ตอนที่ 105 เค้าลางของพายุ (1) ตอนที่ 106 เค้าลางของพายุ (2)

ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร

ตอนที่ 105 เค้าลางของพายุ (1)

หลังจากที่จวินอู๋เสียออกไปแล้ว การแสดงออกบนใบหน้าของจวินเสี่ยนกับจวินชิงก็มืดครึ้มลง

“เรื่องเกี่ยวกับหลินเย่ว์หยางนั้นเป็นเรื่องจริงหรือขอรับ” จวินชิงยกเรื่องที่หารือกันกับผู้เป็นบิดาก่อนหน้าที่จวินอู๋เสียจะเข้ามาขึ้นมาอีกครั้ง

จวินเสี่ยนพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “เรื่องนี้แปลกมาก หลินเย่ว์หยางซื่อตรงและวางตัวดีมาโดยตลอด ทั้งยังมีตำแหน่งหน้าที่ไม่สูงนักในราชสำนัก แต่ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมากลับมีฎีกายื่นขึ้นไปกล่าวโทษเขามากจนน่าตกใจ ฮ่องเต้จึงทรงมีพระกระแสรับสั่งให้ใครสักคนสืบสวนเรื่องนี้”

“หลินเย่ว์หยางเคยช่วยชีวิตพี่ใหญ่ไว้ในสนามรบ หากไม่ใช่เพราะเขาที่แจ้งพี่ใหญ่ทราบเกี่ยวกับสายลับในกองทัพที่ร่วมมือกับพวกศัตรูได้ทันเวลา ศัตรูที่ซ่อนตัวอยู่ในกองทัพก็จะมีช่องว่าง และพี่ใหญ่ก็จะต้องเผชิญกับทั้งศึกนอกและศึกในพร้อมกัน สถานการณ์ในยามนั้นของพี่ใหญ่คงยุ่งยากและลำบากกว่านั้นมาก” จวินชิงถอนหายใจเมื่อนึกถึงหลินเย่ว์หยาง ผู้ที่มีบุญคุณต่อสกุลจวินของพวกเขา

“ใช่ เขาเป็นบุรุษที่ซื่อตรง แต่เขาไม่ใช่คนโง่ เมื่อปีนั้นตอนที่เขาถูกแต่งตั้งให้เป็นขุนนางในเมืองหลวง ตัวเขาก็ได้ขีดเส้นเว้นระยะห่างกับจวนหลินอ๋องของพวกเราอย่างชัดเจน เขาคงจะคาดการณ์อะไรบางอย่างได้จึงได้กระทำเช่นนี้โดยเจตนา หลายปีผ่านไป แม้ว่าเราจะอยู่ในเมืองหลวงเช่นเดียวกับเขา แต่จำนวนครั้งที่พบหน้าก็แทบนับนิ้วได้ กอปรกับหลินเย่ว์หยางวางตัวจืดจางไม่โดดเด่นมาโดยตลอด ใครกันที่อยากใส่ร้ายเขาเช่นนี้” จวินเสี่ยนคิดไม่ตกเล็กน้อย เขาไม่เข้าใจ หลินเย่ว์หยางก็แค่ขุนนางยศน้อยคนหนึ่ง ไม่เคยแย่งชิงคิดร้ายต่อผู้ใด ไม่มีอำนาจ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองใดๆ เขาจะไปล่วงเกินใครได้

“ท่านพ่อ ท่านจะสืบเรื่องนี้หรือไม่ขอรับ” จวินชิงเอ่ยถาม

จวินเสี่ยนถอนหายใจออกมาเบาๆ “พี่ชายเจ้าติดค้างเขาเอาไว้มาก และเขาก็เป็นคนซื่อสัตย์ หากไม่ใช่เพราะเหตุการณ์ในครั้งนั้นเกี่ยวข้องกับสกุลจวิน ฮ่องเต้ก็คงไม่สงสัยหวาดระแวงว่าอดีตทหารชายแดนเช่นเขาจะสมรู้ร่วมคิดกับสกุลจวิน พวกเราต้องรับผิดชอบที่ลากเขาเข้ามาในเรื่องวุ่นวายพวกนี้”

