ตอนที่ 88 เฉินเจียเหอเตือนหลิวจื้อหมิง
ตอนที่ 88 เฉินเจียเหอเตือนหลิวจื้อหมิง
อารมณ์เธอเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นฮึกเหิมเมื่อคิดถึงเสิ่นอวี้หลง ตั้งใจว่าจะกลับบ้านเร็วหน่อย
เธอตบไหล่เจียงอวี่เฟยและให้กำลังใจว่า “เอาน่า ฉันเชื่อว่าเธอต้องประสบความสำเร็จตามความฝันแน่ อีกหน่อยฉันคงไม่สะดวกที่จะแอบมาหาเธอ แต่ถ้าเธอมีอะไรอยากให้ช่วยก็ไปหาฉันที่อาคารพนักงานของโครงงานเครื่องจักรไห่เฉิงแล้วกัน ฉันจะตัดผมให้ จะออกแบบทรงผมใหม่ที่ดูดีเข้ากับรูปหน้า หรือให้คำแนะนำในการฝึกเดินและการเคลื่อนไหวบนเวที”
ตอนแรกเจียงอวี่เฟยประทับใจมาก แต่เมื่อเธอได้ยินว่าหลินเซี่ยอาสาว่าจะทำผมให้ ก็รีบโบกมือปฏิเสธ “ไม่ต้องถึงขนาดนั้นก็ได้”
เจียงอวี่เฟยจำได้ว่าปีที่แล้วหลินเซี่ยตัดผมของสาว ๆ รุ่นใหญ่หลายคนในอาคารพักอาศัยจนแหว่งเหมือนโดนหนูแทะ จนป่านนี้ยังยาวไม่เท่ากันเลย
ไม่กี่วันก่อน เสิ่นอวี้อิ๋งร้องไห้และเล่าชีวิตที่น่าสังเวชของตัวเองต่อหน้าพี่สาวคนหนึ่ง หล่อนยังได้ยินพี่สาวคนนั้นสาปแช่งหลินเซี่ยลั่นอาคารอยู่เลย
ด่าทอว่าเธอเป็นนกพิราบที่ครอบครองรังนกกางเขน แถมยังตัดผมทรงแย่ ๆ ให้อีก ไม่ใช่คนดีตั้งแต่แรกเห็น
หล่อนทนไม่ได้ถ้าอีกฝ่ายทำผมสวย ๆ ของตัวเองจนพังพินาศ
เจียงอวี่เฟยกำลังจัดตู้ชุดชั้นในของตัวเอง หลินเซี่ยเห็นชุดชั้นในหลายชุด ต่างก็มีสไตล์และลวดลายที่สวยงามแปลกตากว่าที่มีขายทั่วไปในท้องตลาด จึงถามว่า
“ทำไมเธอถึงมีชุดชั้นในสวย ๆ มากมายขนาดนี้? เธอซื้อเสื้อผ้าพวกนี้จากในไห่เฉิงเหรอ? ฉันเห็นแล้วอยากซื้อบ้างเลย สักวันเราออกไปช้อปปิ้งกันเถอะ”
เธอเป็นผู้หญิงที่แต่งงานแล้วก็จริง แต่ไม่มีชุดชั้นในสวย ๆ ใส่สักตัวเลย
ตอนนี้พอมาคิด ๆ ดู ดีที่ยุคสมัยนี้ผู้คนไม่ค่อยใส่ใจการสวมชุดชั้นในเข้าชุดสักเท่าใด และเธอกับเฉินเจียเหอก็ยังไม่ได้ทำอะไรกันเกินเลย ไม่อย่างนั้นเธอคงเขินอายเกินกว่าจะถอดเสื้อผ้าออก
เจียงอวี่เฟยตอบว่า “ลูกพี่ลูกน้องของฉันซื้อของทั้งหมดนี้จากฮ่องกง ดูเหมือนว่าในห้างสรรพสินค้าไห่เฉิงก็มีมั้ง แต่ฉันอายเกินกว่าที่จะไปซื้อมันด้วยตัวเอง ถ้าเธออยากซื้อ ไว้ว่าง ๆ เราค่อยนัดกันมาดูของก็ได้”
แม้ว่าบรรทัดฐานทางสังคมจะเปิดกว้างมากขึ้น แต่ผู้หญิงก็ยังไม่กล้าซื้อชุดชั้นในประเภทนี้อย่างโจ่งแจ้ง
