ตอนที่ 74 วาระสุดท้ายของเสมียนรัฐ

Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน

ตอนที่ 74 วาระสุดท้ายของเสมียนรัฐ

“วาระสุดท้ายของเสมียนรัฐ?”

เมื่อเห็นชื่อเรื่องนี้ เว่ยหลงก็เผลอคิดไปทันทีว่านี่คือนิยายสืบสวนสอบสวน เพราะไม่ได้จำกัดแนวนิยาย ดังนั้นในบรรดานักเขียนนิยายสั้นซึ่งทยอยส่งต้นฉบับกันมาจึงมีผลงานแนวสืบสวนสอบสวนอยู่บ้าง

เมื่อกดเปิดดู

เว่ยหลงเหลือบมองจำนวนตัวอักษร จากนั้นก็ชะงักไป

หนึ่งพันแปดร้อยตัวอักษร?

เขาสงสัยว่าตนเองมองผิดไป

ถึงแม้ว่าโดยพื้นฐานแล้วจำนวนตัวอักษรของนิยายขนาดสั้นพวกนี้จะมีไม่มาก แถมตนก็ยังแนะนำฉู่ขวงเป็นพิเศษว่านิยายขนาดสั้นนั้นสั้นดีกว่ายาว จำนวนตัวอักษรไม่ควรยาวเกินไป…

แต่นี่มันน้อยเกินไปมั้ยเนี่ย

รวมกันแล้วไม่ถึงสองพันตัวอักษรด้วยซ้ำ?

ฉันพูดว่าสั้นหน่อย หมายความว่าจำนวนตัวอักษรของนิยายอยู่ที่ประมาณสามพันถึงห้าพันตัวอักษรต่างหากล่ะ!

ฉู่ขวงคงไม่ได้ฟังคำแนะนำของตนแล้วเกิดความเข้าใจผิด ถึงได้จงใจปรับจำนวนตัวอักษรหรอกนะ

เขาคิดว่ายิ่งสั้นยิ่งดี?

ถ้าเหตุผลนี้ไปส่งผลกระทบต่อคุณภาพของผลงาน ตนก็คงผิดพลาดไปแล้วจริงๆ เว่ยหลงนวดขมับอย่างอดไม่ได้

อ่านนิยายก่อนก็แล้วกัน

[นี่เป็นค่ำคืนอันธรรมดาสามัญ เสมียนรัฐนั่งอยู่ในแถวที่สองของโถงใหญ่ ชมการแสดงผ่านกล้องส่องทางไกล ชั่วขณะนั้นเขารู้สึกเพียงว่าช่างเป็นวันคืนชื่นอุรา]

วันคืนชื่นอุรา?

คำบรรยายแบบนี้ เขาเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่จำเป็นต้องขบคิด เขาก็สามารถเข้าใจนัยยะของคำนี้ได้อย่างชัดเจน

“ใช้คำได้น่าสนใจดี”

คำบรรยายต่อมาก็ยิ่งน่าสนใจเข้าไปอีก [ทว่าทันใดนั้นเอง ใบหน้าของเขาก็บูดเบี้ยว ดวงตาของเขามองไม่เห็น

ลมหายใจของเขาหยุดชะงัก เขาลดกล้องส่องทางไกลออกจากสายตา ก้มเอวค้อมหลังลง…]

โรคหัวใจกำเริบเหรอ

นี่คือวาระสุดท้ายของเสมียนรัฐ?

เสมียนรัฐที่ไม่มีแม้แต่ชื่อเสียงเรียงนาม?