สีหน้าของจวินชิงน่าเกลียดอย่างถึงที่สุด อาจเพราะตอนนั้นเขายังเด็กยังมองเรื่องราวหลายๆ อย่างได้ไม่ชัดเจนดี นึกย้อนไปถึงอดีตยามที่สกุลจวินยังรุ่งโรจน์ ไม่ได้ตกต่ำอับจนเช่นนี้ ก่อนที่พี่ชายของเขาจะสละชีพในสนามรบ ก่อนที่เขาจะต้องมานั่งรถเข็นเป็นคนพิการที่ทำอะไรไม่ได้ หลายๆ อย่างที่ถูกปิดบังอำพรางไว้ ภัยอันตรายต่างๆ ที่เร้นกายซ่อนอยู่ในเงามืด ค่อยๆ ถูกเปิดเผยออกมาทีละนิดหลังรัศมีแห่งเกียรติยศเหล่านั้นเริ่มถดถอยเลือนหายไปตามกาลเวลา

“เช่นนั้นก็ให้ใครสักคนตรวจสอบเรื่องนี้ดูเถอะ” จวินเสี่ยนส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา เขาทนไม่ได้จริงๆ ที่จะเห็นขุนนางน้ำดีของรัฐเช่นนั้นถูกใส่ร้ายได้

เสียงเคาะประตูที่ฟังดูเร่งด่วนพลันดังขึ้นอย่างกะทันหัน ขัดจังหวะการสนทนาระหว่างสองพ่อลูกสกุลจวิน

“เข้ามา” จวินเสี่ยนส่งเสียงตอบรับ

ยามรักษาการณ์ของจวนหลินอ๋องผู้หนึ่งคุกเข่าอยู่ที่หน้าประตู ทิวทัศน์ในยามค่ำคืนที่อยู่ข้างหลังเขาพาให้รู้สึกหนาวเหน็บ

“รายงานหลินอ๋อง ท่านแม่ทัพเวยอู่ต้องการขอเข้าพบขอรับ”

“แม่ทัพเวยอู่…หลี่หร่านน่ะรึ! เขาวิ่งมาทำอะไรที่จวนหลินอ๋องของข้าดึกดื่นเช่นนี้” จวินเสี่ยนถามพลางขมวดคิ้ว

“ข้าน้อยไม่ทราบขอรับ แต่ท่านแม่ทัพนำทหารมาด้วยจำนวนหนึ่ง ดูกระวนกระวายไม่น้อยเลยขอรับ”

“ข้าจะไปดู” จวินเสี่ยนลุกขึ้นยืน แต่จวินชิงก็คว้าแขนเสื้อของเขาไว้

“กลางดึกเช่นนี้อากาศหนาวเย็นยิ่งนัก ขอท่านพ่อโปรดระมัดระวังตัวด้วย” จวินชิงกล่าวเป็นนัย

จวินเสี่ยนพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ

ด้านนอกประตูจวนหลินอ๋อง ทหารสองคนกำลังกวัดแกว่งคบเพลิงเพื่อขับไล่ราตรีให้ถอยร่น แม่ทัพเวยอู่นามหลี่หร่านยืนอยู่ข้างหน้าม้าของเขา ใบหน้าคมเข้มเต็มไปด้วยความวิตกกังวล

ทันใดนั้นเมื่อเห็นจวินเสี่ยนเดินออกมาจากจวนหลินอ๋อง หลี่หร่านก็รีบพุ่งเข้าไปหาเขาแล้วคุกเข่าลงต่อหน้าจวินเสี่ยน

“หลี่หร่าน นี่มันเรื่องอะไรกัน”

“เรียนหลินอ๋อง! ได้โปรดช่วยด้วยขอรับ!” หลี่หร่านประสานมือกำหมัดแน่น

จวินเสี่ยนขมวดคิ้วเล็กน้อย “เกิดอะไรขึ้น อะไรทำให้เจ้ามาที่นี่กลางดึกเช่นนี้”

“สกุลหลิน…เกิดเรื่องขึ้นแล้วขอรับ” หลี่หร่านพูดอึกอัก

หัวใจของจวินเสี่ยนกระตุกวูบ แต่เขายังคงรักษาท่าทีสงบนิ่งเอาไว้ได้

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น!”