โดยเฉพาะเด็กสาวอย่างพวกเธอ ยิ่งเขินอายกว่าสาวใหญ่ทั้งหลายมาก
วัฒนธรรมที่นี่แตกต่างจากวัฒนธรรมของฮ่องกงมาก หล่อนมีลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่งเปิดร้านขายเสื้อผ้าอยู่ ซึ่งหล่อนเคยเขียนจดหมายไปบอกครั้งหนึ่งว่าอยากเข้าร่วมการแข่งขันเฟ้นหานางแบบครั้งแรกที่จัดขึ้นในไห่เฉิงปีนี้ อีกฝ่ายสนับสนุนหล่อนอย่างเต็มที่ ซื้อชุดใหม่ ๆ ให้หลายชุด ประมาณปีก่อนยังบอกว่างานประกวดเฟ้นหานางแบบในฮ่องกงมีรอบโชว์ชุดว่ายน้ำด้วย
งานประกวดในไห่เฉิงก็คงไม่ต่างกัน หล่อนจึงต้องหาชุดไว้ฝึกเดินล่วงหน้า
เจียงอวี่เฟยสบสายตาอิจฉาของหลินเซี่ย จึงหยิบชุดชั้นในสีดำชุดหนึ่งออกมาจากกองเสื้อผ้าหลายตัวตรงหน้า แล้วยื่นให้เธอ “ฉันยังไม่เคยใส่ตัวนี้ ยกให้เธอแล้วกัน”
หลินเซี่ยเหลือบมองแวบหนึ่ง ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม “ไซส์เสื้อของเธอเล็กไปหน่อย ฉันใส่แล้วกลัวรัดจนหายใจไม่ออก”
เจียงอวี่เฟยได้ยินก็เหลือบมองหน้าอกหลินเซี่ย และพ่นลมหายใจใส่อย่างเย็นชา
หลินเซี่ยรีบรวบผม “แต่ถ้าเธอจะเป็นนางแบบก็ต้องเล็กประมาณนี้แหละ อวบอิ่มเกินไปเดี๋ยวจะดูไม่ดี”
“ตกลงจะเอาไหม?”
“เอาสิๆๆ” ได้มาสักตัวยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย
หลินเซี่ยหยิบชุดชั้นในที่เจียงอวี่เฟยยกให้ แล้วยัดมันลงในกระเป๋าของตัวเอง “งั้นฉันจะรับไว้โดยไม่เกรงใจแล้วนะ”
“เธอช่วยให้ฉันเข้าร่วมการแข่งขันได้จริง ๆ เหรอ?” เจียงอวี่เฟยมองหน้าเธออีกครั้ง เหมือนยังไม่ค่อยมั่นใจว่าหลินเซี่ยมีความสามารถ
แต่หล่อนไม่สนใจแล้วว่าหลินเซี่ยจะช่วยได้จริงหรือเปล่า อย่างน้อยอีกฝ่ายก็เต็มใจที่จะสนับสนุน แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว
ดีที่ได้รับรู้ว่ามีคนที่เข้าใจ และสนับสนุนให้หล่อนทำตามความฝัน
นี่เป็นสิ่งที่มีค่ามากสำหรับหล่อนแล้ว
หล่อนกำพร้าแม่มาตั้งแต่เด็ก แถมพ่อยังเป็นผู้ชายร่างใหญ่นิสัยหยาบกร้าน ต่อให้รักแค่ไหนก็ใช่ว่าจะคุยกับหล่อนได้ทุกเรื่อง เพียงแค่เปรย ๆ ถึงเรื่องการเข้าร่วมประกวดเฟ้นหานางแบบให้ผู้เป็นพ่อฟัง พ่อหล่อนก็ถามกลับว่าการประกวดนางแบบคืออะไร หล่อนจึงยื่นนิตยสารบันเทิงของฮ่องกงที่ได้มาจากลูกพี่ลูกน้องให้เขาดู พ่อของหล่อนอ่านผ่าน ๆ แล้วก็ถึงกับโยนนิตยสารเล่มนั้นทิ้ง และต่อต้านอย่างแข็งขันไม่ให้หล่อนเข้าร่วม บอกว่าเป็นเรื่องที่น่าขายหน้า
