ตอนที่ 78 วิธีการเช่นนี้เป็นวิถีของฝ่ายมาร
ภายในใจเขาโศกศัลย์เพียงใดมิมีผู้ใดล่วงรู้ คิดไม่ถึงว่าวงศ์ตระกูลจะตกต่ำจนถึงขั้นที่น้องสาวผู้บอบบางที่สองมือเคยจับเพียงพู่กันต้องเข้าร่วมศึกเพื่อช่วยเพิ่มขวัญกำลังใจให้กองทัพ หากเกิดอะไรขึ้นกับน้องสาวจริงๆ เขาตายนับหมื่นครั้งก็ยากจะไถ่โทษได้ ไม่มีหน้าไปพบบิดามารดารวมถึงพี่ชายทั้งสองที่ล่วงลับไปแล้ว
“เสด็จพี่ ข้าไม่เป็นไร” ซางซูชิงส่ายหน้าอย่างอ่อนแรงเล็กน้อย
หนิวโหย่วเต้ารุดเข้ามาทันที ยื่นมือไปสกัดจุดห้ามเลือดให้ซางซูชิงอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็จับชีพจรให้ซางซูชิง ตรวจสอบสภาพแผลที่แผ่นหลังซางซูชิงเล็กน้อย สำหรับสตรีนางนี้ หนิวโหย่วเต้าไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะพูดอย่างไร เดิมทีเนี่ย เรื่องที่อันตรายเช่นนี้ เขาคิดว่าการที่ตนหลบเลี่ยงมันก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องสมควรแล้ว ไม่จำเป็นต้องสละชีวิตเพื่อผู้อื่น แต่ผลปรากฏว่าสตรีนางนี้ก็เข้าสู่สนามรบเช่นกัน ทำให้ในใจเขามีความรู้สึกที่อธิบายได้ลำบากปรากฏขึ้นมา จะเรียกว่าเป็นความละอายใจก็ได้กระมัง
แต่แน่นอน ไม่มีทางมองเห็นร่องรอยความละอายใจใดๆ จากใบหน้าของเขาได้
ตอนนี้เขากลับนึกห่วงหยวนกัง แม้แต่เขายังรู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อยเลย แล้วหยวนกังที่ถูกเขาขวางเอาไว้จะรู้สึกอย่างไร ในใจจึงเกิดความรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาเล็กน้อย
“ท่านอ๋อง ท่านหญิงไม่เป็นอะไรมากพ่ะย่ะค่ะ แค่เสียเลือดมากเกินไป พักฟื้นสักระยะก็คงจะหายดี ทว่าบาดแผลบนแผ่นหลังค่อนข้างใหญ่ เกรงว่าจำเป็นต้องทำการเย็บแผล มิเช่นนั้นภายหลังจะหลงเหลือรอยแผลเป็นขนาดใหญ่ไว้ได้” หลังจากตรวจสอบเสร็จหนิวโหย่วเต้าก็แจ้งต่อซางเฉาจง
พอได้ยินว่าไม่เป็นอะไรมาก ซางเฉาจงก็เบาใจลงเล็กน้อย แต่พอได้ยินว่าต้องเย็บแผล จึงเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความฉงนว่า “เย็บแผลหรือ? เย็บแผลอย่างไร?”
“เอ่อ…” หนิวโหย่วเต้าผงะไป เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าที่นี่ไม่มีวิธีการนี้อยู่ จึงชี้แจงว่า “เป็นการใช้เข็มและด้ายเย็บแผลเข้าหากันเช่นเดียวกับการเย็บผ้า ไม่เพียงแต่ช่วยให้แผลสมานแนบสนิทเท่านั้น แต่ยังช่วยลดแผลเป็นได้อย่างมาก มีข้อดีมากกว่าการปล่อยให้ปากแผลเปิดอยู่เช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ”
ซางเฉาจงสูดหายใจด้วยความตระหนก ถูกดาบฟันยังไม่เท่าไร แต่การนำเข็มกับด้ายมาเย็บร้อยผิวหนังเหมือนเย็บผ้า เพียงได้ยินก็ทำเอาหนังหัวเขาชาหนึบ เอ่ยไปว่า “เนื้อหนังร่างกายหาใช่เสื้อผ้า เต้าเหยี่ยล้อกันเล่นอยู่หรือ?”