เว่ยหลงฉงนสนเท่ห์ จนกระทั่งเขาอ่านต่อไปถึงได้รู้ว่า แท้จริงแล้วเสมียนรัฐคนนี้ก็แค่จาม

“อุก”

เมื่อย้อนกลับไปมองคำขยายความก่อนหน้านี้ นั่นมันท่าทางของคนเวลาที่จามไม่ใช่เหรอ คำบรรยายของฉู่ขวงแลดูออกเสียงยากสักหน่อย หนำซ้ำยังให้ความรู้สึกเคร่งเครียดแปลกๆ จนพลอยให้เว่ยหลงเกิดภาพคนคนหนึ่งกำลังจามขึ้นมาในห้วงสำนึก

ก็แค่จาม เสมียนรัฐย่อมไม่ได้กังวลแม้แต่น้อย คนเราก็จามกันทั้งนั้น

สำหรับการกระทำนี้ ผลที่ตามมาขนานใหญ่ที่สุดก็หนีไม่พ้นโรคหวัด

เว่ยหลงเองก็คิดเช่นนั้น

ทว่าจุดหักมุมของเรื่องก็ปรากฏตรงนี้ [เสมียนรัฐเริ่มวิตกขึ้นมา เพราะเขาเห็นคนแก่รูปร่างเล็กซึ่งนั่งอยู่แถวแรกใน

ห้องโถงนั้นหยิบถุงมือมาเช็ดศีรษะและคอของตน ปากพลางพูดพึมพำ]

เห็นได้ชัดว่า

น้ำลายของเสมียนรัฐกระเซ็นไปโดนคนแก่ข้างหน้า

และเสมียนรัฐกระวนกระวายก็เพราะ…

เขาจำคนแก่คนนั้นได้ เป็นนายพลปลดเกษียณประจำสักหน่วยงานหนึ่ง!

“เขาจะถูกนายพลฆ่าตาย?”

เว่ยหลงคิดโยงไปยังชื่อเรื่องอีกครั้งอย่างห้ามไม่อยู่

คนที่อ่านนิยายก็มักจะจินตนาการเนื้อเรื่องฉากต่อไปด้วยความเคยชิน

แต่กระนั้นนายพลก็ไม่ได้ระเบิดโทสะดังที่เขานึกภาพไว้ เพียงแค่แสดงความเข้าอกเข้าใจอย่างใจกว้างทีเดียว

“นายพลคนนี้เป็นคนหน้าเนื้อใจเสือ? ต่อหน้าผู้คนทำเป็นแสดงออกว่าใจกว้าง แต่ลับหลังก็จะตามไปแก้แค้นเสมียนรัฐ?”

นี่คือความคิดเชื่อมโยงใหม่ที่ผุดขึ้นในสมองของเว่ยหลง

มิหนำซ้ำเสมียนรัฐไร้ชื่อผู้นี้ก็ย่อมเกิดความกังวลใจที่คล้ายคลึง

ฉะนั้นเขาจึงเอ่ยปากขอโทษอีกครั้ง แถมยังสาบานสารพัด เพื่อแสดงให้เห็นว่าตนไม่ได้ตั้งใจจริง

นายพลคล้ายกับรำคาญใจ กล่าวไปประโยคหนึ่ง [“นี่ นั่งลงเถอะ! ฉันจะได้ดูการแสดงสักที!”]

นายพลโมโหแล้ว? เสมียนยิ่งวิตกขึ้นมา

การแสดงแสนตระการตาบนเวที แต่เขากลับดูไม่รู้เรื่องแล้ว

จวบจนกระทั่งช่วงพัก นายพลลุกไปเข้าห้องน้ำ เขาก็ตามออกไปติดๆ และกล่าวขอโทษเป็นครั้งที่สาม

[เฮ้อ พอได้แล้ว…ฉันลืมไปแล้วเนี่ย นายกลับไม่จบไม่สิ้นสักที!]