แต่หล่อนอยากเป็นนางแบบจริง ๆ
หลินเซี่ยพูดไม่ผิด หล่อนเกิดมาตัวสูงตั้งแต่เด็ก รูปร่างสมส่วนได้รูป หุ่นของหล่อนคือของขวัญจากพระเจ้า
ชาตินี้ถ้าไม่ได้เป็นนางแบบคงน่าเสียดายแย่
หลินเซี่ยเอ่ยอย่างมั่นใจ “แน่นอน แค่เชื่อใจฉันสักครั้ง”
“ไม่สิ ฉันเองก็บางอย่างอยากจะขอร้องเหมือนกัน” หลินเซี่ยรู้สึกว่าเจียงอวี่เฟยค่อย ๆ เชื่อใจเธอทีละนิดแล้ว นอกจากนี้เจียงอวี่เฟยอาจรู้สึกสบายใจมากขึ้นที่จะให้ร่วมมือ ถ้าเธอร้องขอบางอย่าง
ท้ายที่สุด ไม่มีอะไรในโลกที่ได้มาฟรี ๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเมื่อเป็นน้ำใจที่หยิบยื่นมาจากคนที่เคยเป็นศัตรู
“อะไรเหรอ?” เจียงอวี่เฟยถาม
“เรื่องที่ฉันจะสนับสนุนเธอลงประกวด อย่าให้คนอื่นรู้เด็ดขาด โดยเฉพาะตระกูลเสิ่น” หลินเซี่ยพูด “หลังจากนี้ ฉันอยากให้เธอช่วยเป็นหูเป็นตาทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเสิ่นอวี้อิ๋งให้มากขึ้น”
“ทำไม?”บราวนี่ออนไลน์
หลินเซี่ยเชื่อใจเจียงอวี่เฟย จึงยอมบอกหล่อนทุกอย่าง “เสิ่นอวี้อิ๋งคิดว่าสาเหตุที่ทำให้เราสองคนสลับตัวกันตอนเด็กเป็นเพราะแม่แท้ ๆ ของฉันเล่นตุกติก หล่อนเลยเกิดความไม่พอใจ ตอนนี้ฉันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลเสิ่นอีกต่อไปแล้ว ถ้าหล่อนคิดจะทำร้ายฉันขึ้นมา ฉันไม่ยอมนั่งรอความตายอยู่เฉย ๆ ได้ เธอคงเข้าใจสิ่งที่ฉันจะสื่อใช่ไหม? “
“เข้าใจสิ”
“ฉันไปก่อนนะ จริงสิ ฉันกำลังวางแผนว่าจะเปิดร้านเสริมสวยอยู่พอดี ถ้าเธอมาหาฉัน อย่าลืมแวะมาอุดหนุนด้วยก็แล้วกัน”
เจียงอวี่เฟย “…”
“เสริมสวยแบบหนูแทะผมน่ะเหรอ?” เจียงอวี่เฟยเหลือบมองเธอ พูดอย่างไม่สบอารมณ์
ระดับฝีมืออ่อนหัดแบบนั้น จะเปิดร้านเสริมสวยได้อย่างไร?
“ขอเวลาแค่สามวัน ถ้าเธอได้เห็นฝีมือฉันอีกครั้ง เธอต้องประทับใจไม่รู้ลืมแน่”
หลินเซี่ยสวมหน้ากาก พันผ้าพันคอสองทบ เผยให้เห็นเพียงดวงตาคู่เดียว
จากนั้นเธอก็รีบออกไปจากอาคารพักอาศัย
…
เฉินเจียเหอพาหู่จือไปฝากให้ถังจวิ้นเฟิงช่วยดูแล จากนั้นก็กลับมาเปลี่ยนเป็นชุดทำงาน หยิบพิมพ์เขียวที่ตัวเองเตรียมไว้แต่แรกขึ้นมา แล้วเดินทางไปที่โรงงานเครื่องจักรพร้อมกับผู้อำนวยการหลิว