หนิวโหย่วเต้านวดขมับเล็กน้อย ปัญหาด้านแนวคิดความเชื่อยากจะเปลี่ยนแปลงได้ คาดว่าถึงอธิบายไปอย่างไรก็คงไม่มีประโยชน์ คิดไปคิดมาก็คร้านจะอธิบายต่อ แล้วแต่แล้วกัน!
ซางซูชิงเอ่ยถามอย่างอ่อนแรง “เต้าเหยี่ย เย็บปากแผลแล้วจะมีส่วนช่วยในการฟื้นฟูอาการบาดเจ็บหรือ?”
หนิวโหย่วเต้าพยักหน้ารับ “แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
ซางซูชิงถามต่อ “เช่นนั้นรบกวนเต้าเหยี่ยช่วยเย็บแผลให้เหล่าทหารที่บาดเจ็บได้หรือไม่?”
“เฮือก…” เหล่าองครักษ์รอบข้างที่ได้รับบาดเจ็บล้วนสูดหายใจดังเฮือก รู้สึกหนาวสันหลังไปหมด กุมบาดแผลหดถอยหลังไปตามสัญชาตญาณ รู้สึกเช่นเดียวกับซางเฉาจง จะเย็บร้อยเนื้อหนังตนเหมือนเย็บผ้าอย่างนั้นหรือ ล้อกันเล่นหรือเปล่า?
ซางเฉาจงขมวดคิ้วพลางกล่าวว่า “ชิงเอ๋อร์ เรื่องเช่นนี้ไหนเลย…”
ซางซูชิงเอ่ยขัด “เสด็จพี่ ข้าเชื่อว่าเต้าเหยี่ยไม่มีทางพูดส่งเดช หากว่ามีประโยชน์ต่อการรักษาตัวของเหล่าทหารก็นับเป็นเรื่องดี” นางมองเห็นสีหน้าหวาดผวาของเหล่าองครักษ์ที่อยู่รอบข้าง พลันเอ่ยอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “เต้าเหยี่ย เย็บแผลให้ข้าก่อนเถอะ!” เห็นได้ชัดว่าคิดจะใช้ตัวเองเป็นตัวอย่าง
หนิวโหย่วเต้าหัวเราะฮ่าๆ หันไปสั่งการ “เจ้าลิง เตรียมอุปกรณ์ ต้มน้ำเดือดฆ่าเชื้อ!”
หยวนกังพยักหน้ารับ หันหลังเดินออกไปเตรียมการ เขาโบกมือคราหนึ่ง เหล่าสมณะแห่งวัดหนานซานอย่างพวกหยวนฟางก็ตามก้นต้อยๆ ไปเป็นลูกมือทันที
หลานรั่วถิงที่อยู่ด้านข้างย่อกายลง ยกถุงสัมภาระห่อหนึ่งขึ้นมา หยิบขวดกระเบื้องเคลือบสองใบออกมาจากถุง เทยาสีแดงและสีเขียวออกมาอย่างละเม็ด ให้ซางซูชิงกินเข้าไป
หนิวโหย่วเต้าเห็นยานี้ก็รู้สึกคุ้นตาอยู่บ้าง เคยอ่านเจอสรรพคุณในตำรามาก่อน เมื่อครู่ก็เห็นผู้บาดเจ็บไม่น้อยล้วนใช้ยาชนิดนี้เช่นกัน จึงลองถามดู “โอสถบำรุงเลือดเสริมปราณกับโอสถจิตกระจ่างใช่หรือไม่”
“ใช่!” หลานรั่วถิงพยักหน้ารับ
หนิวโหย่วเต้าร้องอ่อคำหนึ่ง โอสถบำรุงเลือดเสริมปราณเข้าใจได้ไม่ยาก ส่วนโอสถจิตกระจ่างสีเขียวเม็ดนั้นหลังจากกินเข้าไปจะช่วยป้องกันไม่ให้แผลกลัดหนอง อันที่จริงถ้าอิงตามความเข้าใจของเขาก็น่าจะเป็นยาแก้อักเสบ เป็นยาสามัญประจำสนามรบของโลกนี้