“ข้าน้อยได้รับพระบัญชาจากฝ่าบาทให้นำตัวใต้เท้าหลินไปสอบสวนในข้อหาทุจริตรับสินบน ทว่าตอนที่ข้าน้อยไปถึง เรื่องร้ายก็ได้เกิดขึ้นในจวนสกุลหลินแล้ว ใต้เท้าหลินได้ทำการสังหารสมาชิกในครอบครัวไปทั้งสิ้นสามสิบหกคน เมื่อตอนที่ข้าน้อยไปถึงที่นั่น ก็เห็นเขาเป็นบ้า มือจับดาบที่ยังเสียบคาอยู่ที่อกของหลินฮูหยิน” หน้าผากของหลี่หร่านเหงื่อไหลเย็นเยียบ เขาไม่กล้านึกถึงสิ่งที่เขาเพิ่งพบเห็นมาเมื่อครู่

ตอนที่ 106 เค้าลางของพายุ (2)

“เจ้าพูดว่าอย่างไรนะ!” ดวงตาของจวินเสี่ยนเบิกกว้าง เขาแทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เพิ่งได้ยิน

“ใต้เท้าหลินรู้แล้วว่าในเวลานี้ฝ่าบาททรงกำลังติดตามสืบสวนคดีการกระทำผิดของเขา ข้าน้อยไม่ทราบว่าเขารู้ได้อย่างไรหรือว่ามีใครที่ปล่อยข่าว แต่จู่ๆ เขาก็สังหารทุกคนในตระกูลทิ้ง เมื่อสักครู่ข้าน้อยพยายามจับกุมตัวเขาแล้ว แต่ไม่คาดคิดว่าทักษะการต่อสู้ของใต้เท้าหลินจะสูงส่งเยี่ยงนี้ ข้าน้อยไม่ใช่คู่มือของเขา หลังจากเขาทำร้ายทหารนับสิบคนและหลบหนีไป ข้าน้อยไม่รู้จะทำอย่างไรจึงได้บากหน้ามาร้องขอความช่วยเหลือจากท่าน! ขอให้ท่านอ๋องโปรดยื่นมือเข้าช่วยด้วย! หากเขาหนีไปได้ ฝ่าบาทจะต้องไม่ละเว้นข้าน้อยเป็นแน่ขอรับ” หลี่หร่านอ้อนวอน เขาคุกเข่าลงตรงหน้าจวินเสี่ยน

มือของจวินเสี่ยนที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อกำหมัดแน่น เขาต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการปกปิดความสะเทือนใจที่สั่นสะท้านไปทั่วทั้งร่างของเขา

บุรุษที่ซื่อตรงเช่นหลินเย่ว์หยางน่ะหรือจะสังหารทุกคนในตระกูลเพียงเพราะตนกำลังจะถูกจับกุม! จะเป็นไปได้อย่างไร!

“ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน” จวินเสี่ยนถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ

“ข้าน้อยสั่งคนให้ไล่ตามเขาไปแล้วขอรับ ยามนี้เขาหนีออกจากเมืองหลวงไปแล้ว กำลังมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ขอรับ” หลี่หร่านตอบทันที

“ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” จวินเสี่ยนไม่เชื่อว่าหลินเย่ว์หยางจะทำเรื่องบ้าๆ แบบนั้น แต่เพราะหลี่หร่านเห็นด้วยตาตัวเองว่าหลินเย่ว์หยางสังหารภรรยาของเขาเอง ดังนั้นหากเขาปล่อยให้หลี่หร่านไปจับกุมหลินเย่ว์หยางเพียงลำพัง เกรงว่าอีกฝ่ายจะจับตายหลินเย่ว์หยาง

จะให้พวกทหารไปถึงตัวเขาก่อนไม่ได้

สกุลจวินติดหนี้หลินเย่ว์หยางไว้ นี่เป็นเรื่องที่จวินเสี่ยนไม่มีทางลืม เขาจะจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเอง นำตัวหลินเย่ว์หยางกลับมาพิสูจน์ความจริงเพื่อที่จะรักษาชีวิตของเขาไว้ให้ได้

ทหารรักษาการณ์ส่วนใหญ่ของจวนหลินอ๋อง ได้ออกไปพร้อมกับหลงฉีแล้วเพื่ออารักขาเม็ดยาไปส่งที่ค่ายทหาร บัดนี้จวินเสี่ยนจึงทำได้เพียงนำทหารที่เหลือซึ่งแม้จะมีจำนวนน้อย แต่ทุกคนก็ล้วนแต่ฝีมือดี เป็นนักสู้ชั้นแนวหน้าทั้งสิ้น

