บทที่ 54 กระต่ายขาวตัวน้อยแสนน่ารัก x พี่สาวอ้วนหน้าเย็นชา

Top Star ระบบปั้นเธอให้เป็นดาว

บทที่ 54 กระต่ายขาวตัวน้อยแสนน่ารัก x พี่สาวอ้วนหน้าเย็นชา

บทที่ 54 กระต่ายขาวตัวน้อยแสนน่ารัก x พี่สาวอ้วนหน้าเย็นชา

ซูโย่วอี๋ทำความสะอาดห้องซ้อมอย่างเงียบ ๆ แต่จู่ ๆ เฉินซีซี ก็ยื่นหัวเข้ามา

“พี่คะ ยังไม่กลับอีกเหรอ?”

เมื่อเห็นใบหน้าปากมุ่ยของเด็กสาว ซูโย่วอี๋ก็ถามขึ้น “มีอะไรงั้นเหรอ?”

เฉินซีซีเดินเข้ามาด้วยความหดหู่ใจ “พี่สาว ฉู่รั่วฮวนรังแกฉัน”

ซูโย่วอี๋หยุดชะงักและพูดว่า “เกิดอะไรขึ้น?”

เธอกังวลเกี่ยวกับเรื่องที่ฉู่รั่วฮวนเลือกเฉินซีซีมาเป็นสมาชิกในทีม และรู้สึกกระวนกระวายเมื่อได้ยินกระต่ายขาวตัวน้อยพูด

“พี่สาว ฉันไม่รู้จะพูดอะไรดี เธอไม่ได้แกล้งฉันแบบออกนอกหน้านะ แต่ฉันแค่รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติไป ตอนที่ฉันต้องการชิงตำแหน่งเซนเตอร์ เธอก็ตัดสินใจโดยไม่ฟังความเห็นใครเลยว่าเธอจะเป็นเซนเตอร์เอง แถมยังวางตำแหน่งฉันไว้ที่รอบนอกเสมอ”

ซูโย่วอี๋ขมวดคิ้ว “แล้วเธอได้พูดอะไรกับฉูรั่วฮวนไหม”

เฉินซีซีชักสีหน้า “ฉันพูด แต่ฉู่รั่วฮวนบอกว่าการวางบล็อกกิ้งอย่างนี้มันสมเหตุสมผลที่สุด แต่ฉันดูยังไงมันก็ไม่สมเหตุสมผลเลย คนอื่นมีโอกาสที่จะแสดงหน้ากล้อง มีเพียงฉันเท่านั้นที่อยู่แต่ด้านหลัง”

กระต่ายขาวตัวน้อยหักนิ้วอย่างไม่สบอารมณ์

ซูโย่วอี๋จับมือของเธอและพูดว่า “อย่าคิดมากเลย ทำส่วนของเธอให้ดีก็พอ ฉันมั่นใจว่าผู้ชมจะต้องเห็นแน่”

ทันใดนั้น เฉินซีซีก็เอื้อมมือไปกอดซูโย่วอี๋ “พี่สาว ฉันคิดถึงพี่มากเลย ฉันเข้าใจสิ่งที่พี่พูดแล้ว ที่พี่บอกว่าเมื่อมีคนใจร้ายใส่ เราก็จะได้รู้ว่าคนที่ใจดีกับเรานั้นมีค่าแค่ไหน”

“ฉัน เฉินซีซี สาบานว่าจะฝึกอย่างหนักนับจากนี้ไป และจะต้องไปถึงคลาส A เพื่อโชคชะตาของตัวเองให้ได้”

ชาวเน็ตที่ชมการถ่ายทอดสดในห้องซ้อม

[?]

[!]

[เธอเข้าใจอะไรนะ?]

[คุณจับพวกเขาไว้ด้วยกันได้อย่างไร]

[แยกเดี๋ยวนี้]

[อา อา กระต่ายขาวตัวน้อยน่ารัก x พี่สาวอ้วนหน้าเย็นชา]

[มีนักเขียนคนไหนมีปากกาให้ไหม วันนี้ฉันต้องเขียนนิยาย 100,000 คำ]

[ปิดตาของคุณ ฉันไม่เห็น ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น]

[ไม่ กระต่ายขาวตัวน้อยเป็นของฉัน เธอตัวเล็กมาก น่ารักจัง]

หลังจากที่ทั้งสองแยกกัน ซูโย่วอี๋ก็กลับไปที่หอพักเพื่อรับประทานอาหารกลางวัน

ขณะเดินอยู่บนเนินเขา ก็มีสองเรื่องที่ยังวนเวียนอยู่ในหัวของเธอ

หนึ่งคือลู่เฉินใช้เธอ

สองคือฉูรั่วฮวนแกล้งเฉินซีซีให้อยู่ด้านหลังตลอดการแสดงเพลง

เดิมทีมันเป็นสองสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกัน แต่จู่ ๆ ซูโย่วอี๋ก็มีความคิดบางอย่าง

