และเจตนาโกงเงินของครอบครัวผม!”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ไม่เพียงแค่ครอบครัวของเจียงหว่านเท่านั้นที่ตกตะลึง แม้แต่ฝูงชนที่ยืนอยู่รอบ ๆ ต่างก็ตกตะลึงเช่นกัน บุคคลนี้ต้องไร้ยางอายขนาดไหน ถึงจะสามารถพูดเช่นนี้ได้?

“คุณแม่ ได้ยินแล้วใช่ไหม? เห็นได้ชัดว่าพวกเขาสนใจแต่คูปองฟรีของสปาหรงเหม่ยเท่านั้น และยืนกรานที่จะมาที่นี่ แต่ตอนนี้พวกเขากลับปัดความรับผิดชอบทั้งหมดมาให้คุณแม่” เจียงหว่านกล่าวด้วยความเย็นชา

“จ้าวโป๋ คุณหมายความว่ายังไง? การที่ฉันพาพวกคุณมาที่นี่ มันกลายเป็นความผิดของฉันเหรอ?” จ้าวหลินโกรธมากเช่นกัน เธอรู้ว่านิสัยของครอบครัวนี้ค่อนข้างแย่ แต่การพูดแบบนี้ มันไร้มโนธรรมเกินไปแล้ว?

“ผม……ผมทำอะไรล่ะ? พวกคุณพาพวกเรามาที่นี่จริง ๆ” จ้าวโป๋กล่าวอย่างไร้เหตุผล

“ถูกต้อง พี่จ้าว พวกคุณตระกูลเจียงเป็นตระกูลเศรษฐี สำหรับพวกคุณแล้ว เงินเล็กน้อยแค่นี้ เป็นแค่เศษเงินเท่านั้น” เจี่ยงฮัวกล่าว

จ้าวเสียเวิ่นไม่มีความเป็นลูกผู้ชายแม้แต่น้อย ดังนั้นเขาจึงปล่อยให้พวกเขาเถียงข้าง ๆ คู ๆ ทำไงได้ล่ะ! ใครใช้ให้เขาไม่มีเงินห้าแสน

ตอนแรกเจียงหว่านมาที่นี่เพื่อจะช่วยพวกเขาแก้ปัญหา แต่ตอนนี้เมื่อเห็นท่าทีของพวกเขาแล้ว เธอรู้สึกผิดหวังอย่างสิ้นเชิง เธอกล่าวกับชายที่แข็งแกร่งที่ใส่สร้อยคอทองว่า “เงินมากขนาดนี้ พวกเราชดใช้ไม่ไหวหรอก ใครเป็นคนทำเสีย พวกคุณก็ให้คนนั้นชดใช้เถอะ”

“คุณแม่ ในเมื่อน้าสะใภ้พูดแบบนี้แล้ว มันไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเราแล้ว พวกเรากลับกันเถอะ”

คราวนี้ ก็ถึงคราวที่ครอบครัวของจ้าวโป๋ตกตะลึงแล้ว

ชายที่แข็งแกร่งที่ใส่สร้อยคอทองตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็กล่าวเยาะเย้ยว่า “ฮ่า ๆ ไม่เป็นไร ผมไม่สนใจว่าใครจะเป็นคนชดใช้ ถ้าไม่ชดใช้ ผมจะหักแขนของเจ้าหมอนี้ทั้งสองข้าง แม่งฉิบหาย กล้าแตะต้องผู้หญิงของกู?”

เมื่อจ้าวโป๋ได้ยินว่าจะหักแขนตนเอง เขาตกใจจนขาอ่อนแรง และตะโกนเสียงดังว่า “คุณแม่ ช่วยผมด้วย! ผมไม่อยากตาย!”

ตอนนี้เขาหวาดกลัวอย่างสิ้นเชิง

“พี่ พวกเราไม่มีเงินมากขนาดนั้นจริง ๆ” เจี่ยงฮัวรู้สึกกังวลเช่นกัน

“ไม่มีเงินก็ไม่เป็นไร ทิ้งมือไว้สองข้างก็พอ” ชายที่แข็งแกร่งที่ใส่สร้อยคอทองโบกมือและกล่าว

ลูกน้องสองคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง เดินไปข้างหน้าทันที แล้วกดตัวจ้าวโป๋เอาไว้

“ช่วยด้วย…คุณแม่ ช่วยผมด้วย…คุณแม่!”

