ซูสุ่ยเลี่ยนมองซือเล่าอย่างสงสัย เห็นอีกฝ่ายยิ้มตอบอย่างมีเลศนัย ก็อดเป็นกังวลไม่ได้ เป็นเหมือนที่ซือทั่วถามไหม พวกเขารู้อะไรในอดีตก่อนหน้านี้ของนาง?
พอทำใจให้สงบลงได้ ซูสุ่ยเลี่ยนก็แอบปลอบใจตนเอง ในเมื่อสูญเสียความทรงจำ อะไรก็จำไม่ได้ เช่นนั้น เกิดมีญาติที่นางไม่รู้จักมาหา ก็คงไม่มีใครสงสัยนางกระมัง
กำลังคิดอยู่นั้น สองมือที่วางลงบนหน้าขาก็ถูกหลินซือเย่ากุมไว้อย่างอบอุ่น
“ไม่ต้องกังวล มีข้าอยู่” หลินซือเย่าแอบกระซิบปลอบนางข้างหูเบาๆ ก่อนจะคีบไข่ไก่ผัดถั่วลันเตากับหูหลัวโปววางลงในชามซูสุ่ยเลี่ยน “เด็กดี กินข้าวก่อน มีอะไร กินเสร็จค่อยคุยกัน”
ภาพนี้เกือบทำเอาชายสามคนตาหลุดจากเบ้า
เดิมคิดว่าจะมีละครสนุกรันทดอะไรให้ดู แต่ถูกซือหลิงทำเอาแตกตื่น ซือหลิงที่แต่ไรมาเย็นเยียบไม่รู้จักความอ่อนโยน แสดงท่าทางคีบอาหารให้สตรีตัวน้อยพลางกล่าวน้ำเสียงอ่อนหวานอีกด้วย
แตกตื่น? คำแค่นี้ไม่พอจะบอกเล่าความในใจพวกเขาเลยนะ!
“กินข้าวแล้ว พวกเจ้าก็ไปเสีย” หลินซือเย่าทิ้งประโยคสุดท้ายโดยไม่เงยหน้า มือยังคงสาละวนกับการคีบอาหารให้ซูสุ่ยเลี่ยนที่คีบไม่ถึงไม่หยุด
“ได้” สามเสียงประสานรับพร้อมกัน
หากยังไม่กินอีก รอซือหลิงกินอิ่มก็คงเก็บจานชามเสร็จไล่คนอยู่ดี ไหนเลยจะเห็นว่าพวกเขาเป็นแขกจริงๆ มีแต่ซูสุ่ยเลี่ยนยังเกรงใจส่งน้ำชากับขนมให้พวกเขาอยู่ เพียงแต่แววตาซือหลิงน่ากลัวจริงๆ ถือถ้วยชาค้างไว้ไม่กล้าดื่มมาก ขนมก็ไม่กล้ากินมาก
……
“ว่ามา พวกเจ้ารู้อะไรมา” หลังอาหาร หลินซือเย่าส่งซูสุ่ยเลี่ยนเข้าห้องปักผ้า ส่งสายตาบอกให้นางอย่าคิดมาก ส่วนเขานำพวกพวกซือทั่วทั้งสามคนมาที่ริมแม่น้ำแถวลานตอไม้ฝึกยุทธ์ ที่นี่กว้างแทบจะมองได้โดยรอบ ไม่กลัวผู้ใดแอบฟัง
“จวนอ๋องจิ้งแห่งเมืองหลวง” ซือชงจั่วเรื่องก่อน
“คุณหนูสี่” ซือเล่าต่อคำ
“นาง?” ซือทั่วเลิกคิ้ว กวาดสายตามองซือหลิงที่สีหน้านิ่งไร้ความรู้สึก
“เพียงแค่สงสัย” ซือชงสำทับอีกประโยค
“มีความเป็นไปได้มาก” ซือเล่ายังคงราดน้ำมันลงกองไฟ
ซือทั่วมองซือเล่าที่ไม่กลัวตายอย่างเห็นใจ ก่อนจะหันไปมองซือหลิง ถามน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ซือหลิง ในเมื่อนางสูญเสียความทรงจำก็ทำเป็นไม่รู้ก็แล้วกัน” ดีที่สุดก็ปิดผนึกไปอีกหลายสิบปี ดีที่สุดก็อย่าได้ฟื้นคืนความจำขึ้นมาอีก ไม่เช่นนั้น ด้วยอำนาจอิทธิพลจวนอ๋องจิ้ง ย่อมไม่อาจยอมรับลูกเขยที่เป็นนักฆ่ากระมัง?