นายพลขยับกางเกง รัดเข็มขัด รู้สึกจนปัญญา จนเบ้ปากอย่างหมดความอดทน

เว่ยหลงกระจ่างทันใด “ท่าทางนายพลจะไม่ได้โกรธจริงๆ แฮะ”

เขาได้รับอิทธิพลจากชื่อเรื่อง มักจะคิดว่านายพลจะลงไม้ลงมือปลิดชีพเสมียนเพราะเหตุนี้ ทว่าจากสิ่งที่เล่ามาในนิยาย นายพลคนนี้แสดงออกว่าให้อภัยไปหลายครั้งหลายหน เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่คนใจแคบถึงขนาดนั้น

การจามครั้งนี้เป็นเพียงสัญญาณเตือนเท็จสำหรับเสมียน

เว่ยหลงเข้าใจแล้ว

แต่เสมียนกลับไม่เข้าใจ

เขายังคงคิดไปต่างๆ นานา [เขาบอกว่าเขาลืมไปแล้ว แต่ในดวงตาของเขายังคงฉายแววอำมหิต แถมเขายังไม่ยอมคุยด้วย ฉันควรไปอธิบายกับเขาสักรอบ พูดให้ชัดว่าฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ พูดให้ชัดว่าการจามเป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่งั้นเขาอาจคิดว่าฉันมีเจตนาพ่นน้ำลายใส่เขา ต่อให้ตอนนี้เขาไม่ได้คิดแบบนั้น แต่อีกประเดี๋ยวเขาก็ต้องคิด!]

ขี้กลัวเกินไปล่ะมั้ง?

เว่ยหลงพลันรู้สึกว่าเสมียนคนนี้ออกจะน่าขันอยู่สักหน่อย

เมื่อกลับถึงบ้าน เสมียนเล่าเรื่องเสียมารยาทของตนให้ภรรยาฟัง ภรรยาก็ตกใจเช่นเดียวกัน และกล่าวโน้มน้าวให้เสมียนไปขอโทษคนเขา

เสมียนบ่นว่า [ก็ใช่น่ะสิ! ฉันไปขอโทษมาแล้ว แต่ไม่รู้ทำไม ท่าทางของเขาแปลกๆ เหมือนไม่อยากฟังฉันอธิบาย]

คนเขาก็ให้อภัยแล้วไง!

นายหวาดระแวงเกินไปหรือเปล่าเนี่ย

สารบบความคิดของเสมียนทำให้เสียงหัวเราะของเว่ยหลงค่อยๆ ดังขึ้น

แต่ทว่าเสมียนคนนี้ก็ยังไม่กระจ่าง วันต่อมาเขาสวมเครื่องแบบทางการอย่างเอาจริงเอาจัง นำของขวัญชิ้นโตไปยังจวนนายพล เพื่อขอขมาลาโทษอีกครั้ง

อย่าว่าแต่นายพลเลย

เว่ยหลงคิดว่าถ้าเป็นตนเอง ถูกคนตามมาตอแย ขอโทษขอโพยไม่เลิกราก็คงรู้สึกมึนตึ้บไปเหมือนกัน

ในขณะนั้นนายพลกำลังต้อนรับแขก คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นแขกคนสำคัญเสียด้วย

เสมียนจึงทำได้เพียงรอจนกระทั่งนายพลต้อนรับแขกเสร็จแล้ว จึงเข้าไปทำการขอโทษอีกคำรบ

ก็เหมือนกับก่อนหน้านี้

นายพลบอกไปว่าให้อภัย เพียงแต่ขณะที่พูด ก็แสดงท่าทางหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างห้ามไม่อยู่

“หน้านิ่วคิ้วขมวด”

สี่คำนี้แทบทำเอาเว่ยหลงระเบิดหัวเราะออกมา

เดิมทีการขอโทษนั้นเป็นมารยาทอย่างหนึ่ง แต่หากเจอเสมียนคนหนึ่งที่ชอบตามมาขอโทษตน ไม่ว่าจะให้อภัยยังไงก็ไร้ประโยชน์แบบนี้ จะไม่ให้หน้านิ่วคิ้วขมวดได้หรือ

ขณะที่ตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เว่ยหลงก็ถึงกับรู้สึกเห็นใจนายพลคนนี้ขึ้นมา

เสมียนในฐานะคนที่มีความคิดฟุ้งซ่าน ย่อมเห็นอาการหน้านิ่วคิ้วขมวดของนายพล ในใจปั่นป่วน รู้สึกว่าเห็นได้ชัดว่านายพลไม่ได้มีความคิดจะให้อภัยตนแล้ว