ทั้งสองตรงไปยังห้องทำงานของผู้อำนวยการโรงงานเครื่องจักร โชคดีที่การประชุมยังไม่เริ่ม เพราะวันนี้พวกเขาได้นัดหมายกับผู้อำนวยการโรงงานเครื่องจักรเป็นพิเศษ
ผู้อำนวยการหลิวเคาะประตูห้องทำงานผู้อำนวยการ
“เข้ามา”
นอกจากเสิ่นเถี่ยจวินแล้ว ภายในห้องทำงานยังมีอีกคนหนึ่งอยู่ด้วย
ผู้อำนวยการหลิวและเฉินเจียเหอเดินเข้ามาในห้องทำงาน ผู้อำนวยการหลิวยิ้มพร้อมเอ่ยทักทาย “ผู้อำนวยการเสิ่น สวัสดีปีใหม่ครับ ผมต้องขออภัยที่มารบกวนคุณก่อนโรงงานเริ่มเปิดทำการ”
เสิ่นเถี่ยจวินเหลือบมองเฉินเจียเหอ ก่อนจะจับมือกับผู้อำนวยการหลิว พูดว่า “ผู้อำนวยการหลิว เพื่อการทำงานร่วมกัน ผมยินดีครับ”
ผู้อำนวยการหลิวแนะนำเขาให้เสิ่นเถี่ยจวินรู้จัก “คุณเสิ่น นี่เฉินเจียเหอครับ เขาเป็นช่างเทคนิคประจำโรงงานของเรา”
แม้เฉินเจียเหอและเสิ่นเถี่ยจวินจะไม่คุ้นเคยกัน แต่ต่างฝ่ายต่างก็พอคุ้นชื่อกันอยู่บ้างเนื่องจากญาติของพวกเขา
โดยเฉพาะตอนนี้ ที่พวกเขามีความสัมพันธ์ต่อกันอีกชั้นหนึ่ง
เฉินเจียเหอมองเขา กล่าวทักทายด้วยเสียงแผ่วเบา ๆ “สวัสดีครับ ผู้อำนวยการเสิ่น”
“สวัสดี” เสิ่นเถี่ยจวินตอบรับ ก่อนจะแนะนำผู้ติดตามอีกคนให้ผู้อำนวยการหลิวรู้จักเช่นกัน “นี่คือหลิวจื้อหมิง หัวหน้าฝ่ายผลิตของโรงงานเรา”
“โอ้? หัวหน้าฝ่ายผลิตนี่เอง? ได้เป็นหัวหน้าฝ่ายตั้งแต่อายุยังน้อย อีกหน่อยต้องมีอนาคตที่สดใสมากแน่”
เมื่อได้ยินชื่อหลิวจื้อหมิง ดวงตาของเฉินเจียเหอก็ลึกล้ำขึ้น แต่ไม่ได้ทักทายอีกฝ่ายเลย
หลิวจื้อหมิงก็เหลือบมองเขาเช่นกัน ก่อนจะยิ้มแล้วทักทายว่า “สวัสดีครับคุณเฉิน เมื่อเช้าผมเพิ่งไปหาสหายที่อาคารพักอาศัยในเขตโรงงานของคุณมา ถ้ารู้แต่แรกว่าเราสองคนจะได้คุยกันเรื่องงานในตอนบ่าย ผมควรฝากสหายคนนั้นทักทายคุณล่วงหน้า”
ระหว่างเวลางาน เฉินเจียเหอไม่พูดคุยกับเขาเลยสักคำ เขานั่งลง แล้วหยิบแฟ้มเอกสารออกมา
ผู้อำนวยการหลิวบอกว่า “ในเมื่อวันนี้ยังอยู่ในช่วงวันหยุด งั้นเรามาสรุปประเด็นสั้น ๆ กันดีกว่า นี่เป็นชิ้นส่วนส่วนหนึ่งที่โรงงานยานยนต์ของเราต้องปรับเปลี่ยน ซึ่งจำเป็นต้องนำมาใช้งานในเดือนหน้า ระยะเวลาค่อนข้างจำกัด พวกคุณลองดูภาพสเก็ตช์กันก่อนครับ”
หลังจากเสิ่นเถี่ยจวินดูภาพสเก็ตช์คร่าว ๆ แล้ว เขาก็ไตร่ตรอง “ทำไมรูปแบบถึงได้แตกต่างจากงานชิ้นก่อนล่ะครับ?”