“ว่ากันว่า เงินรางวัลสามร้อยตำลึง” ซือเล่ายิ้มร้าย เหลือบมองซือหลิง “เดิมคิดจะหาเงินสักก้อน”
ซือชงได้ยินก็มองท้องฟ้าไร้วาจาจะกล่าว ดูท่าคิดจะไปจากที่นี่อย่างปลอดภัยคงยากแล้ว
“เจ้าขาดเงิน?” หลินซือเย่าถามเย็นชา
“ไม่ขาด แต่ก็หาไม่ได้มาก” ซือเล่าโดดขึ้นไปบนตอไม้ฝึก มองความสงบรอบๆ
“สามร้อยตำลึง? เยี่ยมดีมาก” หลินซือเย่าพยักหน้าสีหน้าไร้ความรู้สึก ก่อนจะหันไปทางซือทั่ว สั่งเสียงเรียบว่า “ห่างจากถ้ำซิ่วสุ่ยไปสามลี้ ต้นไหวโบราณต้นที่ห้า มีประตูลับเข้าไปได้ ทางลับไปยังก้นทะเลสาบอวิ๋นหู”
ซือทั่วได้ยินเหมือนว่าเป็นที่ลับ จากนั้นคิ้วดาบก็เลิกขึ้น ถามเสียงนิ่งเรียบว่า “ทำอะไร?”
“ในนั้นมีเงินสะสมในชีวิตช่วงก่อนของข้า” หลินซือเย่ายังคงน้ำเสียงไร้อารมณ์
ชีวิตช่วงก่อน? ซือทั่วได้ยินก็ตัวแข็งทื่อ อย่างไรก็ยังคงฝังแค้นอยู่ ไม่เช่นนั้นทำไมจึงแยกชัดเจน แม้แต่เงินสะสมที่แลกมาด้วยชีวิตก็ใช้คำว่า ‘ชีวิตช่วงก่อน’
ซือชงสบตากับซือเล่า ไม่เข้าใจความหมายของหลินซือเย่ายามนี้ เผยที่ซ่อนเงินที่สะสมมาทั้งชีวิตต่อหน้าพวกเขาทั้งสามคน หมายความว่าอย่างไร?
“ช่วยข้าจัดการเรื่องหนึ่ง ส่งไปที่วัดอวิ๋นหลัวก้อนหนึ่ง” หลินซือเย่านิ่งไปนาน ก่อนจะสั่งเบาๆ ต่ออีกว่า “ที่เหลือ ทิ้งให้ข้าส่วนหนึ่ง ที่เหลือพวกเจ้าทั้งสามคนแบ่งกันเถอะ เงื่อนไขมีเพียงหนึ่งเดียว สุ่ยเลี่ยน…ถือว่าไม่เคยพบนาง”
ขอโทษที่เขาเห็นแก่ตัว สุ่ยเลี่ยนเป็นของเขา ดีที่สุดชีวิตนี้อย่าได้เอ่ยถึงจวนอ๋องจิ้งอีก
ทั้งสามคนฟังจบ ก็อึ้งไปพร้อมกัน คิดถึงเงินที่ซือหลิงถือดาบต่อสู้หามาด้วยชีวิต กล่าวไม่กี่คำก็แบ่งสรรหมดเกลี้ยง?