ซางเฉาจงไม่ได้เอาแต่อยู่เป็นเพื่อนน้องสาวตน เวลาแบบนี้จะมาทำเช่นนี้ไม่ได้ พี่น้ององครักษ์ที่ได้รับบาดเจ็บมีจำนวนไม่น้อย แล้วก็ยังมีพี่น้องที่ตายไปในสนามรบด้วย ต่อให้เป็นห่วงน้องสาวแค่ไหน สุดท้ายก็ต้องฝากฝังซางซูชิงให้หนิวโหย่วเต้าดูแล ส่วนตนก็ไปจัดการเรื่องราวอย่างอื่นต่อ
หลังจากศพขององครักษ์กว่าสามสิบนายถูกหาพบก็ถูกนำมารวมไว้ด้วยกัน ซางเฉาจงนิ่งเงียบไร้วาจา เงยหน้ามองธงรบของกององครักษ์เลิศล้ำห้าวหาญที่ถูกปักไว้ใกล้ๆ กำลังสะโบกบัดท้าสายลมอยู่
มีองครักษ์สิ้นชีพในสงครามสามสิบสามนาย บาดเจ็บทั้งหนักทั้งเบานับไม่ถ้วน หากว่ากันในด้านผลการรบ ก็นับว่ามีชัยอย่างเด็ดขาด แต่ถ้าว่ากันตามกำลังคนของเขาในตอนนี้ ก็นับว่าเขาประสบความเสียหายไม่น้อยเลย เขาทนรับการสูญเสียเช่นนี้หลายๆ ครั้งไม่ไหว
เฟิ่งรั่วหนานที่อยู่ห่างไปไม่ไกลเหลียวมองซางเฉาจงที่มีโลหิตเปรอะร่างเป็นพักๆ จากนั้นก็หันไปมองซางซูชิงที่ได้รับบาดเจ็บเป็นครั้งคราว นึกย้อนถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ขึ้นมา ท่านหญิงผู้สูงศักดิ์พุ่งทะยานนำหน้าเหล่าทหารโดยไม่เกรงกลัวต่อความตาย สตรีบอบบางอ้อนแอ้นแบกธงรบเข้าร่วมศึก ความองอาจของครอบครัวหนิงอ๋องทำให้นางตกตะลึง รู้สึกสะท้อนใจว่ามิน่าเล่าหนิงอ๋องถึงสามารถนำทัพผงาดเกรียงไกรไปทั่วหล้าได้ นางต้องยอมรับเลยว่าตนดูแคลนสองพี่น้องคู่นี้ด้วยสายตาอคติ ทว่านางไม่มีทางเปิดปากยอมรับออกมาได้
ทว่าสุดท้ายนางยังคงเดินเข้าไปหาซางซูชิง เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ท่านหญิงไม่เป็นอะไรมากกระมัง?”
“พี่สะใภ้ ข้าไม่เป็นไร!” ซางซูชิงตอบอย่างอ่อนระโหยโรยแรง
เฟิ่งรั่วหนานตอบอืมคำหนึ่ง เมื่อสังเกตเห็นหนิวโหย่วเต้าที่อยู่ด้านข้าง นางเผยแววตาชิงชังรังเกียจ ยามนั้นทุกคนของทางฝั่งนี้ล้วนพุ่งทะยานออกไป แต่ฝ่าซือผู้นี้กลับซุกตัวอยู่ด้านหลัง ไม่เคยเห็นฝ่าซือติดตามเช่นนี้มาก่อนเลย อดไม่ได้ที่แค่นเสียงหมิ่นหยาม “หน้าด้านไร้ยางอาย!”