จวินเสี่ยนนำผู้คนออกจากเมืองหลวง ไล่ติดตามไปโดยไม่ลังเลแม้เพียงครู่เดียว

ร่างหนึ่งที่หลบซ่อนตัวอยู่ในเงามืด มองตามจวินเสี่ยนที่ออกจากประตูเมืองไปแล้วแสยะยิ้มชั่วร้าย

“หลินอ๋อง ต่อให้เจ้าเก่งกาจมากอุบายแล้วอย่างไร เจ้าก็ทำได้เพียงแค่เฝ้ามองผู้มีพระคุณกำลังจะตายอย่างอัปยศ” เงาที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดหัวเราะออกมาด้วยเสียงต่ำก่อนจะหมุนตัวกลับ สองมือของเขาไขว้กันอยู่ด้านหลัง ในตรอกอันมืดมิด สายตาที่เหมือนหมาป่าดุร้ายหลายร้อยคู่จ้องมองมาที่เขาอย่างหมายมาด

“มั่นใจนะว่าทหารของจวนหลินอ๋องเกือบทั้งหมดออกไปนอกเมืองหลวงแล้ว” เงาร่างนั้นถามอย่างระมัดระวัง

“ข้าน้อยมั่นใจขอรับ! ข้าน้อยเห็นกับตาของตัวเองว่าก่อนหน้านี้มีทหารจำนวนมากคุ้มกันรถม้าหลายคันออกจากเมืองหลวงไป”

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกมันไปที่ใด”

“ข้าน้อยไม่ทราบขอรับ ทหารรักษาการณ์ณ์ในจวนหลินอ๋องมาจากกองทัพรุ่ยหลิน เมื่อพ้นประตูเมืองไปแล้วไม่มีที่ให้อำพรางกาย ข้าน้อยจึงไม่กล้าไล่ตามไปเพราะเกรงว่าจะถูกพบตัว แต่ข้าน้อยได้ตรวจสอบแล้วว่าทหารที่เหลือในจวนหลินอ๋องเกือบทั้งหมดได้ติดตามหลินอ๋องออกจากเมืองหลวงไปเพื่อจับกุมหลินเย่ว์หยางแล้ว บัดนี้จวนหลินอ๋องไม่น่าจะมีทหารเหลืออยู่เกินสิบห้าคนขอรับ”

“ทหารจากกองทัพรุ่ยหลินสิบห้าคนเช่นนั้นหรือ” เงามืดหัวเราะเสียงต่ำ

“ข้าก็อยากจะรู้นักว่าเหล่านักฆ่าเดนตายทั้งสามร้อยคนของข้า คืนนี้จะสามารถขุดรากถอนโคนทั้งจวนหลินอ๋องได้หรือไม่! ถ่ายทอดคำสั่งข้าลงไป! ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นวันพรุ่งนี้จงกวาดล้างจวนหลินอ๋องให้สิ้น ข้าไม่ต้องการให้มีผู้ใดเหลือรอดแม้แต่คนเดียว! โดยเฉพาะอย่างยิ่งจวินอู๋เสียและเจ้าขยะจวินชิงนั่น ถือหัวของพวกมันมาพบข้า!”

“น้อมรับคำสั่ง!”

ทันใดนั้น เงาทั้งหมดที่เร้นกายอยู่ในตรอกนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

ส่วนเงาร่างที่เป็นผู้ออกคำสั่งก็ขึ้นไปยืนอยู่บนหอสูงของเมืองหลวง แล้วจ้องมองไปยังทิศทางของจวนหลินอ๋อง

หลังจากค่ำคืนนี้ จะไม่มีจวนหลินอ๋อง ไม่มีสกุลจวินอีกต่อไป!

จันทร์กระจ่างเลื่อนหลบหลังเมฆภายใต้ผืนฟ้าที่มืดมิด แสงจันทร์สุดท้ายถูกบดบังจนหมดสิ้น

ท่ามกลางความเงียบสงบของราตรี เงามืดที่แฝงด้วยเจตนาร้ายทั้งหลายกำลังแทรกซึมเข้าไปในจวนหลินอ๋องอย่างเงียบเชียบ