ตอนที่ 86 สัมผัสที่หก

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ

หลังจากเสียงนี้ หลี่อิงเจี๋ยที่อยู่ด้านล่างสนามประลองก็ลุกขึ้นมา ตอนนี้ใบหน้าเขาดูตะลึงงันราวกับไม่คาดคิดว่าจะจบลงแบบนี้

“ทำไมนายถึงรู้ว่านั่นเป็นจุดอ่อนเพียงอย่างเดียวของฉัน?” พอเห็นฉีหลงเตรียมเดินลงจากสนามประลอง หลี่อิงเจี๋ยก็อดส่งเสียงถามออกมาไม่ได้ กระบวนท่าสังหารที่แข็งแกร่งที่สุดก็เป็นจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดเช่นกัน คนปกติจะไม่เลือกวิธีต่อสู้บาดเจ็บด้วยกันทั้งสองฝ่ายในตอนที่ยังมีช่องทางอื่นให้เลือก ทว่าฉีหลงกลับโจมตีใส่จุดนั้น นี่ทำให้เขาคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก

ฉีหลงเกาหัว เขาครุ่นคิดอย่างสุดความสามารถสักพักแล้วค่อยเอ่ยว่า “ฉันไม่รู้ แต่สัญชาตญาณของฉันบอกให้ฉันควรทำแบบนี้ ดังนั้นหมัดของฉันก็เลยโจมตีเข้าไป”

เขาย่อมไม่ได้บอกว่า เขาเคยพ่ายแพ้จนเกือบตายภายใต้กระบวนท่าที่คล้ายคลึงกันของหลิงหลาน เขาเคยถามหลิงหลานว่ามีวิธีทำลายไหม เนื่องจากหลิงหลานพลาดท่าทำให้ฉีหลงได้รับบาดเจ็บ ในใจก็รู้สึกเสียใจมาก ดังนั้นเธอก็เลยวิเคราะห์กระบวนท่านั้นและบอกเขาว่าดูท่าจุดที่แข็งแกร่งที่สุดมักจะเป็นจุดที่อ่อนแอที่สุด เมื่อเลือกหลบก็เท่ากับเดินเข้าไปสู่กับดักของคู่ต่อสู้

ทว่าฉีหลงไม่มีโอกาสคิดมากมายขนาดนั้นในตอนที่ต่อสู้ เขาเพียงแต่จดจำเรื่องนี้ได้ ยิ่งเป็นช่วงเวลาวิกฤติก็ยังไม่อาจหลบหลีกได้ ดังนั้นเขาเลยอึ้งไปและตัดสินใจฟังเสียงในใจของตัวเอง โจมตีจุดที่เขาคิดว่าสามารถโจมตีได้ ความจริงก็พิสูจน์แล้วว่า หัวใจของเขาไม่ได้หลอกเขาเลย

คำตอบของฉีหลงกลับทำให้หลี่อิงเจี๋ยหน้าแดง เขาคิดว่าฉีหลงอยากหาข้ออ้างไม่ยอมบอกเหตุผลกับเขา ความโกรธเกรี้ยวในใจเขาตอนนี้ปะทุขึ้นมา เขาอยากจะฉีกฉีหลงที่น่ารังเกียจตรงหน้าเป็นชิ้นๆ

อย่างไรก็ตาม ร่องรอยความกังวลผุดขึ้นมาในใจเขาพร้อมกัน ตอนนี้เขาสงสัยว่า กระบวนท่าสังหารลับของตระกูลหลี่ถูกเล็ดลอดออกไปแล้วหรือเปล่า ถ้าเป็นแบบนี้จริง มันก็เป็นหายนะที่โจมตีใส่ตระกูลหลี่ ควรรู้ไว้ว่าตระกูลหลี่สามารถยืนอยู่ในสหพันธรัฐได้อย่างมั่นคง สืบทอดกันมาหลายพันปี ส่วนใหญ่แล้วคือพึ่งพาทักษะต่อสู้ที่เต็มไปด้วยจิตสังหารชุดนี้ หลี่อิงเจี๋ยตัดสินใจรอให้ศึกจัดอันดับสิ้นสุดลง เขาจะต้องนำข่าวนี้ไปบอกพ่อ ให้เขาตรวจสอบให้ดีว่าใครเป็นคนทรยศตระกูลหลี่…