ผู้อำนวยการหลิวอธิบาย “เพราะมันแตกต่างนี่แหละครับ พวกเราถึงได้มาที่นี่เพื่อขอคำแนะนำจากคุณก่อน”
หลังจากที่หลิวจื้อหมิงดูภาพตรงหน้า ใบหน้าของเขาก็หนักอึ้งเช่นกัน “เกรงว่านี่คงผลิตยาก”
“ด้วยอุปกรณ์ที่เรามีอยู่ในปัจจุบัน การผลิตชิ้นส่วนที่ซับซ้อนและมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบจึงเป็นเรื่องยาก”
เฉินเจียเหอพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นเราลองติดต่อประสานกับโรงงานเครื่องจักรหนานเฉิงดีไหมครับ เผื่อพวกเขาสามารถผลิตได้”
จากนั้นเขาก็เสนอต่อไปด้วยทัศนคติที่หนักแน่น “ชิ้นส่วนเหล่านี้จะถูกนำไปใช้ประกอบรถโดยสารรุ่นใหม่ที่เพิ่งได้รับการปรับปรุง แต่เมื่อเวลามีจำกัด ถ้าโรงงานเครื่องจักรหนานเฉิงไม่ยินดีให้ความร่วมมือในการผลิตชิ้นส่วนจริง ทางเราจะได้หาพันธมิตรรายอื่น แล้วค่อยอธิบายเหตุผลให้ผู้บังคับบัญชาทราบ…”
เขารู้ชัดเจนอยู่แล้วว่าภายในโรงงานเครื่องจักรมีอุปกรณ์อะไรบ้าง เขาเกลียดคนที่ไม่แยกแยะระหว่างเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวจริง ๆ โดยเฉพาะเมื่ออีกฝ่ายเป็นถึงผู้อำนวยการ
“ผู้อำนวยการหลิว ใช่ว่าการผลิตจะเป็นไปไม่ได้เลย แต่มันค่อนข้างยาก ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ไว้เราค่อยมาประชุมเพื่อศึกษาและหารือกันทีหลังเถอะ”
“ครับ จวนถึงวันนัดส่งชิ้นส่วนแล้ว โปรดตอบกลับโดยเร็วที่สุด”
หลังจากพูดคุยเรื่องงานแล้ว เฉินเจียเหอก็ติดตามผู้อำนวยการหลิวเพื่อออกไปจากห้องทำงาน แต่เสิ่นเถี่ยจวินเรียกเขาไว้
“เฉินกง อยู่นี่ก่อน”
เฉินเจียเหอหยุดเดิน หันศีรษะกลับไป
“เฉินกง คุณคิดจะแต่งงานกับลูกสาวบุญธรรมของผมจริง ๆ เหรอ?” เสิ่นเถี่ยจวินถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เราแต่งงานกันแล้วครับ”
“น้องชายคุณแต่งงานกับน้องสาวผม แล้วคุณยังมาแต่งงานกับลูกสาวของผมอีก ไม่คิดบ้างเหรอว่าความสัมพันธ์แบบนี้ออกจะยุ่งเหยิงไปหน่อย?” เสิ่นเถี่ยจวินมองเขา พูดด้วยน้ำเสียงราวกับจะคาดคั้น
“หล่อนไม่ใช่ลูกสาวของคุณอีกต่อไปแล้ว และหล่อนก็ไม่จำเป็นต้องเรียกน้องสาวของคุณว่าอาอีกต่อไป”
เสิ่นเถี่ยจวินแย้ง “อย่างน้อยก็เคยเป็น ต่อให้ตอนนี้หล่อนเจอหน้าผม หล่อนก็จะยังเรียกผมว่าพ่ออยู่ดี”
“ผู้อำนวยการเสิ่น คุณได้ลูกสาวแท้ ๆ ของคุณกลับคืนสู่อ้อมอกแล้ว แซ่ของหลินเซี่ยคือหลิน ผมยินดีมากที่ได้ยินว่าคุณต้องการรับหล่อนเป็นลูกสาวบุญธรรม ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ถ้าคุณคิดยื่นมือมายุ่งเกี่ยวกับการแต่งงานของเราอีก เกรงว่าคงทำไม่ง่ายนักหรอกนะครับ”
หลังจากที่เฉินเจียเหอพูดจบ เขาก็เลื่อนสายตาเฉียบคมไปมองหลิวจื้อหมิง “คุณก็เหมือนกัน จากนี้อย่าได้มารบกวนหล่อนอีก”
หลิวจื้อหมิงนึกไม่ถึงว่าเขาจะรู้เรื่องที่ตัวเองพยายามไปตามตื๊อหลินเซี่ยด้วย
เขาหัวเราะเยาะ “แล้วคุณรู้หรือเปล่าว่าหล่อนพูดอะไรกับผมบ้าง? หล่อนบอกว่าหัวใจของหล่อนอยู่กับผมเสมอ”
ถึงหลิวจื้อหมิงจะไม่เคยคิดพัฒนาความสัมพันธ์ฉันท์คนรักร่วมกับหลินเซี่ยต่อไป แต่ก็แสดงท่าทางชัดเจนว่าเขาเพิกเฉยต่อคำเตือนของชายตรงหน้า
เฉินเจียเหอ “ข้ามศพผมไปก่อนเถอะ”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เจอศึกหนักแล้วพี่เหอ สู้ๆ นะคะ
เป็นคนใหญ่คนโตแล้วมีสิทธิ์อะไรมาบังคับชีวิตคนอื่นอะ?
ไหหม่า(海馬)