เธอมองไปที่คฤหาสน์บนยอดเขา

ลู่เฉินคุณบอกฉันว่าโลกนี้ซับซ้อนมาก

ด้านสุนัขจิ้งจอกที่ไม่เข้าใจความคิดของซู่จู่ก็พูดขึ้น [คุณต้องการอะไร]

ซูโย่วอี๋พูดอย่างเย่อหยิ่งว่า “ฉันไม่บอกนายหรอก อืม ภูเขาย่อมมีเล่ห์เหลี่ยมเสมอ”

สุนัขจิ้งจอกกะพริบตาปริบ ๆ จ้องมองซู่จู่ของมัน [ลืมมันไปเถอะ]

เมื่อซูโย่วอี๋มาถึงห้องซ้อมในตอนบ่าย สมาชิกในทีมก็นั่งบนพื้นอย่างเรียบร้อย เมื่อเธอเข้ามาพวกเธอก็ยืนขึ้นและกล่าวทักทายทันที

“สวัสดีตอนบ่ายค่ะลีดเดอร์”

“อืม” ซูโย่วอี๋ขี้เกียจเกินไปที่จะทักท้วง “มีท่อนที่ต้องการร้องหรือยัง”

“ค่ะ”

ซูโย่วอี๋โบกมือและขอให้ทุกคนนั่งลง “ถ้าอย่างนั้นบอกฉันมา ถ้าเธอไม่ได้เลือกท่อนเดียวกัน ก็ผ่าน ถ้าคุณเลือกท่อนซ้ำกัน ให้แข่งกันแล้วให้คนที่เหมาะสมกว่าร้อง ตกลงไหม?”

สมาชิกในทีมไม่คัดค้าน

ซูโย่วอี๋จึงกล่าวเสริมอีกว่า “ชุ่ยเชียนต้ง เริ่มจากเธอก่อน”

เมื่อฟังครบทุกคน ซูโย่วอี๋เห็นว่าทุกคนเลือกท่อนที่เหมาะกับตัวเองมาก พร้อมกับอธิบายจุดแข็งของตนเองว่าทำไมถึงเลือกท่อนนี้

หลังจากที่ทุกคนพูดจบ มีเพียงสองคนเท่านั้นที่เลือกท่อนเดียวกัน

เฮ่อเหว่ยและชุ่ยเชียนต้งเองก็ดูไม่ได้ผิดใจกันเพราะเรื่องนี้

ท่อนแรกของเพลงแทบจะเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของทั้งเพลง

“พวกเธอแต่ละคนลองร้องท่อนนี้ แล้วให้คนที่เหลือโหวต คนที่ได้คะแนนโหวตมากที่สุดจะได้ร้องท่อนนี้นะ”

“ใครก่อนดี?”

ชุ่ยเฉียงตงมองไปที่เฮ่อเหว่ย “ฉันก่อน”

“การแสดงเริ่มขึ้น แขนเสื้อพลิ้วไหวขึ้นลง”

“การร้องเพลงด้วยทั้งทุกข์และสุข ไม่มีอะไรที่เกี่ยวกับฉัน”

ซูโย่วอี๋ฟังพร้อมกับพยักหน้าไปด้วย เสียงของชุ่ยเชียนต้งคมชัด นอกจากนี้ยังเหมาะสำหรับการร้องเปิดเป็นคนแรก

ส่วนเสียงของเฮ่อเหว่ยต่ำทุ้มและน่าดึงดูดน้อยกว่าเล็กน้อย

เมื่อเป็นอย่างนั้น ผลโหวตสุดท้ายก็คือชุ่ยเชียนต้งชนะและได้ร้องเปิดเป็นคนแรก

หลังจากได้ข้อตกลงแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการฝึกส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องและความพร้อมเพรียงโดยรวม

แม้ว่าเพลง ‘รองเท้าส้นสูงสีแดง’ จะเน้นไปที่เสียงร้อง และมีท่าเต้นไม่มากนัก แต่จังหวะของเพลงค่อนข้างดุดัน ถึงอย่างนั้นก็ต้องเต้นอย่างนุ่มนวล

ท่าเต้นของเพลงนี้ ทีมงานได้เชิญอาจารย์ที่เกี่ยวข้องมาสอนแล้ว

หลังจากซ้อมไปได้ระยะหนึ่ง ฮันเอินจีก็เข้ามาเป็นติวเตอร์เพื่อตรวจสอบความคืบหน้าของทีมนี้

“พวกเธอแบ่งท่อนร้องยังไง”

หลังจากถามลีดเดอร์ ชุ่ยเชียนต้งก็อธิบายการแบ่งท่อนอย่างละเอียด

ฮันเอินจีขมวดคิ้วและมองไปที่ซูโย่วอี๋ “แม้ว่าคุณจะเป็นลีดเดอร์ แต่คุณควรให้โอกาสกับสมาชิกในทีมมากกว่านี้นะ”