ไม่เพียงแต่หลี่อิงเจี๋ยที่ไม่เชื่อคำพูดของฉีหลง กระทั่งคนอื่นๆ ที่ชมดูก็ไม่เชื่อเช่นกัน แน่นอนว่าในฐานะที่เป็นเพื่อนซี้ของฉีหลง หานจี้จวินรู้ดีว่าที่ฉีหลงพูดมาเป็นความจริง เนื่องจากเขารู้ดีว่าสัญชาตญาณสัตว์ป่าของฉีหลงแข็งแกร่งถึงขั้นไหน

ยังมีอีกคนที่เชื่อคำพูดของฉีหลงเช่นกัน นั่นก็คือชายหน้าโลงศพที่ชมการต่อสู้อยู่ทางด้านข้าง ท่าทีที่เขาพึงจะทำแบบนี้ทำให้ชายหน้ายิ้มที่อยู่ข้างกายยิ่งสงสัยหนักขึ้นไปอีก เขากำลังคิดจะถามอีกฝ่าย จู่ๆ ชายหน้าโลงศพก็ดึงเสื้อสื่อว่าให้เดินตามเขาไป

ฉีหลงตอบหลี่อิงเจี๋ยแล้วก็ค่อยๆ เดินลงจากสนามประลองตรงไปหาหานจี้จวินที่กำลังรอเขาอยู่ ยังไม่ทันที่เขาจะทักทายก็เห็นคนที่สวมชุดเครื่องแบบอาจารย์สองคนอยู่ที่ตรงขอบตา เห็นได้ชัดว่าเป็นชายหนุ่มที่มีท่าทีดุจทหารเดินตรงมาหาเขา ทำให้เขาอดตะลึงงันไม่ได้

“นักเรียน ขอรบกวนหน่อยนะ ไม่ทราบว่าฉันควรจะเรียกชื่อเธอว่าอะไร?” ชายร่างสูงใหญ่ที่มีสีหน้าเย็นเยียบเอ่ยปากขึ้น

เวลานี้เอง อาจารย์หลายคนที่เดิมทีคิดจะเคลื่อนไหว พอเห็นสองคนนี้เข้าไปใกล้ พวกเขาก็พลันหยุดฝีเท้ายิ้มฝืดเฝื่อน พวกเขารู้ว่า ดูเหมือนว่าเด็กที่ต่อสู้อย่างบ้าระห่ำอยู่บ้างคนนั้นจะไม่มีวาสนากับพวกเขาแล้ว พวกเขาไม่กล้าแย่งชิงลูกศิษย์แรกเริ่มกับแขกที่ป่าเถื่อนสองคนนั้นแน่

ฉีหลงงุนงงอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามมาหาเขาทำไม แต่เขาก็ยังตอบไปว่า “สวัสดีครับอาจารย์ ผมชื่อฉีหลง”

หานจี้จวินรู้ว่ามีคนอยู่ด้านหลังเขาก็รีบหันหน้ากลับไปทันที เมื่อเขาเห็นคนที่มาชัดเจนแล้ว สีหน้าก็พลันกระตุก หลังจากนั้นเขาก็โค้งตัวทีหนึ่ง และพูดด้วยความเคารพว่า “สวัสดีครับ อาจารย์ทั้งสองท่าน”

เขาเห็นฉีหลงทำหน้ามึนงงก็รีบดึงฉีหลงสื่อว่าให้เขาทำตามตน

ถึงแม้ว่าฉีหลงจะไม่เข้าใจอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าทำไมหานจี้จวินถึงอยากให้เขาปฏิบัติต่ออีกฝ่ายด้วยความเคารพ แต่เขาไม่อยากขัดความต้องการในเรื่องเล็กๆ ของหานจี้จวิน ดังนั้นฉีหลงก็เลยโค้งตัวทำความเคารพตามหานจี้จวิน

ชายหน้าโลงศพกับชายหน้ายิ้มสบตากันเอง จากนั้นชายหน้ายิ้มก็มองไปทางหานจี้จวินอีกครั้ง ในแววตาปรากฎความสนใจขึ้นมา ‘เด็กคนนี้ไม่ธรรมดาเลย พริบตาเดียวก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่างได้…’

ทั้งสองคนให้ฉีหลงกับหานจี้จวินตามไป หานจี้จวินดึงฉีหลงบ่งบอกว่าให้เดินตามอาจารย์ไปโดยไม่ลังเล ถึงแม้ว่าฉีหลงอยากจะไปดูการแข่งขันของหลิงหลานมาก แต่เขายังคงเชื่อฟังความเห็นของหานจี้จวิน มาถึงมุมหนึ่งของหอต่อสู้ที่อยู่ลับตาคน