เมื่อคิดถึงอนาคตของตน

ถึงแม้เขาจะรู้สึกว่านายพลใจแคบเกินไป ถึงขั้นผูกใจเจ็บกับตนไม่ยอมเลิกรา แต่ก็ยังอยากกู้สถานการณ์

ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจเขียนจดหมายถึงนายพล อธิบายเหตุและผลด้วยความจริงใจ

น่าเสียดายที่สมองของเขาว่างเปล่า ถึงขั้นที่แม้แต่จดหมายฉบับเดียวก็เขียนไม่ออก

เขาทำได้เพียงไปเยือนถึงหน้าประตูอีกในวันที่สาม เพื่อแสดงความขอโทษ

นิยายจบลงตรงนี้แหละ

ในท่อนสุดท้าย หลังจากที่เสมียนขอโทษขอโพยครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อเกิดเป็นจุดจบที่เรียบง่ายและรวบรัด เป็นหนึ่งในจุดจบที่อยู่ในความคาดเดา

[“ไสหัวออกไป!” นายพลตวาดลั่น ใบหน้าแดงก่ำ ทั้งร่างสั่นเทา]

[“อะไรนะครับ!” เสมียนเอ่ยถาม ขลาดกลัวจนสั่นเทิ้มไปทั้งตัว]

[“ไสหัวออกไป!” นายพลพูดอีกรอบ กระทืบเท้าดัง]

[ในท้องของเสมียนประหนึ่งมีบางสิ่งบิดมวนขึ้นมา เขามองอะไรไม่เห็น ไม่ได้ยินอะไร ถอยกรูดไปยังประตู เดินไปยังถนน เดินตุปัดตุเป๋ไปตลอดทาง…โซซัดโซเซไปจนถึงบ้าน เขาไม่ได้ถอดเครื่องแบบ ตรงไปยังโซฟาล้มตัวลง…สิ้นใจ]

[…]

ใช่ เสมียนรัฐตายแล้ว

นี่เป็นที่มาของชื่อเรื่องวาระสุดท้ายของเสมียนรัฐ

เขาตามตอแยขอขมาลาโทษครั้งแล้วครั้งเล่า ท้ายที่สุดก็ไปยั่วโทสะนายพลเข้าเต็มเปา ผลคือนายพลเดือดดาลขึ้นมา เขาตกใจกลัวกับความคิดในสมองของตนจนสิ้นใจไป!

นี่ก็คือนิยายความยาวหนึ่งพันกว่าตัวอักษร?

ไม่ใช่นิยายสืบสวนสอบสวน และไม่ใช่นายพลปลิดชีพคนอย่างที่จินตนาการไว้ หากแต่เป็นเรื่องราวของคนคนหนึ่งซึ่งถูกความคิดของตนเองหลอกหลอนจนตาย

ถึงแม้จะสั้นเพียงหนึ่งพันกว่าตัวอักษร ทว่าเนื้อหานั้นอัดแน่นเต็มเปี่ยม แต่ก็คล้ายกลับว่าจะสอดคล้องกับตรรกะบางอย่าง ทำให้ผู้อ่านยอมรับเซตติงของนิยายได้โดยปริยาย ถึงขั้นสัมผัสได้ถึงอรรถรสของเรื่องราวอย่างเต็มที่!

ชั่วขณะนั้น

เว่ยหลงดีใจจนตบเข่าฉาด นึกไม่ถึงว่าฉู่ขวงจะเล่นมุกได้เหมือนกัน

แต่หัวเราะไปได้เพียงครึ่งเดียว รอยยิ้มของเว่ยหลงก็แข็งค้าง หน้าจอราวกับหยุดชะงัก

ราวกับว่ากระแสไฟฟ้าแล่นปราดไปทั่วทั้งร่าง ความคิดพลันสว่างวาบ เว่ยหลงดวงตาเบิกกว้างประดุจต้องมนตร์สะกด!

“เดี๋ยวนะ…เรื่องนี้…”

……………………………………………………….