“…..” หนิวโหย่วเต้าคิดจะตอบโต้ แต่คิดๆ ดูก็ปล่อยผ่านเสีย ครั้งนี้อดทนเอาไว้
เฟิ่งรั่วหนานหันไปเรียกเหวินลี่เข้ามาดูแลซางซูชิง ทางฝั่งซางเฉาจงไม่มีสตรีคนอื่นอีก จะให้กลุ่มบุรุษมาคอยดูแลสตรีบาดเจ็บนางหนึ่งคงไม่สะดวกนัก
กระโจมถูกตั้งขึ้นชั่วคราว หยวนกังเตรียมอุปกรณ์ทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ซางซูชิงนอนฟุบอยู่บนพรมขนสัตว์ผืนหนึ่ง
หนิวโหย่วเต้าที่เตรียมจะลงมือยื่นมือไปยังแผ่นหลังของนาง ทันใดนั้นมือของเขาพลันหยุดชะงัก นึกขึ้นได้ว่าชายหญิงมิพึงชิดใกล้ อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามด้วยความลังเล “ท่านหญิง กระหม่อมอาจจำเป็นต้องฉีกเสื้อผ้าด้านหลังของท่านหญิงออกเล็กน้อยพ่ะย่ะค่ะ”
ซางซูชิงเข้าใจความหมายของเขา ผิวกายบริเวณแผ่นหลังของตนจะเผยสู่สายตาเขา นางขบกรามกัดริมฝีปากเล็กน้อย แอบรู้สึกกระดากอาย แต่ปากกลับพูดไปว่า “การช่วยเหลือเยียวยาในสนามรบไม่ถือสาในเรื่องนั้น ข้าเชื่อว่าเต้าเหยี่ยเองก็มิใช่คนถ่อยเช่นนั้น” ประโยคสุดท้ายแฝงความนัยไว้อย่างชัดเจน เจ้าอย่าได้รุ่มร่ามแล้วกัน!
หนิวโหย่วเต้าหัวเราะเล็กน้อย ฉีกเสื้อผ้าด้านหลังของนางออกบางส่วน ยามที่ช่วยล้างคราบเลือดบริเวณปากแผลนางถึงได้ค้นพบว่า ถึงแม้ใบหน้าของสตรีผู้นี้จะอัปลักษณ์ แต่ผิวกายด้านหลังกลับขาวเนียนดุจกระเบื้องเคลือบ การที่มีบาดแผลขนาดใหญ่อยู่บนผิวงามลออที่หายากเช่นนี้นับเป็นบาปมหันต์จริงๆ
“เสียดายที่ไม่มีแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อ ถ้ามีโอกาสต้องทำไว้สักหน่อยแล้ว…” หนิวโหน่วเต้าบ่นงึมงำ ร้อยเข็มกับด้ายที่ผ่านการต้มแล้ว เข็มกับด้ายก็ดูไม่เหมาะแก่การใช้งานอย่างเห็นได้ชัด เข็มเป็นเข็มเย็บผ้า ด้ายก็ทำจากฝ้าย แต่ภายใต้เงื่อนไขในตอนนี้ จึงทำได้เพียงต้องใช้ไปก่อน
เมื่อเห็นหนิวโหย่วเต้ากำลังสนเข็มร้อยด้าย ซางซูชิงเองก็มองด้วยความอกสั่นขวัญแขวน รีบเบือนหน้าหนีไม่มองอีก
หลังจากหนิวโหย่วเต้าสกัดจุดชาระงับความเจ็บปวดให้แล้ว เขาก็รีบเย็บสมานแผลอย่างรวดเร็ว พิถีพิถันใส่ใจ ด้วยหวังว่าบาดแผลจะสามารถสมานตัวได้ดีโดยไม่ทิ้งรอยแผลเป็นใดๆ เอาไว้ นับว่าเป็นการแสดงความรู้สึกผิดในใจด้วยกระมัง
เหวินลี่ที่เฝ้ามองอยู่ด้านข้างเพิ่งเข้าใจว่าเขาจะทำอันใด สีหน้าหวาดผวายิ่ง รู้สึกแน่นหน้าอกขึ้นมา มือเท้าเย็นเฉียบ จะเย็บเนื้อหนังเสมือนเย็บผ้าได้อย่างไรกัน มันจะน่ากลัวเกินไปแล้ว!