ชายหน้ายิ้มมองไปรอบๆ พบว่าที่นี่ไม่มีใครสามารถได้ยินเสียงพูดคุยของพวกเขาแล้ว จากนั้นเขาค่อยพยักหน้าให้กับ ชายหน้าโลงศพ

“ฉีหลง ฉันอยากรับนายเป็นศิษย์แรกเริ่มของฉัน นายจะยินดีไหม?” ชายหน้าโลงศพยังคงทำหน้าเย็นชา ไม่กลัวเลยสักนิดว่าสีหน้าเย็นเยียบของตนจะขู่ขวัญนักเรียนที่เขาถูกใจ

“ลูกศิษย์แรกเริ่ม?!” ฉีหลงตะลึงงันก่อน ทันใดนั้นเขาก็นึกอะไรบางอย่างได้ แล้วก็ตระหนักขึ้นมาได้โดยพลัน

ชายหน้าโลงศพเห็นแบบนี้ในใจก็โล่งอก ดูเหมือนว่าเด็กคนนี้ก็รู้ความลับนี้เหมือนกัน เขาไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองคำพูดมาอธิบาย สิ่งที่เขากลัวที่สุดก็คืองานอธิบายแบบนี้

หานจี้จวินมองฉีหลงด้วยความอิจฉาแวบหนึ่ง ตอนที่เขาเข้ามาที่สถาบัน พ่อของเขาก็เคยเล่าเรื่องศิษย์แรกเริ่มให้ฟัง นี่ก็เป็นเหตุผลที่ทำไมเขาถึงให้ความเคารพขนาดนั้น ชั่วพริบตาที่อาจารย์มาหาฉีหลง เขาก็รู้ว่าเป็นเรื่องนี้

“ผมยินดีแน่นอนครับ” ลูกศิษย์แรกเริ่มไม่ใช่ลูกศิษย์อย่างเป็นทางการของอาจารย์ ไม่มีภาระหน้าที่อะไร เป็นเพียงผลประโยชน์ของเด็กเท่านั้น ฉีหลงไม่มีทางปฏิเสธโอกาสที่มาถึงหน้าประตูซึ่งสามารถเปลี่ยนให้เขาแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่มีภาระอะไรเด็ดขาด เขายอมรับโดยที่ไม่ไตร่ตรองเลยสักนิดเดียว

อย่างไรก็ตาม ฉีหลงไม่ใช่คนที่ลืมเพื่อน เขาลากหานจี้จวินที่อยู่ข้างๆ เข้ามาและพูดว่า “เขาเป็นเพื่อนสนิทของผม ชื่อว่าหานจี้จวิน ไอคิว 260 ฉลาดกว่าผมแน่นอน อาจารย์ก็รับเขาเป็นศิษย์แรกเริ่มด้วยได้ไหมครับ?”

หานจี้จวินได้ยินคำพูดก็หน้าถอดสี เขารีบตะโกนหยุดว่า “ฉีหลง!”

เด็กมากมายถูกอาจารย์รังเกียจเพราะว่าความละโมบ สุดท้ายก็สูญเสียโอกาสกลายเป็นศิษย์แรกเริ่มไป หานจี้จวินเห็นฉีหลงไม่ดูตาม้าตาเรือขนาดนี้ เขาก็กังวลใจจนเหงื่อแตกพลั่กเต็มหน้าทันที ในใจด่าทอฉีหลงว่าทำไมถึงทำตามอำเภอใจขนาดนี้? ไม่รู้หรือไงว่านี่เป็นโอกาสที่เขาจะแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว?

เมื่อเห็นหานจี้จวินกังวลใจเพื่อฉีหลง ส่วนฉีหลงก็ทำหน้าเด็ดเดี่ยวเพื่อผลประโยชน์ของเพื่อนสนิทตัวเอง ใบหน้าของชายหน้ายิ้มที่เดิมทีมีรอยยิ้มหนักแน่นก็ยิ่งดูยินดีปรีดามากขึ้น กระทั่งชายหน้าโลงศพก็ดูอ่อนโยนขึ้นมาก

ทั้งสองคนสบตากันเอง จากนั้นชายหน้ายิ้มค่อยมองไปที่หานจี้จวินและบอกว่า “หานจี้จวิน ถ้าไม่รังเกียจ เธอก็มาเป็นลูกศิษย์แรกเริ่มของฉันเถอะ”

หานจี้จวินเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ “ได้เหรอครับ?”