คนอื่น ๆ ร้องเพียงไม่กี่ท่อน บางคนได้ร้องเพียงหนึ่งหรือสองท่อน ในขณะที่ซูโย่วอี๋ร้องคนเดียวมากกว่าสิบท่อน

สมาชิกในทีมได้ยินอย่างนั้นก็อธิบายกับเธอทันทีว่า “นี่เป็นการตัดสินใจของเราหลังจากปรึกษาหารือกันค่ะ การที่ลีดเดอร์ได้ร้องท่อนฮุคคงเป็นการดีที่สุดค่ะ”

“ใช่ค่ะ พวกเราไม่มีปัญหา”

ถ้าเป็นไปได้ สมาชิกในทีมก็อยากจะทำหน้าที่แค่เต้น และให้ซูโย่วอี๋ร้องทั้งเพลงไปแล้ว

ฮันเอินจีได้ยินอย่างนั้นก็แปลกใจ เธอไม่ได้คาดหวังว่าคนเหล่านี้จะชื่นชมซูโย่วอี๋มากขนาดนี้

“ฉันขอแนะนำให้คุณลองพิจารณาดูอีกครั้ง ถึงยังไง โอกาสในการแสดงต่อหน้าสาธารณชนนั้นไม่ได้มีมาบ่อย ๆและนี่ก็คือการแข่งขัน”

สมาชิกในทีมไม่ได้ให้ความสนใจกับประโยคนัันมากนัก หากแต่ซูโย่วอี๋พิจารณาประโยคนี้อย่างจริงจัง

[ฉันคิดว่าฮันเอินจีพูดถูก]

[ใช่ การกระจายเนื้อเพลงมันดูกระจุกอยู่ที่คนคนเดียว มันยากที่จะตัดสิน เพราะนี่ดูเหมือนการแสดงของซูโย่วอี๋คนเดียว]

[เหล่าสาวน้อยแสนน่ารัก]

[ใช่ อันที่จริง ทุกคนก็ร้องเพลงได้ดีนะ พวกเราอยากเห็นทุกคนบนเวทีด้วย]

[เอาล่ะ โย่วโย่ว ควรจะพิจารณานะ]

[ฉันสนับสนุนโย่วโย่วอย่างไม่มีเงื่อนไข]

หลังจากที่ฮันเอินจีจากไปแล้ว ซูโย่วอี๋ก็พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ฉันไม่ทันคิดถึงเรื่องนี้เลย เอาล่ะ เราจะแบ่งท่อนกันใหม่”

สมาชิกในทีมมองหน้ากันและพูดว่า “ลีดเดอร์ เป็นเพราะสิ่งที่คุณฮันพูดหรือเปล่า ถ้าเรื่องนั้น…”

“มันไม่เป็นไรนะคะ พวกเราโอเคกับการแบ่งท่อนร้องแล้ว”

ซูโย่วอี๋ยิ้ม “ไม่ ฉันก็เคยคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เหมือนกัน ที่อาจารย์ฮันเสนอเรื่องนี้ก็ถูกต้องแล้ว เรามาแบ่งท่อนกันใหม่เถอะ”

“เนื้อเพลงมีเนื้อร้องทั้งหมดยี่สิบแปดท่อน ทีมเรามีเจ็ดคน เราแต่ละคนต้องมีคนละสี่ท่อน ซึ่งอาจจะสั้นยาวต่างกันเล็กน้อย แต่ก็ไม่มากเกินไป”

เฮ่อเหว่ยทำท่าครุ่นคิด “แต่เนื้อร้องส่วนใหญ่เป็นท่อนโอเปร่านะคะ ถ้ากระจายท่อนให้เท่ากัน ก็หมายความว่าจะมีคนอื่นต้องร้องท่อนโอเปร่าด้วยสิ”

ในเมื่อซูโย่วอี๋ร้องท่อนนี้ไปแล้วใครจะกล้าร้องต่อจากเธอ? คงไม่ใช่การสังหารหมู่ฝ่ายเดียว

สมาชิกในทีมต่างหันหน้าหนีเพราะไม่มีใครอยากร้องท่อนนี้เลย

ไม่ร้องยังดีซะกว่า

แต่จู่ ๆ ซูโย่วอี๋ก็พูดว่า “ถ้าพวกเธอเต็มใจที่จะร้องเพลงโอเปร่า ฉันจะสอนเธอเอง”

เมื่อได้ยิน คนในทีมก็เกิดความกระตือรือร้นขึ้นมา และทุกคนก็อยากจะร้องท่อนนี้

“อืม ฉันคิดว่าฉันร้องได้นะคะ”

“ฉันด้วย ฉันคิดว่าฉันเรียนรู้ได้เหมือนกัน”

“ใช่ ฉันไม่ได้แย่ขนาดนั้น”

“ลีดเดอร์ มองมาที่ฉันสิ”

ฉากนี้ทำเอาชาวเน็ตขำแทบตาย