หลังจากทุกอย่างเสร็จสิ้นลง หนิวโหย่วเต้าพยุงซางซูชิงขึ้นมา กล่าวว่า “เรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ คอยระวังอย่าให้สะเทือนบาดแผล รอจนแผลหายสนิทแล้วค่อยตัดด้ายออก รอยแผลเป็นน่าจะไม่เห็นเด่นชัดนัก”
“เรื่องแผลเป็นไม่สำคัญเลย” ซางซูชิงส่ายหน้า ต่อให้แผลเป็นบนร่างจะน่าเกลียดแค่ไหนก็ไม่มีทางน่าเกลียดไปกว่าปานบนใบหน้านาง สิ่งที่นางใส่ใจมากที่สุดคือวิธีการนี้จะช่วยฟื้นฟูบาดแผลของเหล่าทหารได้จริงหรือไม่ เดิมทีทหารของพวกนางสองพี่น้องก็มีอยู่ไม่มาก สามารถทำให้ฟื้นฟูได้ไวขึ้นเท่าไรก็เท่านั้น นางขยับร่างกายเล็กน้อย ดูเหมือนจะไม่เป็นอะไร ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่จินตนาการไว้ จึงรีบเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “รบกวนเต้าเหยี่ยช่วยเย็บแผลให้เหล่าทหารที่ได้รับบาดเจ็บด้วยเถอะ”
หนิวโหย่วเต้าหัวเราะฮ่าๆ เอ่ยสั่งหยวนกัง “เจ้าไปจัดการแล้วกัน พาพวกเจ้าหมีไปด้วย ให้พวกเขาได้ฝึกฝนเรียนรู้ มีคนบาดเจ็บอยู่ไม่น้อย ถ้ามีคนทำเป็นมากหน่อยก็จะยิ่งทำได้เร็วขึ้น” เขาไม่มีเวลาว่างพอจะลงมือช่วยเหลือทุกคนด้วยตัวเอง
หยวนกังหันหลังเดินจากไป
เหวินลี่ช่วยสวมเสื้อคลุมตัวหนึ่งให้ซางซูชิง
หนิวโหย่วเต้าหันไปมองดูซางซูชิงที่มีใบหน้าซีดเซียว อดถอนใจออกมาไม่ได้ “พระองค์นี่นะ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าไม่สันทัดด้านการออกศึก เหตุใดยังฝืนวิ่งออกไปแสดงความกล้าหาญอีกล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”
“พวกเราพี่น้องไม่มีสิทธิ์หลบซ่อนภัยอย่างเห็นแก่ตัวแล้วปล่อยให้เหล่าพี่น้องออกไปตายได้ หากทุกคนเอาแต่รักตัวกลัวตาย ก็คงมิมีกององครักษ์เลิศล้ำห้าวหาญอีก” ซางซูชิงอธิบายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่ากลับทำให้หนิวโหย่วเต้าละอายใจขึ้นมาอีกครั้ง เขาคือคนที่เลือกเอาตัวรอดด้วยความเห็นแก่ตัว ซางซูชิงมองเขาแวบหนึ่ง จู่ๆ ก็เอ่ยถามอีกประโยคว่า “เต้าเหยี่ย หากว่าหยวนเหยี่ยเข้าสู่สนามรบ ท่านจะไปด้วยหรือไม่?”
“ขึ้นอยู่กับสถานการณ์” หนิวโหย่วเต้าแย้มยิ้มพลางทิ้งท้ายไว้ประโยคหนึ่ง มุดออกจากกระโจม ไม่คิดพูดเรื่องนี้ให้มากความอีก
เมื่อจัดการทางซางซูชิงเรียบร้อยแล้ว เหวินลี่ก็รีบกลับไปหาเฟิ่งรั่วหนาน บอกเล่าสิ่งที่พบเห็น เฟิ่งรั่วหนานฟังแล้วสีหน้าแปรเปลี่ยน เย็บเนื้อหนังคนเป็นๆ เสมือนเย็บผ้าอย่างนั้นหรือ?