ชายหน้ายิ้มพยักหน้าด้วยรอยยิ้มเต็มเปี่ยม หานจี้จวินพูดติดกันด้วยความตื่นเต้นว่า “ขอบคุณครับอาจารย์ ผมยินดี ผมยินดีครับ”

ฉีหลงเห็นผลสรุปนี้ก็ฉีกยิ้มกว้างด้วยความพอใจ

ชายหน้าโลงศพกลับขมวดคิ้วน้อยๆ “ไม่ใช่ว่านายสนใจเด็กอีกคนเหรอ?” รับเพิ่มหนึ่งคน ก็เสียกำลังเพิ่มขึ้นเท่าหนึ่ง เขาไม่อยากให้ชายหน้ายิ้มเหนื่อยมากเกินไป

ชายหน้ายิ้มยังคงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “รับเพิ่มอีกคนก็ไม่มีปัญหาอะไร พวกเรามีเวลาในหนึ่งปีนี้” เขากล่าวจบก็หยิบแผ่นทองแดงสี่เหลี่ยมแบนๆ สองอันออกมาจากในกระเป๋า ด้านบนสลักดอกกล้วยไม้เอาไว้หนึ่งดอก จากนั้นก็ยื่นให้หานจี้จวิน “หนึ่งชิ้นเป็นของเธอ ส่วนอีกชิ้นเป็นของลูกศิษย์แรกเริ่มอีกคนที่ฉันสนใจ เขาน่าจะเป็นคนในกลุ่มของพวกนาย อืม เป็นเด็กที่ทะเลาะกับฉีหลงในตอนเช้า”

ฉีหลงกับหานจี้จวินได้ยินคำกล่าวก็สบตากันด้วยความตื่นเต้นยินดี และส่งเสียงพูดพร้อมกันว่า “ลั่วล่าง”

ชายหน้ายิ้มกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เป็นเขานี่แหละ”

หานจี้จวินติดต่อไปที่อุปกรณ์สื่อสารของลั่วล่างโดยไม่ลังเล แล้วก็ทิ้งคำพูดประโยคหนึ่งบอกให้เขาเข้ามา จากนั้นก็ตัดการติดต่อโดยไม่รอให้ลั่วล่างตอบ

ลั่วล่างที่กำลังชมการต่อสู้ของหลิงหลานกับอู่จย่งเดินเข้ามาด้วยความงุนงง เมื่อชายหน้ายิ้มกล่าวกับลั่วล่างว่าจะรับเขาเป็นลูกศิษย์แรกเริ่ม ลั่วล่างก็ตอบรับโดยไม่ลังเลเช่นกัน เขาแย่งแผ่นทองแดงอีกอันออกมาจากในมือของหานจี้จวิน นี่เป็นหลักฐานยืนยันแสดงถึงการยอมรับของอาจารย์ ห้ามทำหายเด็ดขาด

ส่วนของที่ฉีหลงได้มาก็คือเหรียญเงิน ทว่ารูปด้านบนกลับเป็นต้นสนหนึ่งต้น แข็งแกร่งทรงพลัง มีความโบราณเรียบง่ายอยู่ข้างในตัวมัน

ชายหน้าโลงศพกับชายหน้ายิ้มรับลูกศิษย์แรกเริ่มที่ตัวเองพึงพอใจแล้วก็ไม่คิดจะอยู่ในหอต่อสู้อีกต่อไป พวกเขาบอกลาพวกฉีหลง นัดสถานที่และเวลาแล้วก็ออกจากลานต่อสู้ไป

ระหว่างทาง ในที่สุดชายหน้ายิ้มก็เอ่ยถามคำถามที่ตัวเองอดทนเก็บไว้มาเนิ่นนาน “อาไท่ ฉีหลงคนนั้นมีอะไรกันแน่ ถึงทำให้นายตื่นเต้นขนาดนี้ จนถึงขั้นหยิบสัญลักษณ์ที่แสดงถึงลูกศิษย์อย่างเป็นทางการออกมา?”