จ้าวโป๋ร้องไห้ทันที ตกใจจนเกือบจะฉี่ราด

เจี่ยงฮัวเป็นผู้หญิงที่ชอบให้ท้ายลูกตัวเอง และมีจ้าวโป๋เป็นลูกชายเพียงคนเดียวเท่านั้น เธอจับแขนของจ้าวหลินไว้แน่น “พี่จ้าว คุณทำแบบนี้กับพวกเราไม่ได้น่ะ จ้าวโป๋อายุเพียงแค่ยี่สิบสามเท่านั้น การที่คุณทำแบบนี้ มันเป็นการผลักให้พวกเราไปตายน่ะ!”

เธอคุกเข่าอยู่บนพื้น ขอร้องด้วยความขมขื่น

“ฮ่า ๆ คุณพูดแบบนี้ เป็นการตำหนิพวกเราไม่ใช่เหรอ?” จ้าวหลินกล่าวด้วยความเย็นชา และไม่อยากจะพูดมากกว่านี้

“คุณแม่ อย่าไปสนใจคนประเภทนี้ เขาหาเรื่องใส่ตัวเอง” เจียงหว่านกล่าว

“เจียงหว่าน คุณอย่าไปเด็ดขาด ถ้าคุณไปแล้ว ลูกชายของฉันจะทำอย่างไรล่ะ?” เจี่ยงฮัวกล่าวซ้ำ ๆ “ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเป็นหลานชายของคุณอีกด้วย!”

เพราะอย่างไรเสีย พวกเขาก็เป็นพี่น้องกัน จ้าวหลินมองจ้าวโป๋ และไม่อาจจะใจจำได้ ดังนั้นเธอจึงหันไปมองเจียงหว่าน “ลูก พวกเขารู้ตัวว่าผิดแล้ว พวกเราช่วยพวกเขาดีไหม?”

“คุณแม่ พวกเราจะเอาอะไรไปช่วยล่ะ? ถ้าเอาเงินออกมาจากบริษัทห้าแสน แล้วต่อไปพวกเราจะทำอย่างไรล่ะ?” เจียงหว่านกล่าวด้วยน้ำเสียงห้วน ๆ

เจี่ยงฮัวขมวดคิ้ว ขัดจังหวะทันทีและกล่าวว่า “เป็นเรื่องง่าย ๆ เอาอย่างนี้ ขายบ้านของพวกคุณด้วยมูลค่าหนึ่งล้าน หลังจากจ่ายค่าชดใช้แล้ว ยังไงพวกคุณก็ต้องยืมเงินให้พวกเรา ดังนั้นพวกคุณก็ยืมเงินที่เหลืออีกห้าแสนให้พวกเราดีกว่า”

เจียงหว่านโกรธจนหัวเราะ ด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความจำใจ ครอบครัวนี้แปลกมากจริง ๆ จนถึงตอนนี้แล้ว เจี่ยงฮัวยังไม่รู้ความผิดของตนเองอีก แล้วยังจะมาขอยืมเงินอีกห้าแสน คนประเภทนี้ มีอะไรน่าช่วย?

ครอบครัวของพวกเขาเป็นเหมือนปลิงดูดเลือด ถึงแม้ว่าครอบครัวของตนเองจะบ้านแตกสาแหรกขาด พวกเขาก็คิดว่ามันเป็นเรื่องสมควร

“ไม่งั้นโทรหาคุณพ่อก่อนดีไหม เพราะอย่างไรเสีย คุณพ่อก็เป็นผู้นำตระกูล ควรจะให้เกียรติคุณพ่อหน่อย” จ้าวหลินกล่าวแนะนำ

“คุณแม่ คุณปู่ จะออกหน้าเพราะเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่เห็นตระกูลเจียงอยู่ในสายตา ถึงตามคุณปู่มา ผลลัพธ์ก็เหมือนกัน” เจียงหว่านถอนหายใจ “ไม่มีทางเลือก ฉันทำได้เพียงตามเขามาเท่านั้น”

“ใคร?” จ้าวหลินถามด้วยความสงสัย

“มู่เซิ่ง”

“มู่เซิ่ง? คนไม่เอาถ่านเหรอ?” จ้าวหลินมองเจียงหว่านด้วยความประหลาดใจ และกล่าวว่า “เจียงหว่าน ลูกบ้าไปแล้วเหรอ? คนไม่เอาถ่านจะสามารถทำอะไรได้?”