ด้วยจำนวนและระดับภารกิจเขาในตอนนั้น สิบกว่าปีมานี้ เงินที่สะสมไว้ แม้ว่าค่าตอบแทนต่ำสุดก็นับหมื่นตำลึงได้กระมัง
สวรรค์ เขาเสียสติไปแล้ว! อ่านแววตาทั้งสามคนได้ข้อสรุปน่าตกใจเดียวกัน
ซือหลิงตกในห้วงแห่งรักลึกซึ้งแล้ว โบราณว่า หนึ่งยิ้มพันตำลึงทอง แต่เขาดีเลย ก็แค่ข่าวที่ไม่แน่ว่าจะจริง ถึงกับยอมสูญเสียเงินหลายหมื่นตำลึงที่ไม่ได้ได้มาง่ายๆ เพียงเพื่อสตรีที่เป็นภรรยา เขามารแทรกแล้วแน่ๆ
ซือทั่วแอบถอนใจ
ซือชงส่ายหน้า
ซือเล่าอยู่ๆ ก็หลุดหัวเราะพรืดออกมา เผยรอยยิ้มจริงใจที่ไม่เคยมีมาก่อน หลินซือเย่ายกนิ้วหัวแม่มือให้ “ยอม”
เขายอมแพ้แล้ว อย่างน้อยซือเล่าทำเช่นนี้ไม่ลงแน่
อย่าได้เอ่ยว่า ‘เงินทองราวกองขี้’ วาจาหยาบคายอะไรพวกนี้
คิดถึงพวกเขากำพร้าไร้ที่พึ่ง เป็นนักฆ่าเร่รอนในยุทธภพ นอกจากวิชายุทธ์ที่น่าภาคภูมิใจกับเงินทองที่เก็บสะสมมาหลายปีแล้ว ก็ไม่มีอะไรอีก
ตอนนี้ซือหลิงถึงกับยอมควักเงินที่สะสมไว้เกือบทั้งหมดออกมา เพียงเพื่อให้เขามั่นใจว่าจะไม่แยกจากภรรยาเขา
ความโง่งมเช่นนี้ พวกเขาทั้งสามคนย่อมไม่มีทางทำแน่
“ตกลง” ซือเล่าตกปากรับคำคนแรก เหลวไหล ไม่เห็นด้วยก็โง่
“ได้” ซือชงเองก็พยักหน้ารับ เดิมเขาเองก็ไม่ได้คิดหาเรื่องอยู่แล้ว แต่ในเมื่อซือหลิงใจกว้างเช่นนี้ ซือเล่าก็เห็นด้วยอย่างไม่เกรงใจ ตนเองมีลูกศิษย์อีกยี่สิบสามคนต้องดูแล ยิ่งไม่ต้องเกรงใจ
ซือทั่วค้อนขวับ เสียกิริยาอาการเย็นชาที่เขาพยายามปั้นมาตลอด ขอให้ซือหลิงได้สมหวังที่ปรารถนา ได้มีชีวิตที่มีความสุข ไม่เช่นนั้นหากจะมาบีบให้พวกเขาสามคนคายเงินออกมา เกรงว่าก็คงยากแล้ว
……
“อาเย่า?” ซูสุ่ยเลี่ยนเดินเข้าไปรับหลินซือเย่าที่เดินเข้ามาในห้องโถงหลังส่งสามดาวพิฆาตไปแล้ว “พวกเขา พวกเขาไปแล้วหรือ” นางมองไปด้านหลังเขา ไม่รู้ว่าซือเล่าที่สีหน้าแฝงรอยยิ้มร้ายลึกมีอะไรที่เกี่ยวข้องกับประวัติชีวิตนางกัน
“อืม” หลินซือเย่าวางกาน้ำชาที่ถือออกมาจากในห้องครัว เทใส่ถ้วยสองใบ ใบหนึ่งส่งให้ซูสุ่ยเลี่ยน “พวกเขามีงานต้องทำ” ทั้งสามคนร่วมมือกันไปปฏิบัติภารกิจที่ซีหลาง หากมีชีวิตกลับมาได้ ก็คงไปขุดสมบัติของเขาที่ฝังในเขตพื้นที่หอเฟิงเหยาออกมาหมด หลินซือเย่าเบ้ปาก ด้วยนิสัยซือเล่าที่เห็นแก่เงิน ย่อมไม่พลาดโอกาสกอบโกยเงินทองอันดีนี้แน่
“เขา ข้าหมายถึงซือเล่านั่น เขารู้ว่าข้า…” ซูสุ่ยเลี่ยนแอบเหลือบมองสีหน้าเคร่งเครียดของหลินซือเย่า อดพึมพำถามไม่ได้
“เขาจำคนผิดแล้ว” หลินซือเย่ารับคำนาง หาเหตุผลอ้างไปว่า “เจ้ามีความคล้ายกับคนที่พวกเขาเคยพบมา” นี่ไม่นับว่าหลอกลวงกระมัง หาคนจากภาพวาดที่ปิดประกาศ เดิมก็ไม่ได้เหมือนจริงอยู่แล้ว
“อ้อ ที่แท้เป็นเช่นนี้” ซูสุ่ยเลี่ยนรู้สึกโล่งอกอย่างน่าประหลาด