“ถ้าฉันมีสิทธิรับลูกศิษย์สืบทอด ฉันยินดีมอบเหรียญทองให้เขาเลย” ชายหน้าโลงศพกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าเด็กฉีหลงคนนั้น ถ้าฉันเดาไม่ผิด เขาอาจจะปลุกสัมผัสที่หกได้แล้ว”

คำพูดของชายหน้าโลงศพทำให้ชายหน้ายิ้มตกตะลึง “เป็นไปได้ยังไง ขนาดพวกเราก็เพิ่งจะแตะถึงสัมผัสที่หกเองนะ”

“บางที นี่อาจจะเป็นพรสวรรค์แต่กำเนิดของเขา” ชายหน้าโลงศพได้แต่อธิบายแบบนี้ สัมผัสที่หกคือความสามารถมหัศจรรย์อย่างหนึ่ง สามารถสัมผัสวิกฤติและโอกาสได้โดยสัญชาตญาณ ตอนนี้สหพันธรัฐสามารถอาศัยวิธีการเคี่ยวกรำอย่างโหดร้ายสุดขีดเพื่อบีบให้ผู้รับการฝึกฝนได้รับความสามารถนี้ แน่นอนว่าอัตราความสำเร็จต่ำอย่างยิ่งยวด มีเพียงผู้แข็งแกร่งที่มีนิสัยที่ทรหดอดทนผ่านศึกมานับร้อยแล้วเท่านั้นถึงจะสามารถมีโอกาสได้รับความสามารถที่ถูกพวกเขาเรียกขานว่าขอบเขตแห่งเทพนี้ได้ ยกตัวอย่างเช่น เขากับชายหน้ายิ้มเป็นผู้โชคดีหนึ่งในนั้น

ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขามองเห็นมันในตัวเด็กคนหนึ่ง ความสามารถจากพรสวรรค์ที่ยังไม่ได้ขัดเกลานั้นยังแข็งแกร่งกว่าพวกเขาที่ได้รับจากการอาศัยพวกกำลังภายนอก…บางทีนี่อาจจะเป็นโอกาสของพวกเขาในการอบรมบ่มเพาะผู้แข็งแกร่งขั้นสุดยอดเพื่อสำนักของพวกเขา

ชายหน้าโลงศพตัดสินใจดีแล้วว่าจะอบรมสั่งสอนฉีหลง เขาย่อมไม่มีทางให้สัตว์ประหลาดแบบนี้หายไปท่ามกลางฝูงชน เขาคิดแล้วว่า ถ้าหากเขาสอนฉีหลงไม่ไหวก็จะมอบฉีหลงให้กับอาจารย์ที่เคารพของเขา

ถ้าหากอาจารย์หมายเลขหนึ่งในมิติการเรียนรู้อยู่ที่นี่ ได้ยินคำพูดของชายหน้าโลงศพเข้า เขาอาจจะทำหน้าดูถูกก็เป็นได้ นี่ไม่ใช่สัมผัสที่หกอะไร หากแต่เป็นพรสวรรค์จากการตื่นรู้ ชื่อทางการของมันคือการรับรู้สัมผัส มีอีกชื่อว่า สัญชาตญาณสัตวป่า เป็นพรสวรรค์ระดับกลางค่อนไปทางต่ำ นี่ทำให้มองเห็นได้ว่า เทคโนโลยีกับระบบการสั่งสอนพลังยุทธ์ของโลกในตอนนี้ยังห่างชั้นกับระบบดาวแมนโดราราวฟ้ากับเหว ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันเลย

เวลานี้เอง ฉีหลง หานจี้จวินและลั่วล่างสามคนที่สงบอารมณ์ตื่นเต้นดีแล้วก็รับกลับไปชมอยู่ข้างสนามประลองของหลิงหลาน สนามประลองของหลิงหลานอยู่ตรงข้ามฉีหลงโดยสิ้นเชิง มองไม่เห็นเลยว่ามีความตื่นเต้นเร่าร้อนอะไร ทั้งสองคนกำลังแข่งความอดทนหยั่งเชิงซึ่งกันและกันอยู่

หลิงหลานรู้ดีว่าปัญหาของตัวเองอยู่ที่ไหน สังหารคนไม่ใช่ปัญหา ต่อให้มีอู่จย่งอีกสิบคน เธอก็ KO ได้ง่ายๆ แต่จะคว้าชัยชนะโดยที่ไม่ทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บหรือว่าได้รับบาดเจ็บน้อย เธอก็อับจนปัญญามาก ถึงยังไงสิ่งที่เธอเรียนรู้มาต่างก็เป็นท่าไม้ตายสังหาร กระบวนท่าที่สามารถหยิบออกมาใช้ในการประลองอย่างเป็นทางการนั้นมีน้อยมากเกินไปจริงๆ

……………………………