“เจียงหว่าน ตามคุณปู่มาดีกว่า”

เมื่อเจี่ยงฮัวได้ยินเช่นนั้น เธอก็ส่ายศีรษะเหมือนกัน “มู่เซิ่งเป็นเพียงผู้ชายที่เกาะผู้หญิงกินเท่านั้น คุณจะสามารถคาดหวังให้เขาทำอะไรได้? ถึงแม้ว่าเขาจะมา เขาก็ทำได้เพียงถูกคนอื่นทุบตีเท่านั้น คุณหาคนที่มีสถานะมาช่วยดีกว่า”

“ถูกต้อง เจียงหว่าน คุณทำเกินไปแล้ว! ถ้าไม่อยากช่วยก็บอกมาตามตรง ไม่จำเป็นต้องเอามู่เซิ่งมาอ้าง นี่เป็นการดูหมิ่นพวกเราชัด ๆ?”

สีหน้าของจ้าวโป๋เต็มไปด้วยความโกรธเช่นกัน

เจียงหว่านโกรธจนพูดไม่ออก ตอนนี้เจ้าหมอนี้ถูกคนอื่นกดอยู่บนพื้นแล้ว เขาเอาความรู้สึกเหนือกว่ามาจากไหน?

“ไม่ต้องการความช่วยเหลือก็ไม่เป็นไร ฉันก็ไม่อยากจะช่วยเหมือนกัน!”

“อย่า ๆ ๆ พี่เจียงหว่าน คุณโทรหาเขาเถอะ ผมไม่คัดค้านแล้ว” เมื่อจ้าวโป๋เห็นอันธพาลสองคนถือมีดเดินเข้ามาใกล้ เขาก็ตะโกนด้วยความตื่นตระหนก

เจียงหว่านถอนหายใจ หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วเดินไปด้านข้าง เธอไม่อยากรบกวนมู่เซิ่งจริง ๆ

“ฮาโหล เจียงหว่าน คุณคิดถึงผมเหรอ?” สายเชื่อมต่ออย่างรวดเร็ว และเสียงของมู่เซิ่งก็ดังขึ้น

“กะล่อน” เจียงหว่านหน้าแดงระเรื่อ

แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาเกี้ยวพาราสี เธอหยุดสักครู่ แล้วกล่าวอย่างจริงจังว่า “ฉัน…..มีปัญหานิดหน่อย คุณสามารถมาช่วยฉันได้ไหม?”

“โอเค ผมจะไปทันที”

หลังจากฟังเรื่องราวแล้ว หากไม่ใช่เพราะเจียงหว่านเอ่ยปาก มู่เซิ่งก็ไม่อยากจะสนใจเรื่องนี้หรอก แต่สุดท้ายเขายังคงรับปาก

“พี่เจียงหว่าน ยังมีอีก? ผมได้ยินว่าคุณมีลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่งชื่อเจียงมู่หลง เขาเป็นคนกว้างขวาง คุณโทรเรียกเขามาด้วยสิ”

เมื่อจ้าวโป๋เห็นเจียงหว่านวางโทรศัพท์ลง เขารู้สึกกังวล และรีบกล่าวว่า “เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับว่าผมจะกลายเป็นคนพิการหรือไม่ คุณห้ามประมาทเด็ดขาด!”

“หุบปาก”

เจียงหว่านกล่าวด้วยความเย็นชา

โทรเรียกเจียงมู่หลงมาที่นี่ เพื่อที่จะให้เขาทำให้ตนเองอับอายขายหน้าเหรอ?

สีหน้าของจ้าวโป๋แดงก่ำ และมองเจียงหว่านด้วยความโกรธ