ไป๋เหยาเอ่ยขึ้นมาประโยคหนึ่ง “วิธีการเช่นนี้เป็นวิถีของคนฝ่ายมาร!”เขามองหนิวโหย่วเต้าที่อยู่ไกลออกไปด้วยแววตาลุ่มลึกเล็กน้อย
แต่กระทั่งซางซูชิงก็ยังใช้ตัวเองเป็นตัวอย่าง องครักษ์ของซางเฉาจงที่ได้รับบาดเจ็บเหล่านั้นไม่สามารถหลบไปไหนได้อีก หยวนกังพาเหล่าสมณะวัดหนานซานไปเป็นเย็บแผลให้แก่ผู้บาดเจ็บ วิธีเย็บแผลนี้ไม่ยาก ใช้เวลาเรียนรู้ไม่นาน อยู่ที่ว่าจะกล้าลงมือหรือไม่เท่านั้น เมื่อเผชิญหน้ากับหมัดเท้าของหยวนกัง ต่อให้พวกหยวนฟางไม่กล้าลงมือก็จำใจต้องลงมืออยู่ดี ทว่าฝีมือการเย็บจะดีหรือแย่ก็มิอาจทราบได้
ด้วยเหตุนี้องครักษ์ฝ่ายซางเฉาจงที่ได้รับบาดเจ็บเหล่านั้นต่างร้องโหยหวนปานหมูถูกเชือด ชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งไม่กลัวถูกบั่นคอ แต่กลับหวาดกลัวเรื่องนี้ เมื่อหนิวโหย่วเต้าเดินยกมือไพล่หลังเข้ามาตรวจสอบดูก็ส่ายหน้าทันที สาเหตุหนึ่งที่ทหารเหล่านั้นร้องโหยหวนเป็นเพราะพวกหยวนกังไม่ทราบวิชาสกัดจุดชา
เมื่อได้ยินว่ากององครักษ์เลิศล้ำห้าวหาญล้วนได้รับการรักษาเช่นนั้น เฟิ่งรั่วหนานก็สงสัยขึ้นมา หรือว่านี่จะเป็นวิธีรักษาแบบพิเศษของกององครักษ์เลิศล้ำห้าวหาญ? ตอนนี้นางสนใจที่จะเรียนรู้ในทุกๆ เรื่องขององครักษ์เลิศล้ำห้าวหาญ อดไม่ได้ที่จะรุดไปตรวจสอบด้วยตัวเอง แต่ธรรมชาติของผู้หญิงเป็นสิ่งที่ยากจะหลีกเลี่ยงได้ นางมองแล้วอกสั่นขวัญแขวน แน่นหน้าอกขึ้นมา ไม่กล้ามองตรงๆ ประกอบกับเหล่าองครักษ์ร้องโหยหวนปานหมูถูกเชือด จึงทำให้นางล้มเลิกความคิดที่รักษาคนของตนด้วยวิธีการเดียวกันทันที
ฟ้ามืดลงแล้ว ขบวนเดินทางไม่ได้เดินทางข้ามเทือกเขาเขี้ยวหมาป่าในยามวิกาล หากแต่เสาะหาเทือกเขาแห่งหนึ่งที่มีทำเลป้องกันง่ายโจมตียากเพื่อพักแรม รอให้ฟ้าสางแล้วค่อยเดินทางต่อ
ทางนี้ได้ทำการส่งปีกทองไปรายงานสถานการณ์ความเสียหายจากการสู้รบตลอดจนเรื่องราวที่เกิดขึ้นต่อทางเฟิ่งหลิงปออย่างเร่งด่วนแล้ว สำนักหยกสวรรค์เองก็เสียผู้บำเพ็ญเพียรไปสิบกว่าคนเช่นกัน จำเป็นต้องให้สำนักหยกสวรรค์ส่งคนมาเสริมกำลัง แต่ว่ายังไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนที่ต้องทำในตอนนี้
……………………………………………………..